ทันทีที่หลิ่วไป๋เจ๋อและคนอื่นๆ ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาต่างก็นึกโกรธในใจ คฤหาสน์หลังใหญ่ได้รับการตกแต่งอย่างโอ่อ่าตระการตา ใน่เวลาวิกฤตเช่นนี้ยังมีเวลาว่างมาตกแต่งคฤหาสน์อีกหรือ แถมยังประโคมข่าวได้อย่างยิ่งใหญ่เสียด้วย หากเป็คนที่มีศีลธรรมสักหน่อยคงไม่มีทางตื่นตาตื่นใจกับสภาพเช่นนี้แน่
โดยเฉพาะจิ่วฟางเทียนฉี แม้ว่า่หลายวันที่ผ่านมาเขาจะหัวเราะและหยอกล้อผู้อื่นอย่างมีความสุข ภายนอกดูเหมือนคนที่มีแต่ความสบายใจ ทว่าคนที่เหลือต่างก็รับรู้กันอย่างชัดเจน ทุกๆ เสี้ยวนาทีที่ผ่านไป เขากระวนกระวายราวกับถ่านที่ลุกโชนอยู่ในเปลวเพลิง โคมในห้องของเขาไม่อาจดับได้เลยสักคืน แม้ว่าที่พักพิงจะสะดวกสบายกาย แต่จะสบายใจได้อย่างไรเมื่อมีการนองเือยู่ทุกวัน
ไกลออกไป อวิ๋นจวาผู้เป็บุตรชายคนรองของตระกูลอวิ๋นนำขบวนออกมาต้อนรับผู้คนด้วยท่าทีร่าเริง เขาสวมชุดมีราคา หากเสื้อคลุมเป็สีแดงไม่ใช่สีเหลือง คนอื่นๆ คงคิดว่าวันนี้เป็วันมงคลของเขา
“ทุกคนเดินทางมาไกลและคงรอกันนานแล้ว เวลานี้บิดาของข้าไม่อยู่ ข้า อวิ๋นจวาจึงออกมาต้อนรับ เชิญเข้ามาก่อนเถิด”
นอกจากหลิ่วไป๋เจ๋อและอีกสามคนที่มากับเขาแล้ว ยังมีศิษย์จากหลายตระกูลใหญ่อยู่ด้วย ชายตัวโตผู้หนึ่งแสดงสีหน้าเหยเก ชี้นิ้วไปยังผ้าไหมที่ตกแต่งในลานบ้านก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณชายรองอวิ๋นพอจะบอกได้หรือไม่ว่าที่คฤหาสน์มีงานมงคลอะไร หากไม่มี การตกแต่งอย่างโอ่อ่าตระการตาเช่นนี้เหมือนจะไม่เหมาะสมนัก”
อวิ๋นจวาถามกลับ “คุณชายหลินหมายความว่าอย่างไร ตัวแทนจากสำนักมิ่งเก๋อควรได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นไม่ใช่หรือ”
“ฮึ หากเป็สถานการณ์ปกติ การตกแต่งให้โอ่อ่าเช่นนี้อาจดูสมเหตุสมผล แต่ในเวลานี้ทหารของเทือกเขาจู่เสียกำลังต่อสู้นองเืเพื่อต่อต้านการรุกรานของสัตว์ร้าย ทว่าคฤหาสน์ของพวกเ้ากลับตกแต่งด้วยแพรไหม กินดื่มกันอิ่มหนำสำราญ แบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ”
“หลินเจิ้ง อวิ๋นหลานซานจะทำอะไร ไม่ต้องให้คนตระกูลหลินอย่างเ้าเข้ามาสอดหรอก” อวิ๋นฉี่เดินออกมาจากด้านหลังอวิ๋นจวา เอ่ยพูดกับหลินเจิ้ง บุตรชายคนโตของตระกูลหลินด้วยน้ำเสียงเ็า
“อวิ๋นฉี่ เ้าหมายความว่าอย่างไร อย่าคิดว่าคฤหาสน์ของเ้ายอดเยี่ยมไม่มีผู้ใดเทียบ หากไม่มีอวิ๋นหลานเฟิง อวิ๋นหลานซานก็ไม่มีอะไรดี พวกเ้าสามคนพี่น้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง! ฮึ!!!”
หลิ่วเฉิงเฟิงซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของจิ่วฟางเทียนฉีและหลิ่วไป๋เจ๋อบุ้ยปากเล็กน้อย พึมพำด้วยเสียงแ่เบา “ด่าได้ดีมาก!”
หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือขึ้นกดหลังคอของเขาเบาๆ ส่งสัญญาณให้เลิกพูดมากความ หลิ่วเฉิงเฟิงส่งเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ ก่อนจะย้ายไปยืนข้างอูิหลิง แล้วกระซิบกระซาบกับนางว่า “พี่อู ท่านต้องลงโทษหลิ่วไป๋เจ๋อให้เข็ดหลาบ เขาชอบรังแกข้าอยู่เรื่อยเลย”
ได้ยินเช่นนั้น อูิหลิงก็แก้มแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยกมือเขกหน้าผากหลิ่วเฉิงเฟิงไปทีหนึ่ง ทำหน้าสงบเสงี่ยมและเอ่ยว่า “ไป๋เจ๋อทำถูกแล้ว สถานการณ์เช่นนี้เ้าควรพูดให้น้อยจะเป็การดีที่สุด”
ผู้คนรอบด้านเริ่มวิจารณ์คุณชายรองอวิ๋นด้วยความขุ่นเคือง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มยากจะควบคุม อวิ๋นจวาจึงยกมือขึ้น ผู้อารักขาของคฤหาสน์พลันถือกระบี่วิ่งออกมาล้อมทุกคนไว้
“อวิ๋นจวา เ้าคิดจะทำอะไร” หลินเจิ้งยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นฉากนี้
“ข้าไม่ได้จะทำอะไร แค่อยากให้คนบางคนเข้าใจว่าอวิ๋นหลานซานไม่ใช่ที่ที่กุ้งและปูตัวน้อยๆ อย่างพวกเ้าจะมายั่วยุได้ง่ายๆ”
หลินเจิ้งก็ไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน เขาไม่สนใจกลุ่มผู้อารักขาที่อยู่เบื้องหน้าเลยสักนิด
“อวิ๋นจวา เ้าคิดว่ามีคนมากกว่าแล้วข้าจะกลัวอย่างนั้นหรือ วันนี้ข้าจะให้เ้าเห็นพลังกังฟูของตระกูลหลิน”
เอ่ยจบเขาก็พับแขนเสื้อขึ้น กำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อเริ่มการต่อสู้ แต่กลับถูกจื่ออู่ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันเข้ามาห้ามไว้
หลินเจิ้งสูงราวแปดไม้บรรทัด แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก แต่กลับถูกชายร่างบางยืนขวางพร้อมกับใช้มือทัดทานเอาไว้ เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า รับรู้ได้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาจากชายผู้นี้
“คุณชายหลินโปรดฟังข้าก่อนขอรับ วันนี้ทุกท่านมาหารือเพื่อหาวิธีหยุดยั้งเหล่าสัตว์ร้าย ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับ”
คำพูดของจื่ออู่ทำให้หลินเจิ้งและทุกคนสงบลงเล็กน้อย
“จื่ออู่ เ้าชักหาญกล้าขึ้นเรื่อยๆ คนรับใช้อย่างเ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดอยู่ตรงนี้” อวิ๋นจวาใช้กระบี่ชี้ไปยังจื่ออู่ “ดูเหมือนที่สั่งสอนเ้าครั้งก่อนคงยังไม่พอ อยากรับคมกระบี่อีกสักทีใช่หรือไม่”
อวิ๋นฉี่ที่อยู่ด้านข้างพลันก้าวขึ้นมาเพื่อหยุดน้องชาย พร้อมกับกระซิบข้างหูของเขาว่า “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสั่งสอนเขา สุนัขของตนเองต้องสอนยามที่ปิดประตู มาสอนตอนนี้คนอื่นๆ จะหัวเราะเยาะเอาได้”
“คุณชายรองอวิ๋น คนรับใช้ผู้นี้ของเ้าไม่เลวเลยทีเดียว พูดจาน่าฟังกว่าเ้าเสียอีก ฮึ!”
“เ้า!”
อวิ๋นจวาตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ อวิ๋นฉี่จึงดึงเขาเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้บุ่มบ่ามต่อสู้กับหลินเจิ้ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว อีกไม่นานตัวแทนจากสำนักมิ่งเก๋อน่าจะมาถึง ทุกท่านยังอยากยืนอยู่ที่นี่หรือ”
ทุกคนต่างก็คิดในใจว่า หากปล่อยให้เื่ยืดเยื้อต่อไปคงไม่เป็ผลดีต่อฝ่ายใด ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงเดินไปยังโถงชั้นในของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน
จิ่วฟางเทียนฉีแอบส่ายหัวก่อนจะพูดกับหลิ่วไป๋เจ๋อ “คฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน เห้อ...”
