คนชุดขาวมองเห็นสีหน้างุนงงสงสัยของทุกคนจึงพูดขึ้น “มีพลังฝีมือในระดับไหนก็จะได้รับแหวนสัญลักษณ์ในสีนั้น หลังจากที่สวมใส่และหยดเืเริ่มใช้งานแล้วจะไม่สามารถถอดออกมาได้ ในระหว่างงานประลองหาก้าถอดออกมามีเพียงการตัดนิ้วตัวเองทิ้ง หรือผู้ที่สวมใส่เสียชีวิต หากสิ้นสุดงานประลองแล้วพวกเ้ายังมีชีวิตอยู่สามารถไปทำการถอดออกได้ที่นครแห่งเทพ หรือมาที่นี่ก็ย่อมได้เช่นกัน เอาละคนต่อไป”
เย่ชิงหานมองดูคนอื่นๆ ที่เรียงแถวเข้ารับการทดสอบ หลังจากที่ดูอยู่สักพักจึงได้เข้าใจว่าทำไมเมื่อคืนวานเย่ผิงถึงได้บอกว่าเขาสามารถเก็บซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ได้ แท่งผลึกวัดระดับพลังฝีมือสามารถวัดได้แค่ระดับของพลังปราณรบเพียงเท่านั้น อิงตามสีของพลังปราณรบที่แสดงออกมาแจกจ่ายแหวนสัญลักษณ์ตามสีนั้นๆ ทหารธรรมดาสามัญทั่วไปได้รับเพียงแหวนสีขาว พลังฝีมือระดับขอบเขตขั้นสูงได้รับแหวนสีแดง ระดับขอบเขตยอดยุทธ์ได้รับแหวนสีส้ม ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ได้รับแหวนสีเหลือง ระดับขอบเขตนักรบได้รับแหวนสีเขียว ระดับขอบเขตจ้าวนักรบได้รับแหวนสีน้ำเงิน
แต่ละระดับขอบเขตก็จะแบ่งสีอ่อนสีแก่ขึ้นอยู่กับว่าพลังฝีมืออยู่ในระดับขั้นที่เท่าไร ยกตัวอย่างเช่น พลังฝีมือระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์แหวนที่ได้รับจะเป็สีเหลืองอ่อน ระดับขั้นที่สองแหวนที่ได้รับจะเป็สีเหลือง ระดับขั้นที่สามแหวนที่ได้รับจะเป็สีเหลืองแก่
เย่ชิงหานภายนอกพลังฝีมืออยู่ในระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ แหวนที่ได้รับแน่นอนว่าจะต้องเป็สีเหลืองอ่อน แต่ถ้าหากนับรวมพลังฝีมือทั้งหมดที่มีจริงๆ เข้าด้วยกัน สีของแหวนที่เขาควรจะได้รับจริงๆ คือแหวนสีเขียวแก่ ดังนั้นเย่ผิงถึงได้พูดว่าเขาสามารถปกปิดพลังฝีมือที่แท้จริงได้ ทำให้สามารถสังหารผู้ที่มีระดับขอบเขตที่สูงกว่าได้อีกด้วย
แน่นอนว่าทั้งห้าตระกูลย่อมต้องมีการเก็บซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงไว้เช่นเดียวกัน อย่างเช่นเฟิงจื่อที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับขั้นที่สามขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ หากนับรวมเคล็ดวิชาบังคับกระบี่เข้าไปด้วยพลังฝีมือคงเทียบได้กับระดับขอบเขตนักรบ ฮวาเฉ่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับขั้นที่สามขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ หลังจากใช้วิชาอำพรางกายแม้แต่ผู้มีพลังฝีมือระดับขั้นแรกขอบเขตนักรบยังถูกเขาสังหารได้สบายๆ แต่คิดว่าทางฝั่งของเขตปกครองเทพปีศาจและเขตปกครองเทพคนเถื่อนก็คงมีผู้ที่เก็บซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงไว้อยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเห็นแค่สีของแหวนจึงไม่สามารถที่จะคำนวณพลังฝีมือที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำอย่างแน่นอน
การทดสอบพลังเป็ไปอย่างรวดเร็ว สองชั่วโมงผ่านไปทุกคนต่างได้รับแจกจ่ายแหวนสัญลักษณ์กันเป็ที่เรียบร้อย ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้เย่ชิงหานได้รับแหวนสีเหลืองอ่อน แต่ที่ทำให้เย่ชิงหานประหลาดใจเป็อย่างมากคือ เยว่ชิงเฉิงมีพลังฝีมืออยู่ในระดับขั้นที่สามขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ ซึ่งได้รับแหวนสีเหลืองแก่ แต่ไม่รู้ว่าถ้าหากนางใช้วิชาโจมตีทางิญญาร่วมด้วยจะสามารถสังหารศัตรูได้ถึงระดับขั้นขอบเขตที่เท่าไร
