บทที่ 3 หมาป่าหน้าประตู
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูหน้าโรงย้อมดังราวกับเสียงค้อนา มันกระแทกกระทั้นไม่เพียงแต่บานประตูไม้ที่เก่าคร่ำคร่า แต่ยังทุบทำลายห้วงอารมณ์อันเปราะบางที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในลานดินหลังบ้านจนแตกสลายไม่มีชิ้นดี
หลี่เจิ้งซึ่งเพิ่งจะร่ำไห้ออกมาอย่างหมดสิ้นซึ่งความเป็ปรมาจารย์ สะดุ้งสุดตัวราวกับถูกน้ำเย็นสาด ใบหน้าเปียกชุ่มด้วยน้ำตากลับมาซีดเผือดในทันใด "ตระกูล ตระกูลสวี" เขากระซิบเสียงแหบโหยราวกับคนละเมอ
หลี่เหวินรีบผุดลุกขึ้นจากพื้นทันที ใบหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยความหวังเมื่อครู่ บัดนี้เคร่งขรึมและแข็งกร้าวขึ้นมาแทนที่ สองมือกำแน่นจนเส้นเืปูดโปน "พวกมันมาแล้ว มาเร็วกว่าที่คิด!"
"เปิดประตู! พวกหนูสกุลหลี่ที่ซุกหัวอยู่ในรู! คิดจะทำเป็หูทวนลมรึ!" เสียงะโจากด้านนอกยังคงดังต่อเนื่อง มันแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยามและอำนาจบาตรใหญ่
หลี่ซือซือยืนนิ่งอยู่กลางลานดิน มือข้างหนึ่งยังคงถือชายผ้าสีแดงสดราวกับเปลวเพลิงเอาไว้ นางหลับตาลงช้าๆ เพื่อซึมซับสถานการณ์อันเลวร้ายตรงหน้า
ในความทรงจำของเ้าของร่างเดิม ตระกูลหลี่มิใช่ตระกูลเล็กๆ ที่ไร้ญาติขาดมิตร แต่เดิมที ตระกูลหลี่ถือเป็หนึ่งในสี่ตระกูลช่างฝีมือที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองซูเหอแห่งนี้ ท่านปู่ของนางมีพี่น้องร่วมสาบานอีกสามคน ก่อเกิดเป็ตระกูลช่างปัก ช่างทอ และช่างออกแบบ ที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันดั่งกิ่งทองใบหยก
ทว่า... นกสิ้นเกาทัณฑ์เก็บ คนหมดใจไมตรีจาง
เมื่อท่านปู่สิ้นลมไปพร้อมกับสูตรย้อมผ้าในตำนานหลายแขนง ประกอบกับท่านพ่อของนาง หลี่เจิ้ง เป็คนซื่อตรงและยึดมั่นในศิลปะจนเกินไป ไม่สันทัดเื่การค้าขายและการคบค้าสมาคม ทำให้โรงย้อมผ้าที่เคยรุ่งเรืองเริ่มสั่นคลอน
ส่วนมารดาของนาง ซูเยว่ คุณหนูจากตระกูลบัณฑิตยากจนที่ตกหลุมรักในฝีมือและอุดมการณ์ของหลี่เจิ้ง นางคือสายลมอันอ่อนโยนที่คอยประคับประคองครอบครัว แต่โชคร้ายที่นางสุขภาพไม่แข็งแรงมาแต่กำเนิด หลังจากให้กำเนิดซือซือผู้เป็ลูกสาวคนเล็กได้ไม่นาน ร่างกายของนางก็ทรุดโทรมลงและจากไปอย่างสงบ ทิ้งไว้เพียงความทรงจำอันเลือนรางและความเศร้าโศกที่กัดกินหัวใจของหลี่เจิ้งมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเสาหลักของบ้านล้มไปถึงสองต้น ทั้งท่านปู่และท่านแม่ บรรดาลุงป้าน้าอาที่เคยไปมาหาสู่ก็เริ่มตีตัวออกห่าง อาหญิงสาม ที่แต่งเข้าไปในตระกูลพ่อค้าใหญ่ ส่งข่าวมาเพียงว่า "ช่วยไม่ได้ ของมันค้าขายมีขึ้นมีลง" ส่วน "ท่านลุงรอง" ที่เคยหยิบยืมเงินไปตั้งตัว พอตระกูลหลี่มีปัญหา ก็อ้างว่ากิจการของตนก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน
น้ำใสเกินไปไร้ซึ่งมัจฉา คนจริงใจเกินไปไร้ซึ่งบริวาร นี่คือสัจธรรมที่หลี่เจิ้งเพิ่งจะได้เรียนรู้อย่างเ็ปในวันที่เขาล้มลง
สุดท้าย ตระกูลหลี่ที่เคยยิ่งใหญ่ ก็เหลือเพียงพ่อม่ายผู้ที่จิตใจแตกสลาย กับลูกชายลูกสาวสองคนที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดไปวันๆ
"ข้า ข้าจะไปคุยกับพวกมันเอง" หลี่เจิ้งกล่าวเสียงสั่น เขาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ พยายามรวบรวมเศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่ลุกขึ้นยืน "เหวินเอ๋อร์ พาซือซือเข้าไปในบ้านเสีย"
"ไม่ได้!" หลี่ซือซือพูดแทรกขึ้นมาเสียงดังฟังชัด นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในแววตาคู่นั้นไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความเยือกเย็นที่น่าประหลาด "ท่านพ่อ ในสภาพเช่นนี้ ท่านจะไปคุยกับพวกเขา หรือจะไปยอมจำนนให้พวกเขากันแน่?"