ทุกคำที่อยากเอ่ยแฝงอยู่ในเสียงถอนหายใจแล้ว หลิ่วไป๋เจ๋อจึงกล่าวว่า “เื่ที่ยังไม่รู้แน่ชัด จะมองแค่สิ่งที่เห็นเพียงภายนอกได้อย่างไร”
จิ่วฟางเทียนฉีบุ้ยปาก “ลองมองไปที่คุณชายทั้งสองของตระกูลอวิ๋นสิ ดูท่าจะเข็นไม่ขึ้นแล้วล่ะ”
หลิ่วไป๋เจ๋อแสดงสีหน้าเฉยเมย ก้าวเดินอย่างมั่นคง พร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าตระกูลอวิ๋นยังมีคุณชายสามอยู่หรือ”
“หือ?”
จิ่วฟางเทียนฉีไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร ทุกคนต่างก็รู้ว่าคุณชายสามของตระกูลอวิ๋นเป็คนไร้ประโยชน์ ไม่มีพลังิญญาหรือศิลปะการต่อสู้ แบบนี้ก็เท่ากับไร้ค่า ยังแปรเปลี่ยนเป็อื่นได้ด้วยหรือ
ห้องจัดเลี้ยงอยู่กลางสวนดอกไม้ ทุกคนต่างหาที่นั่งเพื่อรอให้ผู้ส่งสารจากสำนักมิ่งเก๋อมาถึงอย่างเงียบๆ
หลินเจิ้งเป็คนใจร้อน เมื่อครู่เพิ่งโดนยั่วยุ ในยามนี้ไม่ว่าจะมองหน้าใครเขาก็ไม่สบอารมณ์และเห็นเป็ศัตรูไปเสียหมด บนโต๊ะหินข้างหน้ามีสุรา ชา และผลไม้วางเรียงราย เขาไม่สนใจมารยาทอะไรทั้งนั้น หยิบชาขึ้นมายกดื่มจนหมด
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า อากาศอบอ้าว ทุกคนนั่งอยู่ในลานบ้านซึ่งไม่มีที่กำบังแสงแดด เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็เริ่มคอแห้ง ชาที่อยู่เบื้องหน้าจึงเป็สิ่งที่ใช้ดับกระหายในทันที หลิ่วเฉิงเฟิงเอื้อมมือไปหยิบกาน้ำชาแล้วเทน้ำให้ตัวเอง จากนั้นก็ยกขึ้นเพื่อจะดื่ม คิดไม่ถึงว่าจิ่วฟางเทียนฉีจะเอียงตัวมาชนเขา ทำให้ชาในมือหกเลอะเทอะ
“พี่จิ่วฟาง ดูที่ท่านทำสิ!”
จิ่วฟางเทียนฉีรีบยื่นมือออกไปเช็ดเสื้อผ้าให้อีกฝ่าย “ข้าขอโทษๆ เมื่อครู่ข้าไม่ได้นั่งให้ดี”
หลิ่วเฉิงเฟิงหน้ามุ่ย มองดูคราบน้ำบนเสื้อผ้าของตน นี่ชุดตัวโปรดของเขาเชียวนะ! ในตอนที่กำลังโกรธอยู่นั้น จู่ๆ จิ่วฟางเทียนฉีก็เอ่ยขึ้นมาแ่เบาราวกับยุงบิน
“อาหารของที่นี่ ทางที่ดีอย่าแตะต้องอีก”
หลิ่วเฉิงเฟิงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนท่าทีจะกลับมาเป็ปกติ เขาเอียงศีรษะมองไปยังจิ่วฟางเทียนฉีพร้อมกับเอ่ยว่า “พี่จิ่วฟางต้องจ่ายค่าชุดให้ข้า”
จิ่วฟางเทียนฉีหัวเราะเบาๆ “ตกลงๆ จะกี่ตัวก็ย่อมได้”
การเคลื่อนไหวของคนทั้งสองไม่ได้เป็จุดสนใจนัก
หลิ่วไป๋เจ๋อและอูิหลิงที่อยู่อีกฝั่งต่างก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง แต่กลับดึงดูดสายตาจากผู้คนจำนวนหนึ่ง
หลิ่วไป๋เจ๋อนั้นหล่อเหลา เ็า มักแสดงสีหน้าไม่สนใจผู้ใด เมื่อก่อนไม่ว่าจะไปที่ใด หากไม่มีคนที่สนิทสนมอยู่ด้วยก็จะนั่งเว้นระยะห่างกับผู้อื่นเสมอ แต่วันนี้แม่นางอูจากหุบเขาไป่หลิงกลับนั่งอยู่ข้างกายเขาด้วยท่าทางผ่อนคลายเป็ธรรมชาติ หลิ่วไป๋เจ๋อก็ไม่มีทีท่าจะทัดทาน เวลานี้ไม่ว่านางจะยกมือขึ้นหรือทำอะไรก็แฝงไปด้วยเสน่ห์ งดงามราวกับดอกกล้วยไม้กลางหุบเขา ใครต่อใครได้เห็นต่างก็ปรารถนาในตัวนาง
หลังจากนั่งลงแล้วอวิ๋นจวาก็จ้องอูิหลิงไม่ละสายตา แววตาร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงนั้นทำให้อูิหลิงรู้สึกอึดอัด
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว ทว่าจู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งจากใต้โต๊ะมากุมมือนาง ิหลิงตกตะลึงและหันไปมองหลิ่วไป๋เจ๋อ ใบหน้าพลันแดงก่ำ หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
