เมื่อพูดจบเขาก็รีบหิ้วกล่องยาเดินจากไป ทิ้งให้ผู้าุโติงอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งแผ่นหลังของเขาค่อยๆ หายลับไปด้านนอกกำแพง ผ่านไปเนิ่นนานผู้าุโติงจึงละสายตากลับมา ในใจเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น เกรงว่าั้แ่นี้ไปประตูบ้านคงไม่ถูกใครเปิดเข้ามาอีกนาน…
ขณะที่ติงเหว่ยตื่นขึ้นมาก็เป็เวลาที่ท้องฟ้ามืดเสียแล้ว นางมองหลังคาโรงเก็บของภายใต้แสงสีเหลืองนวลจากตะเกียงน้ำมัน จู่ๆ ก็นึกเื่ที่เกิดก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ นางจึงรีบยื่นมือไปจับที่ท้องของตนเองทันที คิดไม่ถึงว่าจะมีอีกมือมาดึงมือของนางไปและพูดด้วยเสียงแ่ว่า “วางใจเถอะ ลูกของเ้าปลอดภัยดี”
ติงเหว่ยหันกลับมาเห็นว่าเป็แม่ของนางเอง นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อนางเห็นริ้วรอยบริเวณขอบตาของมารดาที่เหมือนจะชัดขึ้นและบนศีรษะมีผมสีขาวขึ้นมาเป็จุดๆ ทันใดนั้นความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาในใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางละล่ำละลักขอโทษ “ท่านแม่ เป็เพราะข้าไม่ดีเอง ข้าทำให้ท่านต้องทุกข์ใจอีกแล้ว”
แม่นางหลี่ว์กอดลูกสาวแล้วน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมาเป็ครั้งแรก “เอาเถอะ เ้าอย่าพูดราวกับแม่เป็คนอื่นเลย เมื่อปีนั้นที่แม่ตั้งครรภ์เ้าอยู่ก็เกือบจะอายุ 30 แล้ว ใครๆ ก็เกลี้ยกล่อมให้แม่ทำแท้งเสีย แต่แม่ทำใจไม่ได้จริงๆ ลูกเป็ดั่งชีวิตและจิติญญาของแม่ เ้าอยากปกป้องเด็กในท้องของเ้าให้ดี…แม่ไม่โทษเ้าหรอก แต่ว่าลูกสาวข้า จากนี้เ้าจะใช้ชีวิตยังไงกัน?”
“ท่านแม่ ได้โปรดอย่าร้องไห้ไปเลย” ติงเหว่ยพยายามยื่นมือไปช่วยเช็ดน้ำตาของท่านแม่ แต่นางเองกลับร้องไห้หนักขึ้น “ท่านแม่ ข้าเป็ลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา ในอนาคตข้าจะต้องมีอำนาจและร่ำรวยอย่างแน่นอน ข้าจะกตัญญูต่อท่านแน่นอน…”
“แม่ไม่ได้สนใจเื่เหล่านี้เสียหน่อย แม่แค่กลัวว่าเ้าจะต้องยากลำบากต่างหาก!”
สองแม่ลูกกอดกันพูดคุยและร้องไห้เสียงดังไปถึงห้องโถง เมื่อพ่อ พี่ชายและสะใภ้ทั้งสองได้ยินต่างพากันหลั่งน้ำตา
หากไม่พูดถึงว่าคนในครอบครัวสกุลติงจะรู้สึกเศร้าและหดหู่อย่างไร แต่ในขณะเดียวกัน ณ ห้องพักของบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง มีพ่อบ้านาุโผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง เมื่อได้รับข่าวที่ส่งมาจากลูกบุญธรรม เขาพลันรู้สึกมีความสุขมากจนอยากจะตีฆ้องตีกลอง [2] และจุดประทัดชุดใหญ่ [3]
“์ช่างมีตา ิญญาบรรพบุรุษสกุลกงจื้อก็มีอยู่จริง!” พ่อบ้านาุโรู้สึกตื่นเต้นจนน้ำตาไหลอาบหน้า เขาคุกเข่าลงคำนับกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ยวิ๋นอิ่งที่ยืนอยู่ใกล้หน้าต่างฟังไปฟังมา ในที่สุดนางก็รีบก้าวไปข้างหน้า พยุงท่านลุงยวิ๋นให้ยืนขึ้น และพูดปลอบใจว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านอย่าเพิ่งเสียงดังไปเลย” นางแค่ไม่อยากให้ท่านพ่อบุญธรรมดีใจจนได้รับาเ็ แต่คนที่โง่เขลาแต่เกิดอย่างนาง นอกจากสองสามคำนี้ก็ไม่รู้จะใช้คำพูดอย่างไรดี
แน่นอนว่าท่านลุงยวิ๋นรู้นิสัยของบุตรสาวคนนี้ดี เขาเช็ดน้ำตาเล็กน้อยและตบไปที่บ่าของนาง และเอ่ยชื่นชมว่า “เ้าเด็กน้อยอิ่ง เื่นี้เ้าทำได้ดีมาก ดีมากจริงๆ”
แววตาของยวิ๋นอิ่งทอประกายแสงอันอบอุ่น ทว่ามุมปากของนางกลับขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางพูดด้วยเสียงแ่เบาว่า “นี่ล้วนเป็สิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
“เ้าเด็กน้อย เ้ารู้เหตุรู้ผลั้แ่ยังเล็ก หากเซียงเซียงได้สักครึ่งหนึ่งของเ้า ข้าคงวางใจได้บ้าง”
