กุบกับๆ!
หลังจากเร่งเดินทางติดต่อกันมานาน ม้ากลุ่มหนึ่งจึงมีสภาพใกล้จะถึงขีดจำกัด บางตัวเหนื่อยจนหมดแรง ล้มลงกับพื้น พวกเขาจึงต้องทิ้งมันเอาไว้เช่นนั้น แล้วออกแรงวิ่งกันต่อไปเอง
“เร็วเข้า! ข้างหน้ามีโรงเลี้ยงม้าของข้าอยู่” กู่ไห่ร้องบอก
“ขอรับ!” คนโฉดที่ตามหลังมาขานรับเสียงดัง
ไม่นาน ก็มาถึงโรงเลี้ยงม้าของกู่ไห่
“หยุด!” กู่ไห่และพวกจึงหยุดพักชั่วคราว เพื่อเปลี่ยนม้า
เ้าของโรงเลี้ยงม้าคนเก่ายืนอยู่ที่ประตู ม้าสามพันตัวถูกนำไปผูกติดกับเสา
“นายท่าน ั้แ่ตอนที่ข้าเห็นสัญญาณไฟ ก็เริ่มเตรียมการเอาไว้บ้างแล้วขอรับ และไม่กี่วันก่อน ก็เพิ่งรับจดหมายยืนยันจากพิราบสื่อสาร ม้ากลุ่มนี้คือม้าที่ดีที่สุดของเรา นายท่านจะพักผ่อนสักครู่หรือไม่ขอรับ?” เ้าของเก่ากล่าวอย่างนอบน้อม
“ไม่! ครานี้มีเื่เร่งด่วน ข้าพักไม่ได้” กู่ไห่พยักหน้าให้
กลุ่มคนโฉดสามพันคนพากันเปลี่ยนม้าตัวใหม่ กู่ไห่ตวัดแส้ม้า และออกตัววิ่งไปไกล ทิ้งเ้าของเก่าที่กำลังโค้งคำนับอย่างสุภาพเอาไว้ด้านหลัง
แล้วพวกกู่ไห่ ก็เปลี่ยนม้าตัวใหม่เช่นนี้มาเรื่อยๆ ตลอดทาง
หลายวันต่อมา ในที่สุดก็กลับมาถึงด่านหู่เหลา
“ถึงด่านหู่เหลาแล้ว!” เฉินเทียนซานะโบอก
ทุกคนยังคงควบม้าเข้าไป ประตูของด่านหู่เหลาถูกเปิดออก พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลกู่
ถึงตอนนี้ ความตึงเครียดที่มีมาตลอดทางจึงค่อยๆ คลายผ่อนคลายลง
เมืองยังคงมีสภาพปกติเช่นเดิม เหมือนก่อนที่เขาจะจากไป โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อได้รับข่าว กู่ฉินและกู่ฮั่นจึงออกมาต้อนรับ “พ่อบุญธรรม”
“ไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว” กู่ไห่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พ่อบุญธรรม ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านอรหันต์เหลียนเซิง ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในเมืองเล็กๆ ของเรา คงต้องทุกข์ทรมานกันแน่” กู่ฉินบอก
“อรหันต์เหลียนเซิง?” ท่าทีของกู่ไห่เปลี่ยนไปทันที ที่ยินชื่อของผู้มีพระคุณ
เมื่อหันกลับมา จึงพบว่าภิกษุชรายืนอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเห็นกู่ไห่ ไต้ซือจึงพนมมือและโค้งตัวทักทาย
กู่ไห่รีบเดินเข้าไปหากู่ฉิน ระหว่างทางที่เข้าไปในจวน กู่ฉินก็สรุปเหตุการณ์ให้ฟังสั้นๆ เมื่อฟังจบ กู่ไห่ก็เข้าใจทุกอย่างทันที
“ขอบพระคุณอรหันต์เหลียนเซิงที่ช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นคนในหมู่บ้านนี้ คงต้องตายไปมากทีเดียว” กู่ไห่กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
“ท่านกู่ อาตมาบอกแล้ว ว่าเราจะได้พบกันอีกเร็วๆ นี้” ไต้ซือเอ่ย พลางยกยิ้มบางๆ