ในขณะที่เย่ชิงหานมองแหวนที่อยู่ในมือของเยว่ชิงเฉิงด้วยความสนใจอยู่นั้น พอดีกับถูกเยว่ชิงเฉิงััได้ดวงตานางพลันปรากฏแววเ้าเล่ห์วาบผ่าน จากนั้นเดินเข้ามาหาแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแ่เบา “เหอะๆ ผู้มีพลังฝีมือในระดับขั้นที่สองขอบเขตนักรบธรรมดาทั่วไปข้าสามารถจัดการได้ไม่มีปัญหา แน่นอนว่าพวกที่มีระดับพลังิญญาที่แข็งแกร่งข้าสู้ไม่ได้ เย่ชิงหาน...เ้าอย่าได้ดูถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ เป็อันขาดล่ะ! ข้าไม่ใช่แค่ดอกไม้ที่ใช้ประดับแจกันให้สวยงามแค่นั้นน่ะ...”
“อั๊ยยะ!” มองดูดวงตาคู่สดใสที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ภายในใจเย่ชิงหานสั่นสะท้านขึ้น ลอบคิดอยู่ในใจ ดูท่าว่าไม่อาจจะดูถูกลูกหลานของทั้งห้าตระกูลได้เลย แม้กระทั่งผู้หญิงที่อ่อนปวกเปียกไม่ต่างจากน้ำยังน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้...ในเวลาเดียวกันจมูกพลันได้กลิ่นหอมจรุงใจที่โชยมาทำให้จิตใจเกิดความหวั่นไหวและบังเกิดอารมณ์แปลกประหลาดขึ้นมา
.................................
เมืองั สวนที่พักตระกูลเย่
เย่ชิงหานเรียกตงฟางเตาทั้งห้าให้มารวมกันที่ห้องโถง สำหรับห้าคนที่ติดตามนี้เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด สิ่งแรกคือตลอดการเดินทางมาทั้งห้าแสดงออกได้ไม่เลว ที่สำคัญบิดาของพวกเขาก็เสียชีวิตไปพร้อมกับบิดาของตนในตอนนั้นด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าตนเองติดค้างพวกเขา และตอนนี้พวกเขาก็จริงใจที่จะติดตามตนเอง ดังนั้นคงเป็การไม่ดีนักที่ตนเองจะทำเมินเฉยต่อพวกเขา
“เ้านายน้อย!”
อยู่ภายนอกทั้งห้าจะเรียกเขาว่านายน้อย แต่เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยจะเรียกเขาว่าเ้านายน้อย สำหรับการเรียกขานเช่นนี้เย่ชิงหานไม่ค่อยชอบเท่าใดนักแต่ก็ขัดพวกเขาไม่ได้จึงจำต้องยอมรับ
“พรุ่งนี้ก็จะต้องเข้าไปยังเกาะเทพาแล้ว ข้าไม่มีอะไรจะให้พวกเ้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายของข้าในการเข้าร่วมในครั้งนี้พวกเ้าก็คงรู้กันดีอยู่แล้ว ระดับของความอันตรายในงานประลองในครั้งนี้พวกเ้าก็คงรู้กันดีอยู่แล้ว ถ้าหากตอนนี้พวกเ้าอยากจะถอนตัวละก็ข้าจะไม่ว่าอะไรพวกเ้าเลย และข้ายังจะให้ทางตระกูลจัดหาตำแหน่งที่เหมาะสมภายในตระกูลให้พวกเ้าด้วย” เย่ชิงหานกล่าวออกมาอย่างจริงใจ เพราะการไปในครั้งนี้จะต้องมีคนตายอย่างแน่นอน ทั้งห้ายังหนุ่มยังแน่นไม่ควรที่จะเอาชีวิตมาทิ้งเพียงเพราะสัตย์สาบานที่คนรุ่นพ่อเคยให้ไว้
ทั้งห้าต่างจ้องมองตากันเห็นได้ถึงแววของความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่อยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย ตงฟางเตาลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “ในปีนั้นหากไม่มีท่านเ้านายใหญ่ตระกูลของพวกเราคงสูญสิ้นไปนานแล้ว หนังสือบัญญัติของตระกูลได้ให้สัตย์สาบานไว้อย่างชัดเจนว่าจะรับใช้เ้านายใหญ่เย่เตาและทายาทสายเืของเขาเป็นายตลอดชั่วลูกชั่วหลาน!”