หลิ่วไป๋เจ๋อยังคงแสดงออกเหมือนเคย แต่ในใจกลับโกรธเคืองสายตาที่จ้องมองมาอย่างละโมบอยาก
การเคลื่อนไหวของหลิ่วไป๋เจ๋อกับอูิหลิง อวิ๋นจวาที่อยู่ในมุมสูงกว่าย่อมมองเห็น ดวงตาพลันลุกโชนดังไฟ ได้แต่ขบฟันกรอด
อวิ๋นฉี่ที่อยู่ด้านข้างก็มองเห็นเช่นกัน เขาแอบดูถูกอยู่ในใจ “แค่สตรีนางเดียว ฮึ ไม่เห็นจะน่าสนใจสักนิด”
ทุกคนรอมานานจนดวงอาทิตย์แผดเผาให้เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก อดรนทนต่อไปไม่ไหวจึงเริ่มพากันบ่นออกมา
“ข้ารอมาหนึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดตัวแทนจากสำนักมิ่งเก๋อถึงยังไม่มา”
“ใช่ เกิดเื่อะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เ้าอย่าคิดมากเลย ใครจะกล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ากับคนจากสำนักมิ่งเก๋อกัน แบบนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตายแล้ว”
…ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน บนหลังคาก็ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งขึ้นมาเงียบๆ
หลิ่วไป๋เจ๋อสังเกตเห็นคนผู้นั้นั้แ่แวบแรก แต่แสร้งทำเป็ไม่รับรู้ถึงอันตรายจากเขา สายตาของอีกฝ่ายจับจ้องผู้คนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโดดลงมากลางลานบ้าน
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตะลึง เมื่อมองผู้มาเยือนให้ชัดก็ตระหนักได้ว่าคือผู้ใด คนผู้นี้สวมหน้ากากสีขาวเงิน บนศีรษะมีเสื้อคลุม สวมชุดสีฟ้า ั้แ่อกซ้ายยาวไปจนถึงชายเสื้อปักด้วยดิ้นเงินส่องประกาย ลักษณะเหมือนกับชุดของสำนักมิ่งเก๋อทุกประการ นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวแทนที่ถูกส่งมาจากสำนักมิ่งเก๋อ
ทุกคนยืนขึ้นเพื่อทักทายเขา แต่อีกฝ่ายกลับยืนตรงด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ไม่ตอบรับการทักทายตามมารยาทใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณชายของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานอยู่ที่ใด”
เสียงของผู้ส่งสารราวกับเสียงที่มีคนพากย์ ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็ชายหรือหญิง ชราหรือเยาว์วัย
เมื่อได้ยินเสียงเรียก อวิ๋นจวาและอวิ๋นฉี่ก็รีบก้าวไปข้างหน้า
อวิ๋นจวาชิงพูดก่อน “ข้าคืออวิ๋นจวา คุณชายรองแห่งคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน ท่านผู้ส่งสารมีสิ่งใด้าสั่งหรือขอรับ”
คนผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อและดึงจดหมายออกมา อวิ๋นจวารับเอาไว้ เห็นว่าชื่อบนจดหมายคือชื่อของบิดา ซึ่งเขียนด้วยลายมือของเ้าตัวเอง
“คุณชายแห่งจิ่วฟางกวนอยู่ที่ใด”
จิ่วฟางเทียนฉีก้าวไปเบื้องหน้าโดยไม่พูดให้มากความ รับจดหมายจากผู้ส่งสารมาตรวจสอบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงพูดอย่างแ่เบากับหลิ่วไป๋เจ๋อว่า “นี่คือจดหมายที่บิดาของข้าเขียน”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า จิ่วฟางเทียนฉีไม่ได้เปิดอ่านในทันที ทั้งสองมองไปที่ผู้ส่งสารพร้อมกัน อีกฝ่ายยังคงทำหน้าที่มอบจดหมายให้กับตระกูลต่างๆ
สุดท้ายก็เหลือเพียงหลิ่วไป๋เจ๋อคนเดียวที่ยังไม่ได้รับจดหมาย ผู้ส่งสารหันมองและเดินเข้ามาใกล้ หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาภายใต้หน้ากากมองไปยังเส้นผมสีเงินอย่างพิจารณา
“หลิ่วไป๋เจ๋อใช่หรือไม่”
—-------------------------