“หืม?” กู่ไห่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“จะว่าไป ครั้งนี้มีเื่อยากให้ท่านกู่ช่วย” ภิกษุชรากล่าวเสียงเรียบ
กู่ไห่แสดงสีหน้าสงสัยเล็กน้อย พร้อมผายมือ ก่อนเอ่ย “อรหันต์เหลียนเซิง เชิญเข้ามาในจวนสกุลกู่ของเราก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน”
“ได้!” ไต้ซือพยักหน้า
กู่ไห่เชิญภิกษุชราเข้ามาในจวน ขณะที่กู่ฉินเรียกให้คนมานำกลุ่มคนโฉดแยกไปอีกทาง และผู้บัญชาการสี่เหล่าทัพก็เดินตามพวกเขาไปเช่นกัน
ทันทีที่ซ่างกวนเหินเห็นอรหันต์เหลียนเซิง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมขยับออกห่าง คล้ายไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นตนกระนั้น
คนทั้งหมดหายเข้าไปในค่ายกลใหญ่
นอกค่ายกล ผู้ฝึกตนที่เคยตามติดกู่ไห่ก็บางตาจนน่าแปลกใจ คงเป็เพราะบางส่วนได้หลบหนีไป ั้แ่ตอนที่ฟู่เสวี่ยเข้ามาโจมตี ด้วยความหวาดกลัว จึงเลือกที่จะหนีตายมากกว่าจะมาคอยเฝ้าดูกู่ไห่
...
ณ จวนสกุลกู่ ในห้องโถงใหญ่
กู่ไห่และภิกษุชราเดินมาทิ้งกายลงนั่ง กู่ฉินและกู่ฮั่นก็เข้ามาคอยปรนนิบัติ เทน้ำชาให้กับคนทั้งสอง แล้วจึงเดินไปนั่งข้างๆ กู่ไห่
“ท่านอรหันต์เหลียนเซิงช่วยเหลือข้าไว้หลายต่อหลายครั้ง แต่ข้ากลับไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน หากท่าน้าอะไร โปรดบอกมาเถอะ ผู้น้อยจะจัดการให้อย่างเต็มกำลัง” กู่ไห่กล่าว น้ำเสียงหนักแน่น
ภิกษุชราจ้องกู่ไห่เขม็ง ก่อนเอ่ย “สิ่งที่ท่านกู่ทำใน่นี้ อาตมาได้ยินมามากมายนัก ว่าแม้ท่านจะมีระดับพลังอ่อนแอ แต่กลับเป็ผู้วิเศษ สามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนครั้งแล้วครั้งเล่า”
“อรหันต์เหลียนเซิงยกย่องเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่าน้าสิ่งใด?” กู่ไห่ถาม พลางมองภิกษุชราอย่างไม่ละสายตา
“อาตมาจำได้ว่าเคยบอกท่านกู่มาก่อน ว่าอาตมารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากร่างของท่าน ตอนนี้อาตมาพบที่มาของกลิ่นอายนี้แล้ว ดังนั้นจึงอยากจะขอคนผู้หนึ่งจากท่าน” อรหันต์เหลียนเซิงกล่าว พลางยกยิ้ม
“ขอคนคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ภิกษุชราไม่ตอบ แต่กลับเหลือบตาไปยังกู่ฮั่น ที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน
“กู่ฮั่น?” กู่ไห่เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“อาตมา้ารับกู่ฮั่นเป็ศิษย์ หวังว่าท่านกู่จะเห็นด้วย”
“หืม?” กู่ไห่อุทานด้วยความแปลกใจ
“อรหันต์เหลียนเซิง ท่านหมายความว่าอย่างไร?” กู่ฮั่นเอ่ยถามอย่างใ
“กู่ฮั่น เมื่อประสกเห็นข้าแล้ว รู้สึกคุ้นเคยบ้างหรือไม่?” ภิกษุชราเอ่ยถาม
คิ้วของกู่ฮั่นขมวดเป็ปม แต่มิได้โต้แย้งอะไร เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว อาตมาตามหาประสกมานานแล้ว” ไต้ซือเอ่ย พลางถอนหายใจเล็กน้อย
