เมื่อพูดจบเขาก็เริ่มเล่นอีกครั้ง คราวนี้เป็เพลงเหมยฮวาสามลีลา
“เหมยฮวาร่วงหล่น ัักับขลุ่ยและริมฝีปากสีแดงชาด
ปกปิดใบหน้าของนางด้วยกลีบบางสีชมพูอ่อน
แสงจันทร์สะท้อนน้ำ เงาต้นไม้ดูเอียงเอน
ลมพัดกลีบเหมยกระทบม่านหน้าต่าง
เหมยฮวาส่งกลิ่นหอมใต้น้ำค้าง แสงจันทร์ และสายลม
เหมยฮวากู้ซานซิง[1]ร่วงหล่นลงบนหลังคา
อ่านบทกวีจากกลางดอกหมุนวนตามกลีบ
เหม่ย ชิงจู เป่ยโหลว และตงอิ๋ง[2]
เหมยฮวาในฤดูใบไม้ผลิ ผัดหน้าแต้มกลีบบนหน้าผาก
วาดกลีบเลี้ยงสีเขียว ดูงดงามราวเทพธิดาจากสรวง์”
เมื่อเพลงจบ ชายในชุดคลุมสีม่วงก็มอบกู่ฉินคืนให้อวิ๋นจื่อ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นอกจากบิดามารดาของเ้าแล้ว ข้าไม่เคยเล่นกู่ฉินให้ใครฟังเลย บางทีเื่ทั้งหมดนี้อาจถูกกำหนดไว้แล้ว แม่ของเ้าเคยสอนหัวใจแห่งฉินให้แก่เ้าหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
ชายในชุดคลุมสีม่วงบอกให้นางร้องเพลงท่อนหนึ่งให้เขาฟัง
อวิ๋นจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เขายิ้มและกล่าวว่า “เ้าไม่ต้องกังวล เ้าร้องเพลงใดข้าเล่นเพลงใดมีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่รู้”
เมื่ออวิ๋นจื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็รู้สึกโล่งใจและเริ่มร้องเพลง
“หรือการดีดสายจะกลายเป็ท่วงทำนองล้ำค่า?
หรือชายกระโปรงจะลากยาว?
หรือม้าเหล็กจะเคลื่อนไปข้างหน้าเมื่อลมพัด?
หรือระฆังของพระราชวังจะดังขึ้นในตอนกลางคืน?
ข้ามาที่นี่เพื่อฟังเสียงจากทิศตะวันออกของกำแพง
แต่กลับกลายเป็ว่าเสียงดังมาจากทิศตะวันตก
เขาไม่ทำตัวเหมือนทหารม้าเหล็กที่มีดาบและทวน
เขาไม่เดินตามเสียงร้องของนกกระเรียนบนูเาหลิงซาน
เขาไม่ทำตัวอวดดีหยอกเย้าสาวงาม
แต่เขาเหมือนเด็กที่ส่งเสียงกระซิบผ่านหน้าต่างบานเล็ก
เขาคิดว่าตนเองยากจนและถูกเกลียดชัง
เขาเป็เช่นนี้เพราะสูญเสีย่เวลาในวัยเด็ก
ก่อนที่เพลงจะจบลง ข้าเข้าใจแล้วว่า
นกนางแอ่นบินจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก
หวนนึกถึงค่ำคืนที่เ็ป
เคยเป็เพื่อนรัก แต่เมื่ออายุมากขึ้นทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน”
เพลงนี้ฟังดูลึกซึ้งกินใจ แต่หากขับร้องโดยหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยกับโลกกว้างก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
ชายในชุดคลุมสีม่วงสงสัยว่าตอนนั้นเขาคิดอย่างไรถึงสอนเพลงนี้ให้ซูว่านหรู?
แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังจำไม่ค่อยได้แล้ว
หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่รับนางเป็ศิษย์ หญิงสาวที่น่ารักและฉลาดอย่างซูว่านหรูหากอวี้เหอได้นางเป็ศิษย์จะต้องพึงพอใจมากแน่
บัดนี้นางได้จากไปแล้ว ในใจเขามีแต่ความอาลัยอาวรณ์เท่านั้น
เขายิ้มอย่างขมขื่น
ท้ายที่สุดแล้วความลับย่อมถูกซุกซ่อนด้วยเวลา จากนั้นมันก็จะกลับคืนสู่ธุลี
หลังจากที่อวิ๋นจื่อร้องเพลงจบ ก็เกิดความเงียบเป็เวลานานระหว่างทั้งสองคน
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ในที่สุดชายในชุดคลุมสีม่วงก็ทำลายความเงียบด้วยการกล่าวว่า “ข้าคือนักพรตเปาฉินแห่งูเาขงถง ตลอดชีวิตข้ามอบความรักให้กับสองสิ่งเท่านั้นคือกู่ฉินและกระบี่ ลูกศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดของข้าล้วนจากข้าไปแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเ้าสนใจจะเป็ศิษย์ของข้าหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อใมาก
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกชายในชุดคลุมสีม่วงถึงแผนการของนางที่จะเดินทางไปยังสำนักชิงซาน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ตราบใดที่เ้ายังไม่มีอาจารย์ เ้าย่อมไม่ใช่ศิษย์ของสำนักชิงซาน บิดามารดาของเ้าล้วนมาจากสำนักของข้า ดังนั้นเหตุใดเ้าถึงจะเป็ศิษย์ของข้าไม่ได้ล่ะ?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเสียงต่ำ “ข้าเกรงว่าการทำเช่นนั้นจะไม่ซื่อสัตย์ต่อสำนักชิงซาน”
ชายในชุดคลุมสีม่วงยิ้ม “อย่ากังวลไป ไม่สำคัญหรอกว่าเ้าจะมีอาจารย์กี่คน ูเาขงถงของเราตั้งตรงเสมอ เราจะไม่ให้เ้าทำอะไรนอกลู่นอกทางอย่างแน่นอน ข้า้ารับเ้าเป็ศิษย์ไม่ใช่แค่เพราะบิดามารดาของเ้าเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะตัวตนของเ้าสอดคล้องกับความปรารถนาของข้า หากเ้าต้องเรียนวิชากระบี่ที่สำนักชิงซานจริงๆ เช่นนั้นทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนข้าจะเดินทางไปที่สำนักซิงซานและสอนเ้าเป็การส่วนตัว”
อวิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นและถามว่า “จะไม่เป็อะไรจริงๆ หรือเ้าคะ?”
เขายิ้ม “อวี้เหอน้องสาวของข้าก็เคยสอนคนจากสำนักฮั่วซาน วิชากระบี่ไม่มีการแบ่งแยกหรอกนะ”
เมื่ออวิ๋นจื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็ทำพิธีคำนับอาจารย์
ชายในชุดคลุมสีม่วงดูมีความสุขมาก เขาหยิบเพลงกู่ฉินออกจากแขนเสื้อและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือของขวัญสำหรับการพบกันของเรา”
อวิ๋นจื่อรับเพลงกู่ฉินมา หลังจากกล่าวขอบคุณแล้วนางก็เห็นว่ามันเป็สำเนาของคัมภีร์กู่ฉินอวี้อู๋
ชายในชุดคลุมสีม่วงกล่าวว่า “เ้าเล่นกู่ฉินได้ดี”
ขณะที่เขากำลังจะจากไป จู่ๆ เขาก็หันกลับมาและกล่าวว่า
“เหตุใดเ้าไม่เล่นเพลงอื่นให้ข้าฟังล่ะ?”
อวิ๋นจื่อรับคำและเริ่มเล่นเพลงเทียนเหมิน
“ประตู์เปิดแล้ว ผู้คนครุ่นคิดและควบม้าอย่างสนุกสนาน
จุดเทียนยามค่ำคืน หากยึดมั่นในคุณธรรม ศรัทธา และจิติญญาอันลึกซึ้ง ชีวิตย่อมยืนยาว
ห้องโถงทำจากหินและประดับด้วยหยก มันใหญ่โตโอ่อ่าประหนึ่งว่าจะคงอยู่ตลอดกาล
