บทที่ 9: ไวน์ราคาแพงกับเศษไม้ไร้ค่า
เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงคลอเบาๆ ในห้องบอลรูม แสงไฟระยิบระยับส่องกระทบแก้วคริสตัลและเครื่องเพชรวูบวาบ บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเงินตราและอำนาจ
ฉันยืนถือแก้วน้ำส้ม (เพราะยังไม่อยากดื่มแอลกอฮอล์ให้เสียสติ) อยู่ข้างกายกรณ์ เขาเพิ่งพาฉันไปแนะนำให้รู้จักกับทูตพาณิชย์และนักลงทุนรายใหญ่ 2-3 คน ซึ่งทุกคนดูสนใจโมเดลธุรกิจ 'Zero Waste' ของฉันมาก
"คุณทำได้ดีกว่าที่ผมคิดนะเนี่ย คุยกับท่านทูตซะคล่องเชียว" กรณ์กระซิบชม
"ก็แค่ทำการบ้านมาดีค่ะ" ฉันตอบยิ้มๆ
"อุ๊ยตาย! คุณกรณ์"
เสียงแหลมสูงดัดจริตดังแทรกขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกที่ลอยนำมาก่อนตัว
หญิงสาววัยไล่เลี่ยกับฉัน แต่แต่งตัวจัดจ้านในชุดราตรีสีแดงเพลิงปักเลื่อมทั้งตัว เดินนวยนาดเข้ามาพร้อมแก้วไวน์แดงในมือ ใบหน้าเชิดสูง บ่งบอกยี่ห้อลูกคุณหนูเอาแต่ใจ
'ลลิตา' ทายาทเ้าของโรงงานเซรามิกส่งออกรายใหญ่ของจังหวัดลำปาง ที่ผูกขาดตลาดมานาน พ่อของเธอเป็หนึ่งในบอร์ดบริหารของสมาคมฯ
"สวัสดีครับคุณลิตา" กรณ์ทักทายตามมารยาท แต่รอยยิ้มบนหน้าดูจางลงถนัดตา
"ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณกรณ์ดูดีขึ้นเยอะเลยนะคะ" ลลิตาส่งสายตาหวานหยดย้อยให้เขา ก่อนจะปรายตามองมาที่ฉันด้วยหางตา ราวกับมองแมลงตัวเล็กๆ ที่เกาะแขนเสื้อสูทราคาแพงของกรณ์
"แล้วนี่... ใครเหรอคะ? เด็กฝึกงานแบงก์เหรอ? หน้าตาจืด... เอ้ย ดูเรียบร้อยจัง" เธอแสร้งทำเป็ยิ้มทักทาย แต่คำพูดเชือดเฉือนสุดๆ
"นี่คุณบัวบูชาครับ เ้าของโรงงานชัยเฟอร์นิเจอร์... ลูกค้าคนสำคัญของผม" กรณ์แนะนำเสียงเรียบ
"อ๋อออ..." ลลิตาลากเสียงยาว ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก "ชัยเฟอร์นิเจอร์... โรงงานไม้เล็กๆ แถบชานเมืองที่เกือบจะล้มละลายเมื่อเดือนก่อนใช่ไหมคะ? ได้ข่าวว่าพ่อคุณต้องเอาที่ดินไปจำนองวิ่งเต้นกู้เงินนี่นา"
เธอจงใจพูดเสียงดังเพื่อให้คนรอบข้างหันมามอง และมันได้ผล ไฮโซหลายคนเริ่มหันมาซุบซิบ
"แล้วนี่..." ลลิตาขยับเข้ามาใกล้ จ้องมองกำไลข้อมือไม้สักของฉัน "ตายจริง... นี่มันเศษไม้เหลือทิ้งไม่ใช่เหรอคะ? ช่างกล้านะคะ เอา 'ขยะ' มาใส่เดินงานกาล่าระดับประเทศแบบนี้ ไม่กลัวคนเขาจะมองว่า... จน เหรอคะ?"
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที กรณ์ขยับตัวจะสวนกลับ แต่ฉันแตะแขนเขาไว้เบาๆ เป็เชิงบอกว่า 'ไม่ต้อง... ฉันจัดการเอง'
ฉันจิบน้ำส้มช้าๆ แล้ววางแก้วลง มองสบตาลลิตาด้วยแววตาของผู้ใหญ่ที่มองเด็กไม่รู้จักโต
"คุณลลิตาทราบไหมคะ..." ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่กังวาน "ว่าตอนนี้ที่ยุโรปและอเมริกา เขากำลังฮิตคำว่าอะไรกัน?"
ลลิตาชะงัก "ค...คำว่าอะไร?"
"Sustainable Luxury หรือ ความหรูหราที่ยั่งยืนค่ะ" ฉันอธิบายเหมือนเลคเชอร์ "คนรวยจริงๆ ในยุคหน้า เขาไม่ได้วัดกันที่ใครใส่เพชรเม็ดใหญ่กว่ากันหรอกนะคะ แต่วัดกันที่ 'รสนิยม' และ 'ความรับผิดชอบต่อโลก'"
ฉันยกข้อมือที่สวมกำไลไม้ขึ้นมา
"ไม้ชิ้นนี้ คือไม้สักทองอายุ 50 ปี ที่ฉันนำมาดีไซน์ใหม่โดยไม่ตัดต้นไม้เพิ่มแม้แต่ต้นเดียว ในสายตาคุณมันอาจจะเป็ขยะ... แต่ในสายตาลูกค้ากระเป๋าหนักที่ลอนดอน มันคือ 'Art Piece' ที่มีชิ้นเดียวในโลก และมีมูลค่าทางจิตใจสูงกว่าถ้วยชามเซรามิกปั๊มโรงงานที่ผลิตวันละแสนใบ... แบบที่คุณขายเยอะเลยค่ะ"
"นี่เธอ!!" ลลิตาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอกำแก้วไวน์แน่นจนสั่น "กล้าดียังไงมาเทียบกับของฉัน! โรงงานฉันส่งออกปีละร้อยล้านนะยะ!"