“ข้าไม่เข้าใจ อรหันต์เหลียนเซิงโปรดช่วยให้ความกระจ่างด้วย” กู่ฮั่นส่ายศีรษะไปมา
กู่ไห่และกู่ฉินก็มองภิกษุชราอย่างใคร่รู้เช่นกัน
“เมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อน มีหลวงจีนสามรูปเฝ้าสวดมนต์และร่วมฟังการเทศนาของพระพุทธเ้าองค์หนึ่ง แต่แล้วทั้งสามก็ค่อยๆ ตระหนักว่า พระพุทธเ้าองค์นี้ ต่างจากพระพุทธเ้าในใจของพวกเขามาก
ผู้ที่ตรัสรู้เป็พระพุทธเ้า ซึ่งเป็ผู้ละจากทางโลก สะอาดบริสุทธิ์ จริงหรือ? หัวใจที่ไร้ซึ่งความรัก หามีอารมณ์ทั้งเจ็ด[1]ไม่ เมื่อไร้หัวใจ ก็ไร้ซึ่งความปรานี
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกำลังตกทุกข์ได้ยาก จึงขอให้พระองค์บรรเทาทุกข์โดยถ้วนหน้า อย่างไรก็ตาม เพราะพระพุทธเ้าไร้ซึ่งความรู้สึกทั้งเจ็ด พระองค์จะเมตตาชาวบ้านได้อย่างไร?
พระองค์จะสามารถช่วยปลดทุกข์ในใจ ให้สรรพชีวิตใต้หล้าได้จริงหรือ? พระพุทธเ้าองค์นี้ ยังเป็ที่้าของมวลประชาอยู่หรือไม่? และหากมวลประชาไม่้าพระองค์แล้วล่ะ จะทำอย่างไร?” อรหันต์เหลียนเซิงกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่น
“หืม?” กู่ไห่นิ่วหน้าเล็กน้อย
“ดังนั้น หลวงจีนทั้งสามจึงมุ่งหน้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของูเาิญญา เข้าคารวะพระพุทธเ้า เพื่อแสวงหาคำตอบ” ภิกษุชราเอ่ย
“ถามพระพุทธเ้า?”
“ใช่! ถามพระพุทธเ้า แต่น่าเสียดายที่อาตมาไม่ได้รับคำตอบ แต่กลับถูกตราหน้าว่า ‘เป็ผู้ใส่ร้ายพระพุทธเ้า’ หลวงจีนสองรูปจึงต้องประสบหายนะ และตายอย่างไร้สาเหตุ เหลือไว้เพียงหลวงจีนรูปเดียว ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความไม่เข้าใจ ท่ามกลางฟ้าดิน” ไต้ซือกล่าว พลางทอดถอนใจ
“อรหันต์เหลียนเซิง ท่านคือคนที่รอดชีวิตหรือ?” กู่ฮั่นขมวดคิ้ว
ภิกษุชราพยักหน้า มองกู่ฮั่น แล้วจึงพูด “ใช่แล้ว! ประสกเป็หนึ่งในสองสหายคนสนิทของอาตมา เป็ิญญาปฐีที่กลับชาติมาเกิด ดังนั้นเมื่อเห็นอาตมา ประสกจึงรู้สึกคุ้นเคย ตอนนั้นพวกเราเคยไปถามพระพุทธเ้าด้วยกัน”
กู่ฮั่นอึ้ง แต่เพราะไม่อยากยอมรับ จึงหันไปยังกู่ไห่
ทว่า กู่ไห่กลับนิ่งคิด ไม่ได้รีบร้อนตอบ บรรยากาศภายในห้องโถง จึงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
อรหันต์เหลียนเซิงก็มิได้เอื้อนเอ่ยอันใด เพียงนั่งรอคำตอบอย่างสงบ
สำหรับเื่เช่นนี้ กู่ไห่ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ แต่การที่อีกฝ่ายร้องขอให้ตนยกกู่ฮั่นให้ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ บางทีหลวงจีนตรงหน้าคงจะอยากรับบุตรบุญธรรมผู้นี้เป็ศิษย์จริงๆ
หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ กู่ไห่ก็หันกลับมาและเอ่ยถาม “กู่ฮั่น เ้าคิดเห็นเช่นไร?”