เย่ชิงหานนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นพยักหน้าอย่างอับจนปัญญาแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบสมุดห้าเล่มออกมาจากหน้าอกโยนออกไปพร้อมกับพูดขึ้น “ในเมื่อเป็เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ นี่คือเคล็ดวิชาระดับราชันย์ห้าเล่มที่ข้าขอมาจากตระกูลเย่ คงเหมาะสำหรับการฝึกฝนของพวกเ้า การเข้าร่วมงานประลองในครั้งนี้ของพวกเ้าสิ่งที่สำคัญคือการฝึกฝนหาประสบการณ์ ข้าจัดให้พวกเ้าเข้าไปอยู่ร่วมกับกองกำลังเทพแห่งความตาย ต่อไปไม่จำเป็ต้องมาคอยอารักขาข้าอย่างใกล้ชิดอีก เนื่องจากมีเย่สือซานกับเย่สือชีอยู่ข้างกายข้าแล้วเื่ความปลอดภัยคงไม่เป็ปัญหาแต่อย่างใด ส่วนพวกเ้าเข้าไปอยู่ร่วมกันกับหน่วยเทพแห่งความตายความปลอดภัยก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก”
“ขอรับ!” สีหน้าของทั้งห้าปรากฏแววละอายใจออกมา หากพูดถึงด้านอายุกับพลังฝีมือของพวกเขาในระดับขั้นที่สามขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ เปรียบเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในเขตปกครองเทพาพูดได้ว่าถูกจัดว่าเป็บุคคลจำพวกที่มีพร์ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพียงแต่กับเย่ชิงหานที่มีพร์เหนือกฎเกณฑ์ธรรมดาทั่วไปของผู้ฝึกยุทธ์ พวกเขาจึงกลายเป็คนธรรมดาไปในทันที หากติดตามเย่ชิงหานไม่รู้ว่าใครจะคุ้มครองใครกันแน่? ดังนั้นพวกเขาต่างรับหนังสือเคล็ดวิชาที่เขียนชื่อของตนเองไว้มา ภายในใจคิดว่าเย่ชิงหานยังดีต่อพวกเขาไม่น้อย เพราะเคล็ดวิชาระดับราชันย์ภายในตระกูลเย่มีอยู่แต่ก็ไม่มาก พวกเขาต่างคิดอยู่ภายในใจว่าต่อไปต้องพยายามฝึกฝนให้มากยิ่งกว่านี้ ถ้าหากพลังฝีมือไล่ตามเย่ชิงหานไม่ทันละก็ การมีอยู่ของพวกเขาห้าองครักษ์โลหิตก็คงไม่มีค่าและความหมายอะไรอีกต่อไป
หลังจากที่ทั้งห้าทำความเคารพลาออกไป เย่ชิงหานถึงหยิบกล่องไม้ออกมาจากด้านข้าง ความจริงแล้วเคล็ดวิชาระดับราชันย์ของทั้งห้าและกล่องไม้กล่องนี้ล้วนเป็ของที่ทางตระกูลส่งมา และผู้าุโเย่ผิงเพิ่งนำมาให้ เมื่อสักครู่เคล็ดวิชาของทั้งห้าล้วนเป็ระดับราชันย์ คิดว่าของล้ำค่าของตนที่อยู่ข้างในกล่องไม้ก็คงมีระดับที่ไม่เลวอย่างแน่นอน
กล่องไม่ได้มีกลอนหรือสลักใดๆ มีเพียงแค่ฝาเปิดปิดเพียงเท่านั้น ภายในกล่องมีของอยู่สามชิ้น กริชสีเขียวหนึ่งเล่ม เกราะอ่อนสีดำหนึ่งตัว และสมุดบันทึกหนึ่งเล่ม
