“เมื่อครู่ข้าเห็นชัดเลยว่าเ้าเป็คนะโบอกว่าจะทำให้ข้ามู่เฟิงผู้นี้ต้องพานพบกับจุดจบ ข้าได้ยินเองกับหูเลยนะ ทำไม ตอนนี้ข้าก็อยู่ที่นี่แล้วไง อัจฉริยะหวังผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดเ้าจึงได้เปลี่ยนกลับไปเป็คนขี้ขลาดอีกแล้วเล่า?”
มู่เฟิงเหลือบมองหวังเยว่ พลางกล่าวเย้ยหยัน
“เ้าคนบัดซบ เ้าคิดว่าเ้าเป็ใครถึงได้กล้าทำตัวโอหังเช่นนี้ พี่เยว่ พวกเรามาสั่งสอนเขาให้รู้ซึ้งกันเถอะ”
เด็กหนุ่มจากตระกูลหวังผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความโมโห แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่เคยพบเจอกับมู่เฟิงมาก่อน
ทันใดนั้น บรรดาศิษย์ตระกูลหวังทั้งเจ็ดคนก็พากันเข้าไปยืนห้อมล้อมมู่เฟิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“คิดจะลงมือกับพี่เฟิงของข้า เศษสวะเช่นพวกเ้าไม่มีคุณสมบัติพอหรอก!”
มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่พลันก้าวออกมาข้างหน้า ขณะกล่าวถากถางอีกฝ่าย
“เหอะ พวกเ้ามีสิ่งใดให้กลัวกัน? พี่น้องทั้งหลาย ลุยเลย จัดการพวกมัน”
เด็กหนุ่มจากตระกูลหวังะโขึ้นอย่างเดือดดาล จากนั้นกลุ่มคนทั้งเจ็ดก็เข้ามายืนล้อมกลุ่มของมู่เฟิงเอาไว้ในทันที
มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ก้าวเท้าออกมาข้างหน้า คลื่นพลังสีขาวถูกปล่อยออกมาจากเท้าของพวกเขา ฉับพลันนั้นวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ก็พลันปะทุออกมา จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายราวกับลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันศร
ในขณะเดียวกัน ศิษย์ตระกูลหวังสองคนก็ต่อยไปทางมู่ขวงพร้อมกัน ทว่ามู่ขวงไม่เพียงไม่หลบหลีกเท่านั้น เขายังปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาได้โดยตรงอีกด้วย
ปัง! ปัง! เสียงหมัดกระทบร่างของมู่ขวงดังขึ้นติดต่อกันสองครั้ง คาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามกลับถูกโล่พลังสีขาวของมู่ขวงสะท้อนกลับไปได้
มู่ขวงแสยะยิ้มออกมา มือของเด็กหนุ่มคว้าจับร่างของคนทั้งคู่เอาไว้พร้อมกัน จากนั้นเขาก็ะเิพลังออกมา ก่อนที่ร่างของคนทั้งสองจะถูกโยนข้ามบ่าและเหวี่ยงลงบนพื้นอย่างรุนแรง
ศีรษะของพวกเขากระแทกกับพื้น ส่งผลให้มีเืไหลออกมาอาบใบหน้า อีกทั้งยังทำให้พวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาได้พักใหญ่
จากนั้นมู่ขวงก็เตะไปยังใบหน้าของชายหนุ่มตระกูลหวังอีกคนอย่างรุนแรง ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นกระเด็นลอยออกไปไกลเจ็ดถึงแปดเมตร จากนั้นอีกฝ่ายจึงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บ