ดวงดาวสังเกตเห็นการเสียสละของผู้คนและให้คำมั่นสัญญาด้วยการเปล่งแสงที่ดูราวกับไข่มุก ส่องประกายผ่านม่านสีม่วงของวิหาร
เหล่านางระบำหมุนตัวไปมาเหมือนนกที่บินเข้าหากัน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องสว่าง
สายลมพัดโชยมาและโหมกระหน่ำ
หากเทพเป่ยฮุยมีจริง เขาจักถวายบทกวีสี่บท
จักรพรรดิหวู่แห่งราชวงศ์ฮั่นหวังว่าตนเองจะมีอายุยืนยาวและ้าวิงวอนต่อเทพเ้า
บูชาเทพเ้าเพื่อเปิดรับความเจริญรุ่งเรือง ความงดงาม และความเป็มงคล
จักรพรรดิหวู่แห่งราชวงศ์ฮั่น้าเสด็จขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อกลายเป็เซียน
เมื่อมองลงมาที่พื้นโลกก็เหมือนลอยอยู่ในทะเล”
ชายในชุดคลุมสีม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในบรรดาบทกวีของเยว่ฝู บทกวีที่ผู้คนมักนำมาขับร้องคือบทกวีมู่หลานและนกยูงบินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ มารดาของเ้าเคยสอนเ้าหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
ชายในชุดคลุมสีม่วงมองนางราวกับค้นพบสมบัติล้ำค่า เขายิ้มกว้างและกล่าวว่า “เช่นนั้นเ้าเล่นเพลงบทกวีมู่หลานให้ข้าฟังทีเถิด”
อวิ๋นจื่อดีดกู่ฉินเบาๆ ทันใดนั้นเสียงเพลงก็ดังขึ้น
“มู่หลานกำลังทอผ้าอยู่ที่บ้าน แต่ข้าไม่ได้ยินเสียงกี่ทอผ้า
ข้ากลับได้ยินเสียงถอนหายใจ ข้าจึงถามว่านางคิดสิ่งใดอยู่
แต่หญิงสาวไม่มีสิ่งใดต้องคิดและไม่มีสิ่งใดต้องจดจำ
เมื่อคืนข้าได้ยินทหารป่าวประกาศเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร ข้าพบชื่อบิดาที่แก่ชราแล้วของข้า
แต่บ้านมู่หลานไม่มีบุรุษอื่น มู่หลานไม่มีพี่ชาย
ตลาดตะวันออกซื้อขายม้า ตลาดตะวันตกซื้อขายอานม้า
ตลาดใต้ซื้อขายบังเหียน ตลาดเหนือซื้อขายแส้ยาว
เมื่อข้าต้องจากบิดามารดา ข้ามักยืนอยู่ริมแม่น้ำเหลืองในตอนกลางคืน
ข้าไม่ได้ยินเสียงบิดามารดาเรียกหา แต่ข้าได้ยินเสียงสายน้ำไหล
ข้าเดินออกห่างจากแม่น้ำเหลืองและขึ้นไปบนยอดเขาในตอนเย็น
ข้าไม่ได้ยินเสียงบิดามารดาเรียกหา แต่ข้าได้ยินเสียงนายกองกำลังส่งสัญญาณบนูเาเหยียนซาน
เดินทางหลายพันลี้ไปยังกองทหารกวนซาน
ความหนาวเย็นแทรกซึมผ่านเกราะเหล็กที่ข้าสวม นายพลคนหนึ่งเสียชีวิตในการต่อสู้
และเหล่าชายผู้แข็งแกร่งเดินทางกลับมาหลังจากผ่านไปสิบปี
ส่วนจักรพรรดินั่งอยู่ในห้องโถงที่สว่างไสว
ถึงเวลามอบรางวัลตอบแทนความแข็งแกร่ง ข่าน[3]ถามว่า้าสิ่งใด มู่หลานตอบว่าไม่้าสิ่งใด
นอกจากอูฐชั้นดีเพื่อเดินทางหลายพันลี้กลับบ้านเกิด
เมื่อบิดามารดาได้ยินว่าลูกสาวกำลังจะกลับมาก็รอต้อนรับ
ข้าเปิดประตูพลับพลาด้านทิศตะวันออกแล้วนั่งลงบนตั่ง
ถอดเกราะเหล็กและสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นก้อนเมฆและพระวิหารที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สีเหลืองที่ทำจากกระจก
เมื่อข้าออกไปพบสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาตลอดสิบปี แต่ข้ากลับไม่รู้ว่ามู่หลานเป็หญิงสาว
กระต่ายตัวผู้กระทืบเท้า กระต่ายตัวเมียสายตาพร่ามัว เมื่อกระต่ายสองตัวเดินเคียงข้างกัน ใครเล่าจะบอกได้ว่าตัวไหนตัวผู้ตัวไหนตัวเมีย?”
