ตอนที่กลับมาถึงห้องเรียน เพื่อนๆ ในห้องเรียนล้วนกลัดกลุ้มกันมาก ไม่มีใครส่งเสียงสักคน การมาของฉันกลับไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โต สีหน้าของทุกคนล้วนขาวซีดและครุ่นคิดอะไรอยู่
“โย่ว จางเว่ยคิดไม่ถึงว่านายยังจะกล้ามาโรงเรียน ไม่ใช่ว่าฉันเคยพูดไว้แล้วเหรอ? เห็นแกเมื่อไหร่ก็จะต่อยแกเมื่อนั้นน่ะ” จ้าวเฉินเห้อแสยะพูด
“นายลองดูสิ” ฉันปริปากพูดอย่างสงบนิ่ง แต่กลับจ้องเขาด้วยสีหน้าที่ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ฉันที่เคยผ่านความมืดมิด แน่นอนว่าไม่มีความกลัวใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว
ก็เหมือนกับถูกสัตว์ป่าตัวหนึ่งจับจ้องเข้าแล้ว จ้าวเฉินเห้อมองฉันด้วยความขี้ขลาด หลังจากนั้นหันกลับไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเงียบกริบ และก็ไม่กล้ามองฉันอีก
เมื่อกลับมาที่โต๊ะ หลี่โม่ฟ๋านบอกข่าวกับฉันหนึ่งข่าวด้วยสีหน้าที่ขาวซีดว่า “ซองไห่เยี่ยนตายแล้ว”
“อ่อ ทำไมถึงตายล่ะ” ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม
“เมื่อวานตอนเย็นเธอได้ถอนออกจากกลุ่ม แต่ทว่าทันใดนั้นแขนขาทั้งสี่ก็แข็งกระด้าง แล้วก็ฉีกดึงคอตัวเองจนตาย ซึ่งเหมือนกับเฉินเฟิงเลยน่ะ” หลี่โม่ฟ๋านส่ายหัวพลางพูด
“คราวนี้ได้ยืนยันกฎกติกาแล้วว่า ห้ามถอนออกจากกลุ่ม ถอนออกจากกลุ่มก็จะต้องตาย” ฉันพูดพึมพำ ด้วยใบหน้าที่เผยความฉลาดขึ้นมา กฎกติกาในกลุ่มก็ได้อยู่เบื้องหน้าฉันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ทว่ายิ่งปรากฏให้เห็นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยืนยันถึงความทารุณโเี้ที่อยู่ในเกมชีวิตนี้มากเท่านั้น
ดังเช่นหากผลโหวตเสมอกันจะต้องดำเนินการปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน หากไม่มีใครโหวต มือมืดที่อยู่เื้ัก็จะออกมาโหวตเอง ไม่ว่าจะกล่าวถึงมุมไหน ซึ่งนี่ล้วนเป็ความตายที่ไม่มีทางหลุดพ้นได้
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ฉันกลับตื่นเต้น ความตื่นเต้นนี้แม้แต่ฉันเองก็ยังชี้แจงไม่ได้ เพื่อนๆ ในชั้นเรียนกำลังตายอย่างต่อเนื่อง จิตใจของทุกคนล้วนได้พังลงแล้ว ในความกลัวและความระแวงไม่ไว้วางใจ ทุกคนกำลังรอการมาของแบบสอบถามในรอบใหม่
“ไม่ใช่ว่าสิ้นสุดลงแล้วเหรอ? ทำไมถึงได้มีคนตายอีก?” หลี่โม่ฟ๋านพูดด้วยความหวาดกลัว
“ใช่ เดิมทีเกมน่าจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเริ่มั้แ่เมื่อไหร่ มันถูกเริ่มต้นใหม่ เป็ใครกันแน่ที่ดำเนินเกมนี้ต่อล่ะ?” ฉันก็พูดพึมพำเช่นเดียวกัน