ด้านไป๋จื่อเยว่กำลังวาดฝักกระบี่ในมือ สร้างเป็เงากระบี่หลายเล่มพุ่งทะลวงออกมา ทำให้ศิษย์ตระกูลหวังสองคนที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาหาเขาถูกฝักกระบี่เ่าั้กระแทกจนใบหน้าฟกช้ำและบวมเป่ง เด็กหนุ่มทั้งสองรีบยกมือปิดหน้าพลางกรีดร้องออกมาด้วยความเ็ป
หากว่าเขาชักกระบี่ออกจากฝัก เกรงว่าหัวของเด็กหนุ่มทั้งสองคงถูกแทงจนกลายเป็รูพรุนแล้ว
แม้แต่มู่หลานเองก็ไม่คิดที่จะออมมือ ร่างเพรียวบางของเด็กสาวดีดตัวทะยานขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นขาเรียวยาวของนางก็ตวัดไปกระแทกหน้าศิษย์ตระกูลหวังผู้หนึ่งจนอีกฝ่ายลอยกระเด็นไปชนเข้ากับแผงลอยริมทาง
และบังเอิญเป็โชคร้ายที่แผงลอยนั้นมีหม้อซุปเดือดตั้งอยู่พอดี ทำให้น้ำเดือดในหม้อหกรดลงบนตัวของเด็กหนุ่มผู้นั้น เขากรีดร้องโหยหวนขณะเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น นอกจากนี้เสื้อผ้าของเขายังถูกถ่านอันร้อนระอุเผาไหม้
ทันทีที่เด็กหนุ่มสาวทั้งสามคนเคลื่อนไหว กลุ่มเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนของตระกูลหวังก็ลงไปนอนโอดครวญบนพื้นในพริบตา ภาพนี้ทำให้ฝูงชนที่กำลังมุงดูอยู่ถึงกับตกตะลึง
“ช่างร้ายกาจนัก!”
มู่ลี่ มู่ชางรวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็ใ พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนของมู่เฟิงเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน
แม้แต่มู่หลานเองก็ด้วย หลังจากที่นางได้ติดตามมู่เฟิงมาเป็ระยะเวลาหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของนางพัฒนาขึ้นมาก ไหนจะกระบวนท่าเตะเมื่อครู่อีก เพียงแค่มองก็รู้ได้ทันทีว่านั่นไม่ใช้ทักษะการเตะของตระกูลมู่
หวังเยว่ก้มมองดูคนของตัวเองที่กำลังนอนโอดครวญอยู่บนพื้นสลับกับมองมู่เฟิงที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสายตาหวาดกลัว
“มู่เฟิง เ้าอย่าได้โหดร้ายเกินไปนัก เหลือเส้นทางให้ตัวเองในวันข้างหน้าบ้างเถอะ อย่าได้ทำอะไรเลยเถิดไปมากกว่านี้”
หวังเยว่คำรามออกมาด้วยความโกรธ
“เหอะ มาถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้จักหวาดกลัวรึ? ในตอนแรกเดิมทีก็เป็เ้าที่ไม่ไว้หน้าข้าก่อน มาตอนนี้คิดจะให้ข้าไว้หน้าเ้า? คนเราทำตัวเช่นไรก็สมควรได้รับผลเช่นนั้น”
มู่เฟิงย่างเท้าเข้าหาหวังเยว่ขณะกล่าวอย่างใจเย็น
“มารดามันเถอะ ข้าจะสู้กับเ้าเอง!”
เมื่อเห็นว่าฝูงชนโดยรอบกำลังจับตามองมาที่ตัวเขา หวังเยว่ก็ไม่อาจทนให้ตัวเองเสียหน้าได้ ด้วยความที่เป็เด็กหนุ่มเืร้อน หวังเยว่จึงชักกระบี่ออกมาจากเอว จากนั้นก็แทงคมกระบี่ไปยังมู่เฟิงในทันที
พรึ่บ!
เมื่อคมกระบี่สีเหลืองพุ่งตรงเข้ามา มู่เฟิงก็เบี่ยงกายหลบเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ได้ใช้ดรรชนีทองคำแทงไปยังแขนของหวังเยว่อย่างรวดเร็ว
ฉึก!