เย่ชิงหานหรี่ตาลงมองดู คิดภายในใจว่าของเหล่านี้ต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน ตระกูลเย่เป็ถึงหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่จะให้ของธรรมดามาได้อย่างไร เขายื่นมือไปจับกริชขึ้นมาพิจารณาดู กริชสีเขียวยาวหนึ่งฟุตและหนักมาก หนักกว่ากริชอันเก่าที่ตนเองเคยใช้มากกว่าหนึ่งเท่าตัว แต่สำหรับผู้มีพลังฝีมือระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์อย่างเขาแค่นี้ไม่นับว่ามีปัญหาแต่อย่างใด ซ้อมมือตวัดกรีดไปมากลางอากาศอยู่ไม่กี่ครั้งรู้สึกว่าเหมาะมือดีจึงดึงกริชอันเก่าที่เสียบไว้ที่รองเท้าบูทออกแล้วเสียบกริชสีเขียวเข้าไปแทน
เกราะอ่อนสีดำน้ำหนักเบาและอ่อนมาก ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาจากวัสดุชนิดใด เย่ชิงหานนั่งคิดอยู่สักพักหยิบกริชเล่มเก่าที่เคยใช้ขึ้นมากรีดลงไปบนเกราะเบาๆ หืม? ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยสักนิด ครั้นแล้วเขาจึงออกแรงให้หนักขึ้นโดยใช้แรงออกไปสามส่วนกรีดลงไปอย่างหนักอีกครั้ง ครั้งนี้ปรากฏรอยกรีดจางๆ ขึ้นมา แต่แค่ใช้มือลูบผ่านรอยกรีดก็เลือนหายไป
เกราะอ่อนตัวนี้เป็ของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อคิดได้ดังนั้นเย่ชิงหานจึงตัดสินใจหยิบกริชสีเขียวที่เพิ่งเสียบเก็บลงไปยังรองเท้าบูทขึ้นมาฟันลงไปยังกริชเล่มเก่าที่เคยใช้
ฉับ!
กริชเล่มเก่าขาดออกจากกัน เย่ชิงหานยิ้มขึ้นอย่างพอใจ ดูท่าของที่ตระกูลเย่ส่งมาให้เขาล้วนไม่ธรรมดา ทั้งเกราะอ่อนและกริชเขียวล้วนเป็ของล้ำค่าในระดับสูง โดยของล้ำค่าแบ่งออกเป็ระดับมนุษย์ ระดับิญญา ระดับวิเศษ และระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดสี่ระดับ อย่างน้อยของล้ำค่าสองชิ้นนี้คงไม่ต่ำกว่าระดับิญญาอย่างแน่นอน มีความเป็ไปได้สูงที่จะเป็ระดับวิเศษ ส่วนระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นตระกูลเย่มีเพียงสองชิ้น อันหนึ่งอยู่กับเย่เทียนหลง ส่วนอีกอันอยู่บนนิ้วของเย่ชิงหาน หากเย่เทียนหลงไม่ตายของวิเศษชิ้นนั้นคงไม่มีผู้ใดได้ครองเป็แน่
สุดท้ายเขาหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิดดู ภายในมีกระดาษเล็กๆ แนบมาด้วย บนกระดาษมีตัวหนังสือเล็กๆ มากมาย หลังจากที่เย่ชิงหานเปิดดูจึงเข้าใจได้ในทันที...อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ภายในกระดาษมีรายละเอียดแนะนำเกี่ยวกับระดับคุณภาพและคุณสมบัติในการใช้งานของกริชและเกราะอ่อนไว้ กริชมีชื่อเรียกว่ากริชัเขียว ของล้ำค่าระดับวิเศษคุณภาพระดับต่ำ อาจจะไม่ถึงกับตัดเหล็กราวกับตัดกระดาษ แต่ถือว่าเป็อาวุธที่ไว้ใช้สังหารได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนเกราะอ่อนมีชื่อว่าเกราะเต่าดำ ของล้ำค่ำระดับวิเศษคุณภาพระดับต่ำ สามารถป้องกันการโจมตีที่เกิดจากการฟันแทงจากของล้ำค่าระดับวิเศษคุณภาพระดับต่ำได้ ตามหลักการสามารถต้านทานการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดจากผู้มีพลังฝีมือระดับขั้นที่สามขอบเขตนักรบได้หนึ่งครั้ง