ตอนแรกที่เข้าไปบ้านของเฉินเฟิงก็มีแค่ 3 คน ใน 3 คนนี้นอกจากฉันกับตวนมูเซวียนแล้ว ก็มีแค่กวานเหยา พวกเราเห็นตวนมู่เซวียนถอนทุกคนออกจากกลุ่มด้วยตาของพวกเราเอง
“ดูแล้วหากว่ากลุ่มไม่ยกเลิกสักวัน ถึงจะถอนคนออกยังไง ก็จะกลับมาเป็ดั่งเดิมทันที” ฉันวิเคราะห์อย่างสงบนิ่ง และในหัวของฉัน ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนที่จะออกมาจากที่นั่นได้ว่า บนผนังห้องของเฉินเฟิงได้เขียนอักษรภาษาอังกฤษไว้ จนถึงตอนนี้ฉันยังจำได้อย่างลึกซึ้ง ไม่แน่ว่าอาจจะหาวิธีการบุกทะลวงได้จากที่นั่น
ตอนที่ฉันกำลังคิดเพ้อเจ้อ ทันใดนั้นฉันก็เห็นว่าเย่รั่วเซวี่ยกำลังมองฉันอยู่
ฉันชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งด้วยความสงบนิ่ง หลังจากนั้นก็เก็บสายตากลับมา และในตอนนี้โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น ซึ่งเป็ข้อความที่เย่รั่วเซวี่ยส่งมา
“นายสบายดีไหม?” เย่รั่วเซวี่ยถาม
“ฉันสบายดี และไม่้าความเป็ห่วงจากเธอ”
“เื่นั้น เื่เมื่อวานฉันขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่านายจะมาได้ยินเข้าแล้ว”
“ไม่เป็ไร ก็แค่ฉันคิดไปเองเท่านั้น”
“อย่าพูดแบบนี้สิ ทุกอย่างล้วนเป็ความผิดของฉันเอง”
“เฮอๆ ”
หลังจากที่ฉันพิมพ์ เฮอๆ แล้ว ก็เก็บโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ใจฉันได้สงบนิ่งเหลือเกิน และก็จะไม่ถูกใครทำให้หวั่นไหวอีก ซึ่งเย่รั่วเซวี่ยทำให้ฉันเข้าใจว่า เมื่อคุณยิ่งใส่ใจคนคนหนึ่ง และยิ่งเห็นค่าคนคนหนึ่ง ในที่สุดสิ่งที่ได้รับก็คือการหักหลัง
ฉันได้สละชีวิตช่วยเย่รั่วเซวี่ย 2 ครั้งแล้ว แต่กลับทำให้เธอรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล้วนที่จะเป็เช่นนั้น บางที่เธอก็แค่รู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ทว่าความรู้สึกซาบซึ้งใจนี้ไม่สามารถรักษาไว้ได้นานนัก
แบบสอบถามในรอบใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อนๆ ที่อยู่โดยรอบต่างก็ร้อนใจกระสับกระส่าย บางคนก็ดูโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งมีน้ำเสียงบ่นพึมพำ ซึ่งอธิฐานให้แบบสอบถามในกลุ่มไม่มีตนเอง
ฉันก็กำลังรอคอยอยู่เหมือนกัน เวลาผ่านไปทุกนาทีและทุกวินาที นักเรียนทั้งห้องเรียนล้วนเงียบสงบลง มีแค่นักเรียนหญิงบางคน ที่กำลังร้องไห้ อย่างไม่สบายใจ และรอคอยการปรากฏของแบบสอบถามในกลุ่ม
ความกลัวและความไม่สบายใจ ได้แผ่คลุมทั้งห้องเรียน สองสามวันมานี้ ไม่รู้ว่ามีนักเรียนตายไปเท่าไหร่แล้ว ถึงแม้จะเคยประสบกับความตายมาแล้ว แต่ทว่าทุกคนยังคงเป็นักเรียนม.ปลาย เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ก็จะมีอาการมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูกในที่สุด