“พ่อบุญธรรม ข้าไม่รู้ แต่ยังอยากติดตามท่านแบบนี้ต่อไป” กู่ฮั่นตอบเสียงแ่
กู่ไห่หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า พลางกล่าว “ข้าก้าวเข้าสู่โลกของผู้ฝึกตนแล้ว อนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะราบรื่น หรือเต็มไปด้วยอันตราย
เราไม่อาจนำไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าเดียวกันได้ กู่ฮั่น นี่เป็โอกาสของเ้าแล้ว พ่อคิดว่าเ้าควรฝากตัวเป็ศิษย์ของท่านอรหันต์เหลียนเซิง”
“ข้า?” ดวงตากู่ฮั่นสั่นระริกด้วยความสับสน และไม่เต็มใจ
กู่ฉินไม่เอ่ยแทรก เพียงมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบงัน
ภิกษุชรามองกู่ไห่ด้วยความซาบซึ้งใจ
กู่ฮั่นจ้องมองกู่ไห่ เห็นถึงความแน่วแน่ในดวงตาอีกฝ่าย ก็เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“พ่อบุญธรรม ข้าเชื่อฟังท่าน” ในที่สุด ชายหนุ่มก็สูดหายใจลึก ก่อนตอบรับด้วยความเคร่งขรึม
“เช่นนั้น ก็กราบท่านอาจารย์เถอะ” กู่ไห่สูดลมหายใจลึก
กู่ฮั่นลุกขึ้น ก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าอรหันต์เหลียนเซิง
“ท่านอาจารย์ โปรดรับข้าเป็ศิษย์ ข้าขอคารวะท่านสามครั้ง”
ตึกๆๆ!
กู่ฮั่นโขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง
“ดีๆ! กู่ฮั่น ต่อไปเ้าจะติดตามอาจารย์ ก้าวเข้าสู่วิถีพุทธต่อไป เ้าคารวะข้าเป็อาจารย์ ทั้งตัวอาจารย์ไม่มีสิ่งใดเลย วงเวทนี้ขอมอบให้เ้าก็แล้วกัน” ภิกษุชราถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนมอบของบางอย่างให้
เอ่ยจบ ก็ยื่นสร้อยข้อมือออกมาตรงหน้ากู่ฮั่น
กู่ฮั่นมองไปยังกู่ไห่
“ของรับขวัญจากผู้ใหญ่ ไม่อาจปฏิเสธได้ อาจารย์ของเ้ามอบให้ ก็รับไว้เถอะ” กู่ไห่พยักหน้า
กู่ฮั่นผงกศีรษะ และรับสร้อยมาอย่างระมัดระวัง
“วงเวทนี้มีพื้นที่เล็กๆ น้อยๆ สามารถเก็บของกระจุกกระจิกได้” อรหันต์เหลียนเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ!” กู่ฮั่นพยักหน้า
“ขอบคุณท่านกู่ ที่ยอมรับคำร้องขอของอาตมา ในเมื่อข้ารับกู่ฮั่นมาแล้ว คงต้องขอตัวก่อน ข้ารู้สึกว่าสหายสนิทอีกคนที่กลับชาติมาเกิด อยู่ทางทิศตะวันตก ข้าัักลิ่นอายนั้นได้ จึงต้องรีบพากู่ฮั่นไปเดี๋ยวนี้” ภิกษุชรามองกู่ไห่อย่างปีติยินดี
“รบกวนรออีกครึ่งวันเถอะ กู่ฮั่นจะไปแล้ว ให้ข้าช่วยเขาจัดเตรียมสัมภาระ และพูดคุยให้เขาเข้าใจอีกสักหน่อย” กู่ไห่กล่าวเสียงเรียบ
“ได้!” อรหันต์เหลียนเซิงพยักหน้า
กู่ฉินวิ่งวุ่นไปทั่ว เพื่อรวบรวมเสบียงจำนวนมาก ก่อนจะนำมาจัดเตรียมให้กู่ฮั่น
กู่ไห่และกู่ฮั่นกำลังสนทนากันอยู่ในห้อง อย่างเป็ส่วนตัว