คำพูดของนางตรงไปตรงมาราวกับลูกธนูที่พุ่งเข้าปักกลางใจของหลี่เจิ้ง เขาชะงักไปทันที
"ข้า..."
"หมาป่าเมื่อได้กลิ่นเื มันไม่มีวันเจรจา มีแต่จะกระโจนเข้าขย้ำ" ซือซือกล่าวต่อ "ยิ่งท่านแสดงความอ่อนแอให้มันเห็น มันก็จะยิ่งได้ใจ"
น้องสาวข้า นางพูดจาได้เฉียบคมและมองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน? นี่มันไม่ใช่เด็กสาวขี้โรคที่เอาแต่หลบอยู่หลังข้าอีกต่อไปแล้ว! หลี่เหวินรู้สึกแปลกใจในตัวน้องสาวยิ่งนัก นี่มันอย่างกับเป็คนละคนเลย
"แล้ว แล้วเ้าจะให้พวกเราทำอย่างไร?" หลี่เหวินถามขึ้นอย่างร้อนใจ เสียงทุบประตูด้านนอกเริ่มดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ "จะให้พวกเรายืนเฉยๆ ปล่อยให้พวกมันพังประตูเข้ามาหรือ?"
ซือซือยิ้มมุมปาก เป็รอยยิ้มที่ทั้งงดงามและแฝงไว้ด้วยความเ้าเล่ห์ "ใครว่าเราจะยืนเฉยๆ ล่ะพี่ใหญ่? ในเมื่อแขกมาถึงหน้าบ้านแล้ว มีหรือเ้าบ้านจะไม่ต้อนรับ"
นางหันไปหาบิดา "ท่านพ่อ ไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้"
จากนั้นก็หันไปหาพี่ชาย "พี่ใหญ่ ไปนำโต๊ะกับเก้าอี้ที่ดีที่สุดในบ้านออกมาตั้งไว้ที่ลานหน้าบ้าน พร้อมกับชุดน้ำชาชุดโปรดของท่านแม่"
"หา!?" สองพ่อลูกอุทานออกมาพร้อมกันอย่างไม่เชื่อหู
"ซือซือ! นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นชงชานะ!" หลี่เหวินท้วง "พวกมันมาทวงหนี้ ไม่ได้มาจิบชาชมจันทร์!"
"ข้ารู้น่า" ซือซือตอบกลับด้วยความใจเย็น "แต่การเผชิญหน้ากับศัตรู สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่กำลัง แต่คือความสง่างามเราอาจจะจนเงิน แต่เราต้องไม่จนศักดิ์ศรี ยิ่งเรานิ่งเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งสับสนและเกรงกลัว"
นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวประโยคเด็ดที่ทำให้สองพ่อลูกถึงกับอึ้ง
"จำไว้ คนที่คุมเกมได้ คือคนที่เยือกเย็นที่สุดในสนามรบเสมอ ไปเถอะทำให้เหมือนกับว่าเรากำลังรอต้อนรับพวกเขาอยู่แล้ว"
หลี่เจิ้งและหลี่เหวินมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก แต่เมื่อเห็นแววตาที่แน่วแน่และไม่ยอมอ่อนข้อของซือซือ ในที่สุดพวกเขาก็พยักหน้าและแยกย้ายกันไปทำตามที่นางสั่งอย่างเสียไม่ได้
ซือซือสูดหายใจเข้าลึก นางค่อยๆ พับผ้าสีแดง "ชาดแรกอรุณ" ผืนนั้นอย่างบรรจงราวกับเป็ของล้ำค่าที่สุดในโลก ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูหน้าโรงย้อมที่กำลังสั่นะเืจากการถูกทุบอย่างรุนแรง
นางวางผ้าผืนงามพาดไว้บนชั้นวางของเก่าๆ ข้างประตูในมุมที่มองเห็นได้ชัดเจน จากนั้นก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เปิดสลักประตูที่หนักอึ้งออก
เอี๊ยด...
บานประตูไม้เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นภาพเบื้องนอก
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสี่คนยืนถ่มน้ำลายอยู่หน้าประตู นำโดยชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมเนื้อดีแต่ใบหน้ากลับดูเ้าเล่ห์น่ารังเกียจ เขามีนามว่า "สวีฝู" เป็พ่อบ้านใหญ่และเป็สุนัขรับใช้ตัวฉกาจของตระกูลสวี
เมื่อเห็นว่าคนที่มาเปิดประตูเป็เพียงเด็กสาวร่างเล็กบอบบาง สวีฝูก็แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
"โอ้ นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณหนูใหญ่สกุลหลี่นี่เอง หายป่วยแล้วรึ? ข้าก็นึกว่าพวกเ้าจะแกล้งตายอยู่ในนั้นเสียอีก แล้วพ่อกับพี่ชายเ้าเล่า มุดหัวไปอยู่ที่ไหน ไม่กล้าออกมาเจอหน้าข้างั้นรึ!?"