เมื่ออวิ๋นจื่อเล่นจบ ชายในชุดคลุมสีม่วงก็ปรบมือครั้งแล้วครั้งเล่า “อย่างที่ข้าคาดไว้ไม่มีผิด ซูว่านหรูมักทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ คราวนี้เล่นเพลงซีโจวให้ข้าฟังทีเถิด”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและเริ่มดีดกู่ฉินอีกครั้ง
“เหมยฮวาที่ซีโจว ข้าจะพับกลีบดอกแล้วส่งไปยังเจียงเป่ย
สวมอาภรณ์แดงชาด เกล้าผมงดงาม
ซีโจวอยู่ที่ใด? สองมือพายเรือข้ามแม่น้ำ
เสือหลบซ่อนตัวในตอนพลบค่ำ ลมยามเย็นโบกพัดต้นไม้
ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน ปิ่นหยกโผล่ออกมานอกประตู
เฝ้ารอคนรักที่ไม่ปรากฏตัว จึงเปิดประตูออกไปเด็ดดอกบัว
เก็บดอกบัวในฤดูใบไม้ร่วง ดอกบัวสูงเหนือหัว
ก้มศีรษะเพื่อล้างเม็ดบัว ความรักบริสุทธิ์ดุจน้ำใส
ซ่อนเม็ดบัวไว้ในแขนเสื้อ ใจกลางดอกบัวเป็สีแดง
คิดถึงหลางจวิน แต่หลางจวินยังไม่มา จึงเงยหน้าขึ้นฟ้ามองห่านโบยบิน
ท้องฟ้าของซีโจวเต็มไปด้วยห่านป่า
หอคอยสูงจนมองไม่เห็นยอด ดูราวกับก้อนเมฆลอยอยู่ตรงราวบันได
เมื่อมองไกลๆ เห็นว่าบันไดดูคดเคี้ยวไปมา ราวจับก็ดูงดงามราวกับหยก
ท้องฟ้านอกม่านที่ม้วนขึ้นดูราวกับแม่น้ำที่กระเพื่อมไหวไปมา
ความฝันยาวไกลเท่าสายน้ำ เมื่อเ้าโศกเศร้า ข้าย่อมไม่อาจเบิกบานใจ
หากสายลมฤดูร้อนล่วงรู้ถึงความรักของข้า โปรดพัดพามันไปที่ซีโจว”
ชายในชุดคลุมสีม่วงมีท่าทีพึงพอใจ เขากล่าวว่า “ข้าอยากฟังเ้าเล่นเพลงนกยูงบินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ อย่าลืมเล่นเพลงนี้ให้อาจารย์ฟังด้วย”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
แต่จู่ๆ เขาก็หายตัวไป
------------------------
[1] เหมยฮวากู้ซานซิง เป็ชื่อสายพันธุ์บ๊วย ดอกบ๊วยสายพันธุ์นี้ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการประดับประดาตกแต่ง ผลบ๊วยมีขนาดใหญ่ เนื้อหนา แกนเล็ก เปลือกมีสีเหลือง เนื้อยืดหยุ่นและฉ่ำน้ำ
[2] เหม่ย ชิงจู เป่ยโหลว และตงอิ๋ง วิธีอ่านคือเริ่มจากตัวอักษรเหมยบริเวณกึ่งกลางของดอกไม้และหมุนทวนเข็มนาฬิกาตามขอบกลีบ บทกวีจะอยู่ที่แต่ละกลีบกลายเป็บทกวี 5 บรรทัด ซึ่งเท่ากับจำนวนกลีบของดอกเหมยพอดี คุณสมบัติอีกข้อคือ ทุกประโยคล้วนขึ้นต้นด้วยคำว่า “เหมย” เช่นเดียวกับกลีบดอกไม้ทุกดอกที่เติบโตจากศูนย์กลางของดอกไม้
[3] เหตุที่มู่หลานเรียกโอรส์ว่า “ข่าน” เข้าใจว่าเป็เพราะแผ่นดินจีนภาคเหนือในยุคราชวงศ์เหนือใต้ปกครองโดยชนเผ่านอกด่าน จึงเป็ข้อสันนิษฐานหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่ามู่หลานมีที่มาจากราชวงศ์เหนือ ซึ่งเชื่อว่าคือเว่ยเหนือ ทั้งนี้ในสมัยราชวงศ์จิ้นแผ่นดินเกิดจลาจล ทำให้ชนเผ่านอกด่านทั้งห้าเข้ามาแย่งชิงอำนาจในแผ่นดินจีนภาคเหนือจนแผ่นดินแตกออกเป็หลายแคว้น ราชวงศ์จิ้นต้องอพยพลงใต้ไปตั้งราชธานีที่เมืองเจี้ยนคัง ตอนนั้นแผ่นดินจีนเข้าสู่ยุคสมัยที่เรียกว่าสิบหกอาณาจักร ต่อมาในอาณาจักรเว่ยเหนือของชนเผ่าเซียนเปย สกุลทั่วป๋าสามารถรวบรวมแผ่นดินจีนภาคเหนือได้สำเร็จ จีนจึงเข้าสู่ยุคราชวงศ์เหนือใต้ที่แผ่นดินแบ่งออกเป็สองส่วน ภาคเหนือปกครองโดยเว่ยเหนือ ภาคใต้ปกครองโดยราชวงศ์ที่สืบต่อจากจิ้น มีผู้สันนิษฐานว่าการเรียกเกณฑ์ทหารครั้งใหญ่ของข่านในมู่หลานฉือ อ้างอิงจากรัชสมัยจักรพรรดิไท่อู่ตี้แห่งเว่ยเหนือ (ครองราชย์ ค.ศ. 423-452) ซึ่งต้องทำากับชาวโหรวหรานที่ก่อตั้งอาณาจักรอยู่ในดินแดนมองโกเลียทางเหนือของจีนถึงสิบสามครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้