“พ่อบุญธรรม เหตุใดท่านจึงให้ข้าฝากตัวเป็ศิษย์ ข้า...” กู่ฮั่นเอ่ยถาม พลางขมวดคิ้วแน่น
กู่ไห่เอื้อมมือออกไปยับยั้งอีกฝ่ายทันที เขาส่ายศีรษะ ก่อนจะชี้ไปที่พู่กันและหมึกที่อยู่ข้างๆ
สีหน้าของกู่ฮั่นเปลี่ยนไปพลัน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจในเจตนาของผู้เป็บิดา
“กู่ฮั่น อรหันต์เหลียนเซิงเป็ผู้ที่มีเมตตายิ่ง ข้าเคยเจอผู้คนมากมายที่ยกย่องท่านเช่นนี้ อีกทั้งท่านยังเคยช่วยข้าเอาไว้หลายครั้ง ก็น่าจะเป็คนดีจริงๆ ต่อแต่นี้ไป เ้าก็ติดตามร่ำเรียนวิชากับท่านให้ดี อย่าได้ละเลย” กู่ไห่สั่งสอน
ขณะเดียวกัน กู่ไห่ก็ใช้พู่กันและหมึกเขียนลงบนกระดาษ
‘เพิ่งพูดคุยกันได้ไม่นาน ยังไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็คนเช่นไร ดีหรือไม่ อยู่ที่เ้าจะไปตัดสินเอาเอง แต่เขาเต็มใจยอมรับเ้าเป็ศิษย์จากใจจริง ก็จงร่ำเรียนศึกษาวิชาให้ดี เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น อย่าให้โศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นกับแม่ของเ้า ซ้ำรอยขึ้นอีกในจวนสกุลกู่ของเรา’
“ขอรับ พ่อบุญธรรมโปรดวางใจ ข้าจะเรียนรู้ตำราและวิชาต่างๆจากอาจารย์ให้ดี” กู่ฮั่นพยักหน้าด้วยความแน่วแน่
“เ้ากำลังจะไปแล้ว ข้าจะให้พี่ใหญ่เตรียมสิ่งของต่างๆ ให้ อย่างน้อยเมื่อถึงคราวจำเป็ จะได้หยิบมาใช้ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น” กู่ไห่กล่าว แต่มือกลับเริ่มเขียนลงบนกระดาษอีกครั้ง
‘จงจำเอาไว้ว่า ทุกคนมีความเห็นแก่ตัว ไม่มีใครไว้ใจได้ เ้าต้องรอบคอบ และไตร่ตรองให้ดี’
“ขอรับ ขอบคุณพ่อบุญธรรม ลูกจะจำเอาไว้” กู่ฮั่นพยักหน้า
ปัง!
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก
“พ่อบุญธรรม น้องรอง ข้าเตรียมของไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” กู่ฉินก้าวเข้าไปในห้อง
“กู่ฮั่น เ้าระวังตัวด้วย ต่อไปพวกเราจะพบกันอีกครั้ง ที่แผ่นดินเสินโจว” กู่ไห่กล่าว ขณะเดียวกันก็เขียนลงบนกระดาษตรงหน้า
‘สำหรับวิถีพุทธ ข้าก็ไม่อาจเข้าใจได้ แต่ข้ามีคำหกคำที่จะมอบให้ มันอาจมีประโยชน์หรือไม่ก็ได้ เ้าจงจำหกคำนี้เอาไว้ แล้วในอนาคตจะเข้าใจเอง
โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง[1]’
หลังจากนั้น กู่ไห่ก็โยนกระดาษที่เพิ่งเขียนเสร็จ ลงไปในอ่างไฟข้างๆ ตัว
‘โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง?’ กู่ฮั่นย้ำในใจ ก่อนแสดงความสับสนออกมา
แม้จะไม่เข้าใจมากนัก แต่ก็ยังพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยว่า “ขอรับ!”