ของล้ำค่าระดับวิเศษ! แถมยังมีถึงสองชิ้น แม้ว่าจะเป็คุณภาพระดับต่ำก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงกริชที่เอาไว้ใช้ฆ่าคน แค่เกราะเต่าดำก็เป็ของล้ำค่าหายากที่เอาไว้ปกป้องชีวิตได้เป็อย่างดี เื่ราคามูลค่านั้นไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ว่าของล้ำค่าระดับวิเศษนั้นมีการแบ่งระดับคุณภาพสูงและต่ำด้วย ไม่รู้ว่าของล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์จะมีการแบ่งระดับคุณภาพเช่นนี้ด้วยหรือไม่? ถ้าหากว่ามีละก็ไม่รู้ว่าแหวนระดับศักดิ์สิทธิ์ของตนวงนี้อยู่ในระดับคุณภาพใด? แต่เมื่อนึกถึงคุณสมบัติในการรักษาผู้เป็เ้าของโดยอัตโนมัติของแหวนทองเหลือง แม้จะเอาของล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์สักกี่ชิ้นมาแลกเขาก็ไม่ยอมแลกอย่างแน่นอน
หลังจากที่วางกระดาษเล็กๆ ที่แนบมาในสมุดบันทึกลง เย่ชิงหานจับสมุดบันทึกขึ้นมาดูต่อ พอพลิกดูเห็นเข้ากับตัวอักษรคำว่า “ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์” ที่มีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงทรงพลัง และเมื่อมองลงมาเจอกับตัวอักษรเล็กๆ ไม่กี่ตัวที่อยู่ด้านล่างถึงกับทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงในทันที ริมฝีปากทั้งสองกระตุกสั่น มือทั้งสองข้างเริ่มสั่นเทาขึ้น ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เคล็ดวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์... เย่รั่วสุ่ยเป็ผู้คิดค้น?”
เย่ชิงหานสูดลมหายใจลึกเข้าไปคำหนึ่งพยายามทำจิตใจให้สงบลง ดูท่าเพื่อตนเองแล้วปู่คนนี้ยอมทุ่มสุดตัวเลยจริงๆ เคล็ดวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์และของล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็ของล้ำค่าประจำตระกูล แม้ตระกูลเย่จะมีอำนาจบารมีล้นฟ้าแต่ของล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีเพียงแค่ชิ้นเดียว เคล็ดวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์ก็มีเพียงไม่กี่เล่มเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่มนี้ยังเป็วิชาที่ปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่รั่วสุ่ยคิดค้นขึ้นเอง ปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่รั่วสุ่ยผู้ที่สามารถเทียบได้กับปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่หวง เคล็ดวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นจะธรรมดาอย่างนั้นรึ?