"ร้อยล้าน... แต่กำไรสุทธิเหลือเท่าไหร่คะ?" ฉันย้อนถามแทงใจดำ (เพราะรู้ข้อมูลจากอนาคตว่าธุรกิจเซรามิกยุคนี้ต้นทุนเชื้อเพลิงกินกำไรไปเยอะ) "ระวังนะคะ ยึดติดกับปริมาณ แต่ลืมสร้างแบรนด์ ระวังจะโดนของจีนตีตลาดจนเจ๊งเอานะคะ... ด้วยความหวังดี"
"กรี๊ดดด! นังบ้า! แกแช่งฉันเหรอ!"
ลลิตาสติแตก ง้างมือที่ถือแก้วไวน์ทำท่าจะสาดใส่ฉันตามสไตล์นางร้ายละครไทย
หมับ!
มือแข็งแรงของกรณ์คว้าข้อมือลลิตาไว้ได้ทันก่อนที่ไวน์แดงจะหกเลอะชุดฉัน
แววตาของกรณ์เย็นเยียบจนน่ากลัว บรรยากาศรอบตัวเขากดดันจนลลิตาหน้าซีด
"พอได้แล้วครับคุณลิตา" กรณ์พูดเสียงต่ำ "คุณบัวบูชาพูดถูกทุกอย่าง... และที่สำคัญ ธนาคารของผมเพิ่งอนุมัติวงเงินสินเชื่อพิเศษให้เธอ เพราะผมมองเห็น 'อนาคต' ในตัวเธอ... ซึ่งเป็สิ่งที่ธุรกิจของคุณกำลังขาดแคลน"
กรณ์สะบัดมือลลิตาออกเบาๆ
"ขอตัวนะครับ... ผมไม่อยากให้ไวน์ราคาถูกของคุณ มาทำลายชุดที่มีรสนิยมของคุณบัว"
กรณ์โอบเอวฉันพาเดินผ่าวงล้อมไทยมุงออกมา ทิ้งให้ลลิตายืนตัวสั่นเทาด้วยความอับอายขายขี้หน้าอยู่กลางงาน ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ของแเื่
เมื่อเดินออกมาที่ระเบียงรับลมแม่น้ำเ้าพระยา กรณ์ก็ปล่อยมือจากเอวฉัน แล้วถอนหายใจยาว
"คุณนี่มัน... ปากคอเราะร้ายกว่าที่คิดนะ"
"คุณก็ปากร้ายพอกันแหละค่ะ" ฉันหัวเราะเบาๆ "ไวน์ราคาถูก... เจ็บจี๊ดเลยนะนั่น"
กรณ์หันมามองหน้าฉัน แสงจันทร์สะท้อนลงบนแม่น้ำระยิบระยับอยู่เื้ั
"ขอบคุณนะที่ช่วยเตือนสติผม"
"เื่อะไรคะ?"
"เื่... การมองเห็นคุณค่า" เขาเอื้อมมือมาแตะกำไลไม้ที่ข้อมือฉันเบาๆ นิ้วเรียวยาวของเขาััโดนผิวแขนฉัน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าสถิตแล่นปราด
"ผมเคยคิดว่าคุณก็แค่นักธุรกิจหน้าใหม่ที่ฟลุ๊ค... แต่เมื่อกี้ ตอนที่คุณพูดเื่ Sustainable Luxury... คุณดูเปล่งประกายมาก มากกว่าผู้หญิงทุกคนในงานนี้ซะอีก"
สายตาเขาหวานเชื่อมจนฉันชักจะทำตัวไม่ถูก รินลดาผู้เจนจัดในสนามธุรกิจ กำลังจะแพ้ทางผู้ชายสายตามีเสน่ห์คนนี้หรือเปล่าเนี่ย?
"เอ่อ... กลับกันดีกว่าค่ะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นไปคุมโหลดของ" ฉันรีบตัดบทแก้เขิน
กรณ์ยิ้มมุมปาก เหมือนรู้ทัน
"ครับ... เดี๋ยวผมไปส่ง"
...
คืนนั้น ในรถเบนซ์ที่เงียบสงบ
ฉันแอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของกรณ์
ในชาติก่อน ฉันเอาแต่ทำงานจนตายคาโต๊ะ ไม่เคยมีความรัก
แต่ในชาตินี้... ดูเหมือนว่านอกจากธุรกิจแล้ว ฉันอาจจะได้กำไรเป็ "หัวใจนายแบงก์" คนนี้แถมมาด้วยก็ได้
แต่เดี๋ยวก่อน... ชีวิตมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
พรุ่งนี้... คือวันประกาศ "ค่าเงินบาทลอยตัว" รอบสอง (สมมติเหตุการณ์ให้วิกฤตขึ้น) หรือเปล่านะ?
หรือจะมีมรสุมลูกใหญ่กว่านั้นรออยู่ที่โรงงาน?