ดรรชนีทองคำเจาะทะลวงแขนของหวังเยว่จนเกิดาแ ความเ็ปนี้ทำให้เด็กหนุ่มต้องกรีดร้องออกมา ขณะที่กระบี่เล่มยาวในมือร่วงหล่นลงบนพื้น
มู่เฟิงเคลื่อนกายไปอยู่เบื้องหน้าของหวังเยว่ภายในพริบตา มือข้างหนึ่งของเขาดึงแขนของหวังเยว่ขึ้น ในขณะที่มืออีกข้างกำหมัดแล้วชกเข้าที่ท้องน้อย
“อัก!"
โลหิตสีแดงสดพุ่งออกมาจากปากของหวังเยว่ จากนั้นมู่เฟิงจึงได้ใช้มือคว้าคอของอีกฝ่ายเอาไว้ เขาหรี่ตามองหวังเยว่อย่างเ็า
คอของหวังเยว่กำลังถูกบีบรัดจนใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงก่ำ มือคว้าจับแขนของมู่เฟิงและออกแรงทุบตีหวังให้อีกฝ่ายให้ผ่อนแรง เท้าของเขาลอยเหนือพื้นจนมันเตะถ่วงอยู่กลางอากาศ
“อัจฉริยะหวังผู้ยิ่งใหญ่ ข้าจะบอกอะไรเ้าให้นะ เกิดเป็คนต้องรู้จักถ่อมตัวเสียหน่อย ความสามารถในการสลักลายเส้นของเ้านั้นเทียบข้าไม่ได้ ยิ่งเื่วรยุทธ์เ้ายิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
มู่เฟิงหรี่ตาลงขณะกล่าวขึ้นอย่างเ็า
“ปะ ปล่อย ปล่อยมือ ขะ ข้าผิดไปแล้ว พี่เฟิง ข้าผิดไปแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
หวังเยว่หายใจไม่ออก เขาพูดออกมาด้วยความยากลำบาก น้ำตาไหลพรากลงมาจากดวงตาของเขา
มู่เฟิงปล่อยเด็กหนุ่มโดยการโยนอีกฝ่ายลงบนพื้น เขาไม่คิดจะสังหารใครเพียงเพราะเื่แค่นี้
หวังเยว่ยกมือขึ้นมากุมคอของตัวเอง ขณะไอออกมาอย่างหนัก
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ตะเกียกตะกายเตรียมจะลุกหนีไป
“รอเดี๋ยว”
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง
หวังเยว่ตัวแข็งทื่อ เขาหันกลับมามองมู่เฟิง ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มออกมาจนดูน่าเกลียด “พี่เฟิง พะ พี่มีเื่อะไรงั้นหรือ?”
“เ้าทุบตีคนตระกูลมู่ของข้าแล้วคิดจะชิ่งหนีรึ? ขอโทษเขาเสีย”
มู่เฟิงชี้นิ้วไปทางกลุ่มของมู่ลี่ที่ถูกทุบตีจนใบหน้าฟกช้ำและบวมเป่ง
เมื่อได้ยินดังนั้นมุมปากของหวังเยว่ก็ถึงกับกระตุก จากนั้นเขาก็นำบรรดาศิษย์ตระกูลหวังอีกเจ็ดคนมาคำนับพวกของมู่ลี่ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ขอโทษด้วย…”
“เสียงดังขึ้นอีก ข้าไม่ได้ยิน!”
มู่เฟิงกล่าวเสียงเรียบ
“ขอโทษด้วย!”
คนทั้งแปดประสานเสียงกันออกมาเสียงดัง
กลุ่มคนของมู่ลี่ต่างมองสบตากันด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“หึ แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง ทำตัวเป็เด็กดี หยุดทำตัวก้าวร้าวบนท้องถนน เสี่ยวหวัง อา ต่อไปเ้าอย่าได้ทำตัวเช่นนี้อีก รู้จักถ่อมตัวให้มากเล่า ไสหัวไปได้แล้ว”
จากนั้นมู่เฟิงจึงกล่าวขึ้นด้วยความพอใจ ราวกับว่าเขากำลังสอนคนรุ่นหลัง เพียงแต่ดูเหมือนว่าหวังเยว่จะแก่กว่าเขาสองปี...