ตระกูลเย่ติดค้างตนเอง ตนเองได้รับสิ่งเหล่านี้ล้วนถูกต้องสมเหตุสมผล เย่ชิงหานบอกกับตนเองไม่ต้องเกรงใจ เคล็ดวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์ยั่วยวนเป็อย่างมากและแน่นอนว่าเย่ชิงหานย่อมไม่ต่อต้านต่อความยั่วยวนนี้ ของล้ำค่าเช่นนี้มีแต่เพียงคนโง่เท่านั้นที่ไม่้า! ด้วยความอดใจรอไม่ไหวจึงเริ่มเปิดเคล็ดวิชาขึ้นดูในทันที
“ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์ เป็วิชาท่าร่างแขนงหนึ่งที่มีขอบเขตขนาดเล็กใช้เพื่อหลบหลีกการโจมตีของศัตรู แบ่งออกเป็สามระดับชั้น หากฝึกสำเร็จทั้งสามระดับชั้นสามารถท่องเที่ยวไปได้ทั่วทุกที่...เงื่อนไขของการฝึกฝนในระดับชั้นแรกจำเป็จะต้องมีพลังฝีมือในระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์”
ท่องเที่ยวไปได้ทั่วทุกที่! มองดูตัวหนังสือเหล่านี้เย่ชิงหานมีความรู้สึกว่าปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่รั่วสุ่ยไม่ทำให้ลูกหลานผิดหวังจริงๆ เคล็ดวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์สมกับเป็เคล็ดวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แม้ว่าจะไม่ใช่เคล็ดวิชาโจมตี แต่สำหรับเย่ชิงหานในตอนนี้ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์นี้มีค่ากว่าสิ่งอื่นใด
วิชาโจมตีในตอนนี้เขาไม่ขาดแคลน ขอเพียงแค่ใช้วิชาต่อสู้ร่างอสูรผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตนักรบธรรมดาทั่วไป หากถูกเขาเข้าใกล้ตัวจะต้องตายอย่างแน่นอน มีวิชาต่อสู้ที่โจมตีใส่ิญญาโดยตรงโดยไม่สนใจต่อการป้องกันที่เป็วัตถุสสารเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่เขาขาดแคลนก็คือเคล็ดวิชาในการรักษาชีวิตรอด เนื่องจากงานประลองาระหว่างเขตปกครองไม่ใช่การต่อสู้ตัวต่อตัวเหมือนการต่อสู้บนเวทีประลอง
สมมติคนร้อยคนโจมตีใส่กันและกัน แม้ว่าเ้าจะสามารถสังหารคนอื่นได้ในพริบตา แต่ในเสี้ยววินาทีที่เ้าสังหารคนอื่นอยู่นั้น การโจมตีข้างๆ ก็จะตกใส่ตัวเ้า ในสถานการณ์สู้รบที่ชุลมุนวุ่นวายเช่นนี้คิดดูว่าเคล็ดวิชาที่ใช้เอาตัวรอดนั้นจะสำคัญขนาดไหน? มาถึงเวลานี้แน่ชัดแล้วว่าเย่เทียนหลงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตนเองมาเป็อันดับหนึ่งจริงๆ แม้กระทั่งของล้ำค่าและเคล็ดวิชาระดับสูงที่ประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ยังมอบให้ตนเองอย่างไม่เสียดาย
กวาดตาอ่านอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่งเย่ชิงหานเริ่มฝึกฝนในทันที มีเคล็ดวิชาเอาตัวรอดเช่นนี้ยิ่งรีบฝึกฝนให้สำเร็จเร็วขึ้นมากเท่าไรชีวิตตนเองก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น และพลังฝีมือของตนเองก็จะพัฒนาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ระดับชั้นแรกแม้จะดูเหมือนง่ายแต่เมื่อเริ่มฝึกฝนจริงๆ นั้นยุ่งยากซับซ้อน ก่อนอื่นต้องปลดปล่อยพลังปราณรบออกทางฝ่าเท้า อาศัยพลังปราณรบเพิ่มระดับความเร็วในการเคลื่อนที่ จากนั้นค่อยเริ่มฝึกฝนท่าเท้าที่ดูแปลกประหลาดอีกสิบแปดท่าอย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยพลังปราณรบออกทางฝ่าเท้านั้นไม่ยากเพราะมีประสบการณ์จากการปลดปล่อยพลังปราณรบมาแล้ว แต่ที่สำคัญคือการฝึกซ้อมท่าเท้าแปลกประหลาดทั้งสิบแปดท่าอย่างต่อเนื่องจนชำนาญ จนถึงขั้นที่ร่างกายสามารถตอบสนองได้ในทันทีด้วยสัญชาตญาณ
หลังจากอ่านจบเย่ชิงหานนิ่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเริ่มทำการฝึกฝนการปลดปล่อยพลังปราณรบที่น่าเบื่อหน่ายขึ้น
.................................