ในกลุ่มของชั้นเรียน แบบสอบถามกลุ่มมาได้ตรงเวลา อักษรที่เยือกเย็น กลับนำพาพลังอำนาจที่ทำให้พวกเราไม่มีทางหลุดพ้นได้
จะต้องเลือกข้อใดข้อหนึ่งจากตัวเลือก 2 ข้อนี้ หากผลโหวตเสมอกันจักต้องดำเนินการพร้อมกัน
ข้อ1 สุ่มนักเรียน 4 คนดำเนินการแข่งเกมหมากรุกสัตว์แห่งความตาย
ข้อ2 นักเรียนทั้งชั้นเรียนจะต้องดำเนินเกมแห่งความตาย
“ดูแล้วทำได้แค่ต้องเลือกข้อ1” ฉันแสยะยิ้มพูด แบบสอบถามในกลุ่มตอนนี้ ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เดิมทีไม่รู้ว่าจะเลือกยังไง ตอนนี้วิธีการมีเพียงหนึ่งเดียว ก็คือให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
“ทุกคนล้วนเลือกข้อ1 เถอะ เพราะนี่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วน่ะ” กวานเหยายืนขึ้นพูด แต่ทว่าไม่มีใครฟังเธอ หลังจากที่พวกเรา 3 คนพ่ายแพ้ บารมีของกวานเหยาก็ลดลงอย่างฉับพลัน ตอนนี้ในชั้นเรียนไม่ว่าจะเป็นักเรียนชายหรือนักเรียนหญิง ล้วนไม่ยินยอมที่จะฟังคำสั่งของกวานเหยาอีก
“ทำไมพวกเราจะต้องฟังเธอด้วย?”
“ใช่ มีสิทธิ์อะไรล่ะ? สิทธิ์ที่เธอเป็หัวหน้าห้องเหรอ?”
“ใช่ เธอถือว่าตัวเองเป็ใคร?”
กวานเหยามือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากวางเหยามีเจตนาดี แต่ทว่ามองสายตาที่มีข้อสงสัยของเพื่อนๆ ที่อยู่โดยรอบ เธอกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรมจนต้องร้องไห้ออกมา
แต่ทว่าคนที่มีสายตาเฉียบแหลมล้วนที่จะรู้ ตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้ว ดังนั้นทุกคนก็ทยอยกันเลือกข้อ1 และการโหวตในกลุ่มก็ได้สิ้นสุดลง เกมหมากรุกสัตว์แห่งความตายที่โเี้ทารุณได้เริ่มขึ้นแล้ว
แอคเค้าท์ของเฉินเฟิงก็ได้ปรากฎในกลุ่มแล้ว และเริ่มประกาศกติกาของเกม
“เกมหมากรุกสัตว์แห่งความตาย เลือกผู้เรียน 4 คน สุ่มตำแหน่ง แบ่งเป็สีแดงกับสีเหลือสองฝ่าย ฝ่ายแดงมีหมาก 5 ตัวแบ่งเป็ช้าง สิงโต เสือ เสือดาว สุนัข ฝ่ายเหลืองมีหมาก 5 ตัวแบ่งเป็สิงโต เสือ เสือดาว สุนัข หนู”
“ลำดับขั้นจากใหญ่ไปเล็กของเกมหมากรุกสัตว์แห่งความตาย : ช้าง〉สิงโต〉 เสือ〉 เสือดาว〉 สุนัข〉 หนู”
“กติกาพิเศษของเกมหมากรุกสัตว์แห่งความตาย สัตว์ประเภทเดียวกันคือเสมอ มีเพียงแค่หนูเท่านั้นที่กินช้างได้”
“เกมหมากรุกสัตว์แห่งความตาย วิธีการเล่นเกม คือทั้งสองฝั่งนำด้านหลังของหมากหันหน้าขึ้นแล้ววางไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ะโว่าเริ่มพร้อมกัน แล้วก็พลิกหมากของตัวเพื่อตัดสินแพ้ชนะ”