ฮึ่ม! ดีเลย! ส่งเด็กผู้หญิงออกมาแบบนี้ แสดงว่าข้างในคงจะสิ้นไร้ไม้ตอกกันหมดแล้วจริงๆ วันนี้ข้าจะต้องกดหัวพวกมันให้จมดิน เอาโฉนดโรงย้อมนี่กลับไปให้นายท่านให้ได้! สวีฝูคิดพลางยิ้มกริ่มอย่างกับเป็ผู้ที่กุมชะตาชีวิตของตระกูลหลี่ไว้ในมือ
หลี่ซือซือมองชายตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง นางไม่ตอบคำถาม แต่กลับยิ้มหวานให้อย่างเป็มิตร ก่อนจะผายมือเข้าไปด้านใน
"ท่านพ่อบ้านสวีมาถึงแล้ว เหตุใดพวกเราจะไม่ต้อนรับ เชิญด้านในก่อนสิเ้าคะ พอดีท่านพ่อกับพี่ใหญ่กำลังเตรียมน้ำชาอยู่พอดี บ่นว่าอยากจะเชิญท่านมานั่งคุยกันสบายๆ ตั้งนานแล้ว"
คำพูดและการกระทำของนางทำให้สวีฝูและลูกน้องอีกสี่คนชะงักไปทันที พวกมันมองหน้ากันอย่างงุนงง
นี่มันเื่อะไรกัน?
พวกมันเตรียมตัวมาเพื่อข่มขู่ อาละวาด และกดดัน แต่กลับถูกต้อนรับด้วยรอยยิ้มและคำเชิญให้เข้าไปดื่มชา บรรยากาศที่ควรจะตึงเครียดกลับผ่อนคลายลงอย่างประหลาดจนน่าขนลุก มันเหมือนกับต่อยหมัดออกไปสุดแรง แต่กลับเจอเพียงความว่างเปล่า
สวีฝูขมวดคิ้วแน่น พยายามจับพิรุธ "เล่นละครอะไรของเ้า? พวกข้ามาทวงหนี้ ไม่ได้มาเยี่ยมญาติ!"
"ทราบเ้าค่ะ" ซือซือยังคงยิ้ม "เื่หนี้สินเป็เื่สำคัญ จะยืนคุยกันให้ชาวบ้านมามุงดูเป็เื่สนุกได้อย่างไร เชิญด้านในเถอะเ้าค่ะ พื้นที่กว้างขวาง อากาศถ่ายเทดี ท่านจะได้ใช้สมองคิดดอกเบี้ยได้คล่องๆ อย่างไรเล่า"
ประโยคสุดท้ายของนางแฝงไว้ด้วยการจิกกัดอย่างร้ายกาจ แต่ใบหน้ากลับยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์
ความยียวนกวนประสาทที่มาพร้อมกับท่าทีที่สงบนิ่งนี้เอง ที่ทำให้สวีฝูผู้เจนจัดโลกถึงกับไปไม่เป็ เขากำลังถูกเด็กสาวตรงหน้า "คุมเกม" อย่างสมบูรณ์แบบ!
"ก็ได้! ข้าจะดูซิว่าพวกเ้าจะมีลูกไม้อะไรอีก!" สวีฝูตัดสินใจก้าวเข้าไปข้างในเพื่อดูให้รู้แน่
แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดกับบางสิ่ง...
บางสิ่งที่พาดอยู่บนชั้นวางของเก่าๆ ข้างประตู...
ผ้าสีแดงสดที่ราวกับมีชีวิต สีแดงที่งดงามเจิดจรัสจนแทบจะแผดเผาดวงตาของเขาให้มอดไหม้!
ในฐานะพ่อบ้านของโรงย้อมคู่แข่ง สวีฝูย่อมมีความรู้เื่ผ้าเป็อย่างดี เขายืนนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ลมหายใจติดขัด หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
"ผะ ผ้า ผ้านั่น..." เขายกนิ้วที่สั่นเทาชี้ไปยังผ้าผืนนั้น เสียงติดอ่างจนฟังแทบไม่เป็คำ "มัน มันคืออะไรกัน!?"
รอยยิ้มของหลี่ซือซือค่อยๆ หุบลง เปลี่ยนเป็แววตาที่ลุ่มลึกและท้าทาย
"อ้อ ผ้านั่นน่ะหรือเ้าคะ"
นางหันไปมองผลงานชิ้นเอกของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะหันกลับมาสบตากับสวีฝูอย่างตรงไปตรงมา
"มันคือเงินที่จะใช้หนี้พวกท่านอย่างไรเล่า"