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
แสงแดดในยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เย่ชิงหานเปิดเปลือกตาขึ้น แม้จะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ด้วยพลังฝีมือในระดับนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เพียงจิตใจที่ดูอ่อนระโหยโรยแรงไปบ้างเล็กน้อยจากการฝึกหนักมาทั้งคืน เขาพยายามบังคับจิตใจให้กลับมามีแรงอีกครั้ง จากนั้นลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายอาบน้ำแล้วหาอะไรทานง่ายๆ และเดินออกจากสวนที่พักไป
พวกเย่สือซานมายืนรอที่หน้าประตูั้แ่เช้า เย่ชิงหานยิ้มออกมาเล็กน้อยโบกมือครั้งหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณให้ออกเดินทาง จากนั้นจึงมุดเข้าไปภายในรถม้า
กลุ่มของเย่ชิงหานได้มาถึงยังลานใหญ่หน้าประตูจวนท่านจ้าวเขตปกครอง ั้แ่วันแรกที่มาเขาสังเกตเห็นด้านขวาของลานใหญ่แห่งนี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่อยู่สามแห่ง เพียงแต่ว่ามีทหารยามยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลาไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ตอนนี้จะต้องทำการเคลื่อนย้ายไปยังเกาะเทพาคาดว่าคงต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งสามเพื่อเคลื่อนย้ายไป
ลานกว้างแน่นขนัดไปด้วยผู้คนั้แ่เช้าที่รอเข้าแถวเดินเข้าไปภายในค่ายกลเคลื่อนย้าย ข้างๆ ค่ายกลเคลื่อนย้ายมีคนชุดขาวเมื่อวานสิบกว่าคนกำลังเปิดการทำงานของค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งผู้เข้าร่วมงานประลองแต่ละกลุ่มออกไป
“นายน้อยหาน พวกนายน้อยเฟิงอยู่ทางนั้น คิดว่าคงกำลังรอท่านอยู่” เย่สือชีมองไปข้างๆ ค่ายกลเคลื่อนย้ายแรก เห็นเฟิงจื่อ ฮวาเฉ่า และเยว่ชิงเฉิงยื่นอยู่ใกล้ๆ กำลังเหลียวซ้ายแลขวาคาดว่าคงกำลังรอกลุ่มของตนเองอยู่เป็แน่
“อืม ไป!” เย่ชิงหานลงจากรถม้าและสั่งการให้ทุกคนลงจากรถม้า จากนั้นเดินตรงเข้าไปหาพวกเฟิงจื่อในทันที
“นายน้อยหาน เมื่อคืนวานไปทำเื่ไม่ดีอะไรมารึ? ทำไมมาซะสายขนาดนี้?” เฟิงจื่อมองเห็นเย่ชิงหานเดินตรงเข้ามา สายตามองไปยังเยว่ชิงเฉิงแวบหนึ่งก่อนจะหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ทำเื่ไม่ดีกะผีน่ะสิ ข้าฝึกฝนวรยุทธ์ตลอดทั้งคืน แล้วทำไมค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ถึงไม่มีคน?” เย่ชิงหานยิ้มพร้อมกับด่าออกมา จากนั้นเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดอธิบายขึ้น “ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้มีไว้ใช้เฉพาะห้าตระกูลใหญ่ รอหลังจากที่พวกเราใช้เสร็จเดี๋ยวก็คงเปิดให้พวกเขาใช้”
“อืม! ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปตอนนี้เลยหรือว่าต้องรอคนอีก?” เย่ชิงหานหันไปพยักหน้าให้เยว่ชิงเฉิงเป็การทักทาย จากนั้นอมยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ไปกันเถอะ ก็รอแค่เ้านี่แหละ เสว่อู๋เหินเ้าคนทรยศ ตอนนี้เดินคนละทางกับพวกเราแล้วและไปตั้งนานแล้ว ส่วนหลงสุ่ยหลิวได้ยินว่าไปกับหลงไซ้หนานแล้ว อืม! หลงไซ้หนานก็คือบุตรธิดาของท่านหลงผี่ฟู” ฮวาเฉ่าเบ้ปากพูดขึ้นอย่างไม่แยแส ราวกับว่ายิ่งเห็นเสว่อู๋เหินยิ่งรู้สึกขัดตามากขึ้นเรื่อยๆ