“หากเสมอ ทั้งสองฝั่งจะต้องนำหมากทิ้งไว้ด้านข้าง หลังจากนั้นก็วางหมากต่อ จนกระทั่งมีฝ่ายที่ชนะ หลังจากนั้นเกมก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งใน 3 กระดานจะต้องชนะ 2 กระดาน”
“เกมนี้ไม่สามารถโกงได้ หากโกงจะได้รับโทษตาย รวมทั้งคนที่แพ้ ก็จะได้รับโทษตายเหมือนกัน”
“สุ่มผู้เล่น……”
“เลือกผู้เล่นสำเร็จ แบ่งเป็ตวนมู่เซวียน จางเว่ย หลิวเหวินเทา โต่งเหวินเฟิง”
“สุ่มตำแหน่งและคู่แข่ง ตวนมูเซวียนคือฝ่ายแดง คู่แข่งฝ่ายเหลืองคือโต่งเหวินเฟิง จางเว่ยคือฝ่ายเหลือง คู่แข่งฝ่ายแดงคือหลิวเหวินเทา”
“เกมหมากรุกสัตว์อยู่ที่ในลิ้นชักโต๊ะบนแท่นพูด กรุณาเตรียมรับ ระยะเวลาของเกมหมากรุกสัตว์แห่งความตายคือ 6 ชั่วโมง ภายใน 6 ชั่วโมง หากไม่มีผู้แข่ง ก็จะได้รับโทษตาย”
“ดูแล้วจำเป็จะต้องแข่ง” ฉันดูกติกาในกลุ่มพลางบ่นพึมพำ และใบหน้าไม่มีความหวาดกลัวเท่าไหร่ แต่กลับเป็โต่งเหวินเฟิงและหลิวเหวินเทา ที่ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าอนาถว่า “ทำไม ทำไมพวกเราทั้งสองจะต้องถูกเลือกด้วย?”
และคนที่อยู่โดยรอบเห็นว่าในคนที่เข้าร่วมเกมไม่มีตนเองแล้ว ทั้งหมดล้วนโล่งใจไปเปราะหนึ่ง โดยเฉพาะหวางอู่ ยิ่งร้องะโเสีบยดัง หลังจากนั้นก็พาลูกน้องสองสามคนพุ่งออกจากห้องเรียนไป เพราะยังไงคนที่ตายก็ไม่ใช่เขา ดังนั้นเื่อื่นเขาจึงไม่อยากยุ่ง และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ออกไปแต่อย่างใด ทั้งหมดล้วนกวาดสายตามารวมกันที่พวกเรา
“น่าจะเป็เพราะพวกเธอโชคไม่ดีน่ะ” ตวนมู่เซวียนพูดจบ ก็เดินขึ้นไปบนแท่นพูดอย่างช้าๆ เขาเจอเกมหมากรุกสัตว์แห่งความตายในลิ้นชักที่โต๊ะบนแท่นพูดจริงๆ
นี่คือหมากรุกที่ประกอบจากกระดูกสีขาว ้าเขียนตัวอักษรต่างๆ เช่น สิงโต ช้าง ดูแล้วนี่ก็คือหมากรุกที่เกมหมากรุกสัตว์แห่งความตายจะต้องใช้
“ฉันเป็ฝ่ายแดง หมากรุกของฉันน่าเป็ตัวเหล่านี้” ตวนมู่เซวียนนำหมากรุกมาวางไว้ในมืออย่างช้าๆ ทั้งหมดมี 6 ตัว หมากรุกสัตว์สีขาว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร และมีสีขาวซีดที่น่าประหลาด
ฉันก็เดินไปอย่างช้า สำหรับเกมที่ต้องแข่งต่อไปนี้ ฉันกลับไม่มีความหวาดกลัวอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคู่แข่งของฉันที่เป็หลิวเหวินเทาเลย หลิวเหวินเทาก็คือลิ่วล้อของหวางอู่
ในคนที่ต่อยพวกเราเมื่อวาน ก็มีเขาอยู่ด้วย ซึ่งครั้งนี้เหมาะที่จะแก้แค้น และฉันก็เจอหมากรุกที่เป็ของฉันแล้ว หมากรุกเหล่านี้ขาวมาก ลายมือที่อยู่ข้างบนกลับเป็สีเื
หมากรุกทุกตัวล้วนเหมือนกันอย่างกับแกะ ดูแล้วก็เหมือนหมากรุกจีนมาก แต่ทว่าตัวอักษรกลับเป็สัตว์ต่างๆ หมากรุกทั้งหมดมี 5 ตัวคือ สิงโต เสือ เสือดาว สุนัข หนู ซึ่งสัตว์เหล่าก็คือหมากรุกของฉัน
และเบื้องหน้าฉัน หลิวเหวินเทาก็ได้เดินเข้ามา และหยิบหมากรุกที่เป็ของเขามาด้วยสีหน้าที่ขาวซีด เมื่อเทียบกับหมากรุกของฉันแล้ว เขาขาดหมากหนู 1ตัว และมีหมากช้างเพิ่มมา 1 ตัว
โต่งเหวินเฟิงพูดด้วยสีหน้าที่ขาวซีดว่า “คู่แข่งของฉันคือตวนมู่เซวียน ไม่ได้แน่ ฉันเอาชนะไม่ได้แน่”
“เชี่ย อย่าขาดความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างนั้นสิ นั่นมันไม่ใช่ปัญหาเลขคณิตนะ” หลิวเหวินเทาหยิบหมานรุกสัตว์ไว้ในมือพลางพูด ซึ่งก็เป็ตามที่เขาพูด เกมหมากรุกสัตว์ของประเภทนี้น่ะ เป็เพียงแค่เกมเสริมสติปัญญาเกมหนึ่งหากโชคดีแล้วล่ะก็จะสามารถชนะต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
“พูดอีกก็ถูกอีก งั้นก็มาเถอะ” โต่งเหวินเฟิงพูด แต่ทว่าขาทั้งคู่ล้วนมีอาการสั่นเทา เขาสั่นระริกไปทั้งตัว หลิวเหวินเทาก็เช่นกัน
ยังไงนี่ก็เป็เกมหมากรุกสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง และจะไม่สะเพร่าเด็ดขาด เพราะหากสะเพร่าแม้แต่น้อยแล้วล่ะก็ อาจจะถึงแก่ชีวิตได้
กติกาง่ายมาก ก็แค่ทั้งสองฝ่ายเลือกหมากที่จะวางให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ แล้วเริ่มพร้อมกัน ซึ่งก็จะสามารถเล่นได้แล้ว ก็เหมือนกับหมากรุกสัตว์ที่เล่นเมื่อตอนเด็กๆ ซึ่งก็ง่ายพอๆ กัน
ฉันจับหมากรุกสัตว์ไว้ในมืออย่างแน่น ดวงตาของฉันก็หมุนไปมาอย่างไม่หยุด และใจฉันก็หวาดกลัวขึ้นมาก นี่เป็การแข่งในรอบสุดท้ายที่มีชีวิตเป็เดิมพัน หากแพ้แล้วล่ะก็ต้องจบเห่แน่นอน
ฉันกอดความคิดนี้ไว้ ถึงจะเป็ฉันก็ไม่ควรที่จะไม่ระมัดระวัง
“มาสิ จางเว่ย พวกเรามาแข่งกัน” หลิวเหวินเทาแสยะยิ้ม ฉันพยักหน้า และเดินมาที่โต๊ะเรียนตัวหนึ่งกับเขา หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งอยู่ตรงหน้ากัน
ในมือของพวกเราต่างก็มีหมากรุกคนละ 5 ตัว ตอนนี้น่าจะเป็เวลาของหมากกระดานแรกแล้ว คนที่อยู่โดยรอบล้วนเข้ามาชม แม้แต่เย่รั่วเซวี่ยก็มายืนอยู่ข้างๆ ฉัน
“อย่ามาใกล้ฉันสิ เธอจะรบกวนฉันได้น่ะ” ฉันพูดกับเย่รั่วเซวี่ยอย่างเยือกเย็น
เย่รั่วเซวี่ยคิดไม่ถึงว่าฉันจะมีท่าทางเช่นนี้ ดวงตาคู่นั้นได้จ้องเขม็ง ซึ่งจ้องฉันอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าที่งดงามนั้นกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรม
“ฉันก็แค่อยากจะช่วยนาย”
“ไม่จำเป็หรอก รีบออกไปจากฉันเดี๋ยวนี้ ฉันรำคาญเธอน่ะ” ฉันสะบัดมือพลางพูด