เมื่อกระดาษทั้งหมดถูกเผาจนสิ้น ทั้งสามก็เดินออกจากห้อง
ในลานนอกบ้านเต็มไปด้วยสิ่งของ อรหันต์เหลียนเซิงกำลังรอกู่ฮั่นอยู่ที่นั่นแล้ว
กู่ฮั่นรีบเก็บเสบียงและข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมด เอาไว้ในวงเวทเก็บของที่เพิ่งจะได้รับมาทันที
“ท่านกู่ เช่นนั้นอาตมาต้องขอพากู่ฮั่นไปก่อน” ภิกษุชรากล่าว พลางยกยิ้ม ขณะมองไปยังอีกฝ่าย
กู่ไห่พยักหน้า
“น้องรอง ดูแลตัวเองด้วย” กู่ฉินกล่าวเสียงแ่ พลางยิ้มเศร้า
กู่ฮั่นพยักหน้าให้กู่ฉิน ก่อนหันไปคุกเข่าลงตรงหน้ากู่ไห่ โขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง แล้วลุกขึ้นยืน
“ไปกันเถอะ” กล่าวจบ อรหันต์เหลียนเซิงก็โบกมือขึ้น
ฟึ่บ!
ภิกษุชราพากู่ฮั่นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“พ่อบุญธรรม แล้วปัญหาของสำนักชิงเหอ เหตุใดท่านจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากอรหันต์เหลียนเซิงเล่า?” กู่ฉินถามเสียงเรียบ พลางขมวดคิ้วด้วยความกังขา ส่วนดวงตาก็เอาแต่จับจ้องไปยังสองร่างที่เล็กลงเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ห่างไป
“คนเราสามารถติดค้างน้ำใจกันได้ แต่สำหรับบางคน ก็ไม่ควรที่จะติดค้างต่อกัน” กู่ไห่สั่นศีรษะ
--------------------------------------------
[1] อารมณ์ทั้งเจ็ด ได้แก่ ดีใจ โกรธ กังวล ครุ่นคิด โศกเศร้า หวาดกลัว และใ
[2] โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง คือคาถาไล่หมู่มารทั้งหลาย เป็วาจาสั้นๆ เพียงหกคำ ซึ่งมีคำแปลตรงตัวว่า ‘มณีแห่งดอกบัว’ หมายถึงหัวใจที่เบิกบาน ใจที่สะอาด สว่าง หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ หรือก็คือ ปราศจากกิเลสที่ร้อยรัดให้เศร้าหมองนั่นเอง
เป็คาถาแห่งพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือพระคาถาหัวใจของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม (เ้าแม่กวนอิม)
โดยมูลเหตุแห่งพระคาถา มาจากเมื่อครั้งที่พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกำลังเข้าสมาธิบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น ได้มีหมู่มารมาราวีรังควาน แต่ด้วยทรงมีพระเมตตา พระองค์จึงไม่ได้ตอบโต้
แต่กลับยิ่งทำให้หมู่มารได้ใจ มาราวีหนักขึ้น จนในที่สุด พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจึงทรงเปล่งพระวาจาออกมาสั้นๆ เพียง 6 คำ ทว่า เปี่ยมล้นไปด้วยบุญญาภินิหารอันยิ่งใหญ่ไพศาล
ซึ่งก่อกำเนิดจากก้นบึ้งแห่งดวงจิต ที่บำเพ็ญสั่งสมบุญบารมีมานานนับภพชาติไม่ถ้วน ยิ่งกว่าเม็ดทรายในมหานทีคงคา พระคาถาดังกล่าว ได้อ้างถึงบารมีธรรมแห่งอรหันต์ทั้งหกประการ ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ของพระคาถาบทนี้ จึงทำให้หมู่มารทั้งหลายต่างขวัญหนี แตกกระเจิงไปสิ้น อีกทั้งเหล่าเทพเทวาบน์ชั้นฟ้า ต่างก็ต้องลุกขึ้นมาโมทนาโดยถ้วนหน้ากัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้