“อืม ไปกันเถอะ!” เย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับ จากนั้นหันไปทางเยว่ชิงเฉิงทำท่าทางเชื้อเชิญออกมา
เยว่ชิงเฉิงก็ไม่ได้เกรงใจหันกลับไปพยักหน้ากับทางกองกำลังสีชมพูของตนเอง จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปภายในค่ายกลเคลื่อนย้าย คนชุดขาวข้างๆ ค่ายกลเคลื่อนย้ายกำชับแนะนำอยู่สองสามประโยค จากนั้นหยิบก้อนผลึกสีขาวเสียบเข้าไปยังมุมต่างๆ ของค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลเคลื่อนย้ายเริ่มปรากฏแสงสีขาวลานตาขึ้น จากนั้นปรากฏประกายแสงขึ้นแวบหนึ่งเยว่ชิงเฉิงและกองกำลังของนางเลือนหายไปในทันที
“การเคลื่อนย้ายก็ไม่ได้ยากอะไรนี่นา ไม่รู้ว่าก้อนผลึกสีขาวที่พวกเขาเสียบเข้าไปคืออะไร? แล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้มันใช้หลักการอะไร?” เย่ชิงหานพิจารณามองดูค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างละเอียดด้วยความสนใจ รู้สึกว่าของสิ่งนี้แปลกมหัศจรรย์มาก ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ดูไม่มีอะไรกลับสามารถเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากไปยังที่ห่างไกลเป็พันๆ กิโลเมตรได้ แปลกมหัศจรรย์ไม่ต่างจากเคล็ดวิชาระดับเทพเลยก็ว่าได้
“ข้าขอตัวไปก่อน อีกสักพักเจอกัน” เฟิงจื่อเห็นเย่ชิงหานไม่มีทีท่าว่าจะขยับร่างกาย หัวเราะฮ่าๆ ออกมา จากนั้นพากองกำลังของตนเองเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย เสร็จจากนั้นก็ตามด้วยฮวาเฉ่าและกองกำลังของเขาทยอยตามไปเป็ลำดับ
สุดท้ายถึงรอบของเย่ชิงหาน ทั้งหมดเดินเข้าไปภายในค่ายกลเคลื่อนย้าย จากนั้นคนชุดขาวพูดกำชับออกมาอย่างเ็าว่า ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องใ ไม่ต้องต่อต้าน พูดจบจึงเริ่มเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายขึ้น
ปรากฏแสงขึ้นแวบหนึ่ง เย่ชิงหานรู้สึกแสงที่ปรากฏขึ้นแสบตาเป็อย่างมากจึงหลับตาลงโดยอัตโนมัติ จากนั้นรู้สึกได้ว่ามีแรงดูดกระชากอย่างรุนแรงดูดร่างกายของตนเองขึ้นไปบนอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้สึกว่าเส้นเืฝอยภายในหัวของตนเองจะแตกและทั้งวิงเวียน ข้างหูมีเสียงดังครืนๆ อยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อาจจะชั่วพริบตาเดียวหรืออาจจะเนิ่นนาน แรงดูดกระชากที่น่ากลัวนั้นในที่สุดก็หยุดลง สมองเริ่มไม่วิงเวียนอีกต่อไป เย่ชิงหานค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อยเพื่อปรับสภาพให้เข้ากับแสงภายนอก จากนั้นจึงลืมตาขึ้นอย่างเต็มที่เพื่อตรวจดูสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งสี่ทิศอย่างละเอียด
ในเวลานี้เองข้างหูของเขาพลันปรากฏเสียงที่แก่หง่อมเสียงหนึ่งดังขึ้น “ยินดีต้อนรับสู่เกาะเทพา ที่นี่เ้าจะได้รับประสบการณ์สังหารนองเืและไฟแห่งการฆ่าฟัน ได้ลิ้มรสการใช้ชีวิตภายใต้เือันเร่าร้อนและอารมณ์ที่รุนแรง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้