หวังเยว่และคนของเขารู้สึกขมขื่นอยู่ภายในใจ ทว่าพวกเขาก็ยังขานรับในทันที จากนั้นแต่ละคนถึงรีบหลบออกไปด้วยความอับอาย เหมือนว่าวันส่งท้ายปีนี้ของพวกเขาจะถูกกำหนดเอาไว้ว่าให้ต้องมีชีวิตที่ตกต่ำแล้ว
มู่ลี่และมู่ชางมองไปยังมู่เฟิงกับคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าดูซับซ้อนและสับสนราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
มู่เฟิงเพียงยิ้มบางโดยไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นเขาก็เตรียมจะจากไปพร้อมกับมู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และมู่หลาน
“พะ พี่เฟิง”
มู่ลี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ะโเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
มู่เฟิงหยุดชะงักชั่วครู่ เขาหันกลับไปมองมู่ลี่ด้วยความสงสัย
“เื่เมื่อครู่ขอบคุณมาก ข้าขอโทษสำหรับเื่ที่ผ่านมา หวังว่าพี่เฟิงจะไม่ถือโทษโกรธข้า”
มู่ลี่กัดฟันแน่น ก่อนจะกำหมัดและโน้มศีรษะให้กับอีกฝ่าย
“ข้าด้วย พี่เฟิงที่ผ่านมาข้าต้องขอโทษด้วย”
มู่ชางเองก็กำหมัดขณะโน้มศีรษะให้กับอีกฝ่ายเช่นกัน
“พี่เฟิง ข้าเองก็ขอโทษด้วย”
ศิษย์ตระกูลมู่อีกสองคนได้กำหมัดพร้อมกับโค้งคำนับมู่เฟิง
มู่เฟิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา เขายื่นมือออกไปรับการคำนับของอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “พี่น้องตระกูลเดียวกัน ทะเลาะกันบ้างถือเป็เื่ปกติ”
มู่เฟิงตบลงบนไหล่ของพวกเขา เหล่าเด็กหนุ่มต่างเงยหน้าขึ้นมาด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย
“ฮ่าๆ ถูกต้องแล้ว พวกเราต่างก็เป็คนตระกูลมู่ เดิมทีก็ควรรักใคร่กลมเกลียวเป็อันหนึ่งอันเดียวกันอยู่แล้ว”
มู่ขวงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า ในขณะที่พวกมู่ลี่ต่างก็ยิ้มด้วยความเก้อเขิน
“ไม่ต้องพูดถึงเื่ในอดีตแล้ว ฮ่าๆ ไปกันเถอะ ไปดื่มเหล้ากันเดี๋ยวข้าเลี้ยงเอง คืนนี้เป็คืนเทศกาลโคมไฟเราควรฉลองกันเสียหน่อย”
มู่เฟิงโบกมือ ท่าทางของเขาในเวลานี้ดูแล้วช่างคล้ายกับนายทหารใหญ่
“เยี่ยมเลย!”
ทุกคนต่างปรบมือและตอบรับพร้อมเพรียงกัน
“จริงสิพี่เฟิง คิดจะดื่มเหล้าเ้าโตเป็ผู้ใหญ่แล้วรึ?”
มู่ลี่เอ่ยถาม
“เ้าเด็กตัวเหม็น ปากเ้าเรียกข้าว่าพี่เฟิงแต่ภายในใจไม่ยอมรับกันใช่หรือไม่? เ้าหาเื่ทะเลาะรึ!”
“ยะ อย่า อย่าดีกว่า ครั้งก่อนข้าเพิ่งนอนพักไปครึ่งเดือน”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ…”
เกล็ดหิมะยังคงโปรยปรายลงมาหนาแน่น กลุ่มเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินพูดคุยและหยอกล้อกันไปตามถนน
สายลมพัดสายฝนพรมดั่งดอกไม้ กาลเวลาไม่อาจไล่ตามอาชาขาวได้ทัน* คนเรามีชีวิตวัยเด็กเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ควรใช้มันอย่างเต็มที่อย่าได้หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย
(*วันเวลาที่พ้นผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับหายวับไปกับตา)