“นอกจากนี้สีกาปรากฏตัวอยู่ที่วัดของเราอย่างไม่ชอบมาพากลและทำสิ่งเปล่าประโยชน์ให้แก่วัด เรายังไม่ได้ต่อว่าอะไร สีกากลับคิดจะใส่ร้ายป้ายสีวัด เห็นทีคงมิใช่คนดีอะไร”
เ้าอาวาสไม่เปิดช่องว่างให้ชีเหนียงกับคนที่เหลือได้โต้ตอบกลับ จากนั้นเรียกคนมาจับพวกนางเพื่อส่งให้ทางการ
ชีเหนียงกลับ้าพบเ้าหน้าที่ทางการ เสียดายเพียงเ้าอาวาสผู้นี้จับพวกนางมัดและขังไว้ในห้องเก็บฟืน นอกจากนี้ยังจัดคนเฝ้าดูไว้อย่างแ่า แผนที่ชีเหนียงคิดได้ยังไม่ทันได้ใช้ก็ต้องกลืนลงท้องก่อน ส่วนลั่วจิ่งเฉินเองก็ถูกพวกเขาจับแยกไปขังไว้ที่อื่น
......
ทางด้านหลิงชางไห่กับยายโจวตามหาลั่วจิ่งเฉินไม่เจอก็ร้อนใจ ในครอบครัวมีคนหายไปหนึ่งคน ตอนนี้ก็หายไปอีกคน นี่เท่ากับราดน้ำมันลงบนกองไฟ
ยายโจวที่ร้อนใจจนทนไม่ไหวเอ่ยขึ้น “ต้องโทษข้าที่รั้นจะมาวัด คราวนี้ยังทำคุณชายใหญ่หายไปด้วย”
ทั้งสองมาถึงห้องรับรองแต่กลับไม่เห็นลั่วจิ่งเฉิน ในใจจึงเป็ห่วงอย่างมาก ยายโจวอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษตนเอง
หลิงชางไห่เห็นนางโทษตนเองก็รีบปลอบ “เื่นี้โทษเ้าได้ที่ไหนกัน หากไม่ใช่เพราะข้าที่เป็หัวหน้าครอบครัวจะมา จิ่งเฉินก็คงไม่ตามมาด้วย”
ขณะพูด เขารีบย้ำชัดกับหลวงจีนที่นำทางอีกครั้ง “หลวงจีนน้อย ท่านแน่ใจหรือว่าจิ่งเฉินของเรามาพักที่นี่?”
หลวงจีนพยักหน้า “ผู้ไข้ที่มาพักที่นี่นั้นมีไม่มาก แต่บัณฑิตร่างผอมสูงที่ท่านกล่าวถึงกลับมีเพียงหนึ่งคน ดังนั้นอาตมาไม่ได้จำผิดไป”
หลวงจีนที่ตอบคำถามนี้คือหลวงจีนคนเดียวกับที่มาพร้อมกับเ้าอาวาสและจับชีเหนียงกับคนที่เหลือไปขังไว้ เ้าอาวาสคาดการณ์ได้แต่แรกแล้วว่าญาติสหายของลั่วจิ่งเฉินที่ถูกจับไปขังต้องมาตามหาเขาแน่ ดังนั้นจึงได้แต่ให้พวกเขาคิดว่าลั่วจิ่งเฉินได้จากไปแล้วเพื่อเลี่ยงสิ่งยุ่งยากอื่น
“ใช่สิ อาตมานึกออกแล้ว” หลวงจีนทำเป็ตบศีรษะเหมือนนึกอะไรได้ “ตอนนั้นอาตมามีธุระเร่งด่วนเลยไปหาเ้าอาวาส ดังนั้นจึงชี้ห้องพักให้ประสกท่านนั้น ไม่แน่ประสกท่านนั้นอาจจะมีกิจอันใดและจากไปก่อนแล้ว”
ทั้งสองได้ยินคำบอกเล่าของหลวงจีนจึงรีบไปค้นหาด้านนอกวัด แต่รถม้าของตนยังจอดอยู่ด้านนอกวัด โจวย่าอวิ๋นที่อยู่บนรถเห็นพวกเขาก็รีบลงมาหา
“ท่านแม่ นายท่านใหญ่ จะกลับแล้วหรือ?”
“ย่าอวิ๋น เ้าเห็นจิ่งเฉินด้านนอกวัดหรือไม่?”
โจวย่าอวิ๋นส่ายหน้าและเอ่ยอย่างไม่กระจ่าง “คุณชายใหญ่เข้าวัดพร้อมกับพวกท่านมิใช่หรือ? ผู้น้อยเฝ้าอยู่ด้านนอกยังไม่เห็นเงาของคุณชายใหญ่แต่อย่างใด”
ทั้งสองถึงรู้ว่าจิ่งเฉินไม่ได้ออกจากวัดด้วยซ้ำ
“ย่าอวิ๋น เ้าฝีเท้าไว รีบกลับไปดูก่อนว่าจิ่งเฉินกลับบ้านหรือไม่ นอกจากนี้พาแม่เ้ากลับไปด้วย เด็กๆ ที่บ้าน้าคนดูแล”
หลิงชางไห่สั่งงานทันที “อย่าปฏิเสธ ร่างกายเ้ายังไม่แข็งแรงต้องกลับไปพักผ่อน เกิดเดี๋ยวยังหาคนไม่เจอ เ้าก็ดันมาป่วยเข้าอีก ตอนนี้บ้านเรายัง้าผู้าุโอย่างเ้าคอยดูแล”
ยายโจวเห็นเขาพูดเช่นนี้ พอไตร่ตรองก็เห็นด้วย ตนเองไม่ได้ช่วยเหลือแล้วยังเพิ่มภาระ ดังนั้นจึงรีบเร่งโจวย่าอวิ๋นให้พาตนเองกลับไป
หลิงชางไห่ที่ยังไม่กลับรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ เขาหันกลับไปมองวัด หลวงจีนเมื่อครู่เหมือนจงใจพูดเช่นนี้ เดาว่าคงมีจุดประสงค์อยากไล่พวกเขาไป ตอนนี้เขาแสร้งทำเป็จากไป รอดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน
ขณะคิดเขาก็ยกเท้าจะจากไป แต่ทันใดนั้นก็มีคนเรียกเขาไว้
“ท่านอาหลิง ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ชีเหนียงมาด้วยหรือไม่?”
ตู้ิเจวียนเรียกเขาไว้ ดวงตาคอยจับจ้องไปด้านหลัง เมื่อเห็นว่าไร้เงาของชีเหนียง จึงยิ้มเบาๆ “ท่านอาหลิงคงไม่ได้แอบหนีออกมาเที่ยวคนเดียวหรอกนะ”
“หยางฮูหยิน มาจุดธูปไหว้พระหรือ? ระยะนี้ชีเหนียงของเราคงไม่มีเวลาไปที่ร้านแล้ว”หลิงชางไห่รู้ว่าจ้าวจือชิงแจ้งทางการแล้ว เพียงแต่ดูจากท่าทางแล้ว ชัดเจนว่าตู้ิเจวียนยังไม่รู้ข่าวการหายตัวของชีเหนียง
ตู้ิเจวียนคิดถึงว่า่นี้ไม่ได้เจอชีเหนียงจริงๆ “เพราะเหตุใด? ชีเหนียงป่วยหรือ?”
หลิงชางไห่ลังเลว่าจะบอกนางหรือไม่ ใต้เท้าหยางที่เป็สามีของนางกลับไม่บอกเื่นี้กับนาง แล้วตนควรบอกดีหรือไม่
“ท่านอาหลิง! ท่านจะทำให้ข้าร้อนใจตายหรือ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีเหนียง?”
เมื่อนึกถึงว่าชีเหนียงหายไป จิ่งเฉินก็หายไป คงเลี่ยงไม่ได้ต้องให้ใต้เท้าหยางช่วยเหลือ สตรีผู้นี้จริงใจกับชีเหนียง หากมีนางช่วยเร่งเร้าใต้เท้าหยาง การค้นหาชีเหนียงก็น่าจะเร็วขึ้นสักหน่อย
“ชีเหนียงหายตัวไป!” หลิงชางไห่เอ่ยเสียงต่ำ “ไม่เพียงเท่านี้ วันนี้จิ่งเฉินก็หายตัวไปอีก ข้ากำลังคิดจะไปแจ้งความ”
“อะไรนะ!” ตู้ิเจวียนใอย่างมาก “ชีเหนียงกับอาเฉินหายไปหรือ?”
ตู้ิเจวียนรีบเรียกสี่เอ๋อร์มา “เร็วเข้า ไปหานายท่าน ต้องให้นายท่านส่งคนมาให้ได้”
“เ้าค่ะ ฮูหยิน บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
สี่เอ๋อร์จากไปอย่างเร่งรีบ ตู้ิเจวียนคิดจะรอข่าวกับหลิงชางไห่ในวัด แต่กลับถูกหลิงชางไห่ปฏิเสธ
“จิ่งเฉินหายไปในวัดนี้ ข้ากำลังสงสัยว่าวัดนี้มีความผิดปกติ”
“อย่าเพิ่งหันกลับไป นับั้แ่เมื่อครู่ข้าก็รู้สึกว่ามีคนจับตาดูข้าอยู่ เ้าออกไปกับข้าก่อน”
พอสิ้นคำพูดนี้ ตู้ิเจวียนก็ไม่กล้าหันกลับไปอีก ทั้งสองเดินออกจากวัด จากนั้นเลี้ยวไปนั่งลงบนร้านน้ำชาข้างทางที่อยู่ไม่ไกล
ทันทีที่นั่งลง ตู้ิเจวียนก็เอ่ยถามอย่างร้อนรน “ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านอาหลิง? เหตุใดอยู่ดีๆ จิ่งเฉินจึงหายตัวไปในวัด?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ ชีเหนียงหายตัวไปในตรงหัวมุมถนนได้ นับประสาอะไรกับจิ่งเฉิน ตอนนี้ที่ข้าห่วงคือ ขาของจิ่งเฉินเพิ่งจะอาการดีขึ้น ถ้าหากเกิดความผิดพลาด เกรงว่า…”
ใช่แล้ว เทียบกับความเป็ห่วงชีเหนียง ตอนนี้เขาห่วงจิ่งเฉินมากกว่า เขารู้ว่าชีเหนียงดูเหมือนอ่อนแอ แต่ค่อนข้างมีความคิดของตนเอง ร่างกายก็แข็งแรงอย่างยิ่ง ่ที่ผ่านมาเวลาว่างๆ คนสกุลลั่วมักจะพากันฝึกฝนกับจ้าวจือชิง กระทั่งจ้าวจือชิงยังบอกว่าหากชีเหนียงฝึกฝนวรยุทธ์ตอนเด็กกว่านี้สักไม่กี่ปี คงต้องสำเร็จผลแน่ ดังนั้นขอเพียงชีเหนียงอยากหนี แม้ว่าจะยากเย็นแต่คงไม่ถึงขั้นเป็ไปไม่ได้
แต่จิ่งเฉินไม่เหมือนกัน เขาอ่านตำรามากมายเกินไป เมื่อวานตอนที่โจรขึ้นบ้าน ตนกลัวว่าจะเกิดเื่กับเด็กๆ จึงเตรียมยาสลบกับยาถอนพิษไว้ให้ทุกคน แต่เด็กคนนี้กลับบอกว่าเป็วิธีต่ำช้า ทำเอาตนโมโหจนเกือบกระอักเื
เกลี้ยกล่อมสารพัดกว่าจิ่งเฉินจะยอมพกติดตัวไว้ กลัวเพียงว่าเ้าเด็กคนนี้จะอวดรู้เกินไป กลัวเพียงว่าของที่เขาให้ไปจะสิ้นเปลืองเปล่าๆ
......
ถูกต้อง ขณะนี้ลั่วจิ่งเฉินกำลังลังเลว่าจะใช้ของที่หลิงชางไห่ให้มาป้องกันตัวดีหรือไม่ ในความคิดเดิมทีของเขา การจะทำสิ่งใดต้องผ่าเผย แม้ภายหลังเขาจะจิตตกเพราะสภาวะย่ำแย่เหมือนตกนรก่หนึ่ง แต่ในใจกลับไม่ยินดีจะทำเื่ต่ำช้าเช่นนี้
แต่ตอนนี้เขาไร้ซึ่งหนทาง หาก้าหลุดพ้นจากหลวงจีนที่ร่างกายแข็งแรงเ่าั้คงเป็เื่ที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการช่วยท่านแม่เลย
เมื่อครู่เขาเห็นชัดเจนแล้ว คนที่จับตัวท่านแม่มาต้องร่วมมือกับหลวงจีนในวัดแน่ หากคนที่ถูกจับหนีไปได้ ก็ต้องถูกคนในวัดจับกลับมา นานเช่นนี้แล้ว แต่ยังไม่มีคนของทางการมา ก็รู้ได้ว่า เื่เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแน่
คงเพราะหลวงจีนเ่าั้คิดว่าเขาไม่มีภัยคุกคาม จึงไม่ได้จับเขามัดไว้ด้วยซ้ำ
-----