ยวิ๋นอิ่งนึกถึง “หลานสาว” ผู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะสบตานางเลยสักครั้ง สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็เ็าอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นนางจึงรีบเปลี่ยนเื่และเอ่ยว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ตอนนี้มิอาจปล่อยให้ครอบครัวสกุลติงคลาดสายตาไปได้ ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“ได้ๆ” ลุงยวิ๋นรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกำชับว่า “เื่ทางนั้นคงต้องฝากเ้าด้วย ข้าจะพยายามเลือกวันเพื่อย้ายไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด ต่อไปเ้าจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลๆ อีก”
ยวิ๋นอิ่งโค้งคำนับอีกครั้ง จากนั้นนางออกจากประตูไป เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ลุงยวิ๋นเอามือไพล่หลังเดินวนไปมารอบห้องอย่างตื่นเต้น ในที่สุดก็ไปห้องครัวเพื่อชงชาดีๆ สักหนึ่งกาด้วยตนเอง เดิมทีเซียงเซียงกำลังเฝ้าอยู่ที่ประตูบ้านอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นท่านปู่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ท่านปู่ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว กงจื่อก็หลับไปแล้วยังไม่ให้ข้าออกไปเฝ้าข้างนอกอีก…”
“หุบปาก เ้าสามารถจัดแจงเื่ของนายน้อยได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ?” เมื่อท่านลุงยวิ๋นได้ยินดังนั้นก็หยุดเดินและตำหนิหลานสาวเสียงเบาสองสามประโยค แต่พอคิดถึงเื่เมื่อครู่ขึ้นมา มุมปากก็อดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่ได้เดินเข้าไปในห้องแต่นั่งลงตรงบันได แล้วเริ่มรินชาออกมาให้ตัวเองลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย
เซียงเซียงกะพริบตาด้วยความสับสน นางสงสัยว่าทำไมคืนนี้ท่านปู่ถึงทำตัวผิดปกติ แต่ด้วยความที่นางอายุยังน้อย ไม่ค่อยคิดอะไรมาก สุดท้ายจึงหาวอย่างง่วงงุนสองสามทีแล้วเดินกลับไปที่ห้องของนาง…
เด็กและผู้ใหญ่ในบริเวณที่ราบนี้ต่างหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านตนเองเป็เวลาหนึ่งวัน ในที่สุดพวกเขาก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว วันที่สองจึงค่อยๆ พากันไปดูเชิงเขาซีชาน พวกเขาจึงเห็นกับตาตนเองว่าทางด้านหลังผนังที่เหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งของวัดชานเฉินถูกฟ้าผ่าแห้ง [4] จริงๆ
กลิ่นไหม้ที่คละคลุ้งอยู่ภายในวัดทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวและไม่สบายใจเป็อย่างมาก บางคนถึงกับคุกเข่าคำนับกับพื้น บางคนรีบกลับไปผูกผ้าสีแดงไว้ที่ประตูบ้าน [5] พวกเขาต่างรู้สึกตื่นตระหนก หลังผ่านไปหลายวันเมื่อเห็นว่าไม่มีภัยพิบัติใหญ่เกิดขึ้นพวกเขาก็รู้สึกโล่งใจในที่สุด
เพื่อให้ทุกคนสบายใจ อู๋ต้าเชิ่งจึงพาชายหนุ่มสองสามคนไปซ่อมแซมผนังกำแพงด้านนั้น หลังจากนั้นก็ทำพิธีเซ่นไหว้ใหญ่โต และเชิญพระภิกษุมาจำนวนหนึ่งเพื่อมาสวดพระคัมภีร์ นี่แหละที่เรียกว่าเคารพเลื่อมใสในพระศาสนาอย่างถึงที่สุด และแน่นอนว่าใน่ที่กำลังยุ่งวุ่นวายเช่นนี้ ชาวบ้านเองก็หยุดหาเื่ครอบครัวสกุลติงเป็การชั่วคราว
เพียงแต่ทุกคนต่างนึกถึงสิ่งที่แม่นางหลี่ว์พูดในวันนั้น ประกอบกับสิ่งที่ติงเหว่ยได้ทำใน่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ฐานะทางการเงินของครอบครัวสกุลติงดีขึ้น ดังนั้นเื่นี้จึงมีส่วนที่น่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย
ทว่าการตั้งครรภ์นอกสมรสถือเป็เื่อื้อฉาวครั้งใหญ่ ต่อให้เป็ลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเาก็ไม่อาจปกป้องติงเหว่ยให้รอดพ้นจากคำวิพากษ์วิจารณ์ไปได้ ถึงแม้ผู้คนในหมู่บ้านจะไม่กล้าพูดต่อหน้า แต่พอลับหลังก็พากันพูดจาดูิ่เสียๆ หายๆ ลูกสาวของทุกครอบครัวก็ถูกผู้ใหญ่ในบ้านบิดหูตักเตือน และสั่งห้ามไม่ให้ไปมาหาสู่กับลูกสาวครอบครัวสกุลติงอีก แม้จะเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญก็ต้องเดินอ้อมหลบไปอีกทาง
แม้จะมีสตรีบางคนที่ใจกว้างอยู่บ้าง พวกนางลองคิดๆ ดูแล้ว ปกติติงเหว่ยก็ถือเป็หญิงสาวที่ประพฤติตนอยู่ในจารีตประเพณี พวกนางยังกินซาลาเปาของติงเหว่ยได้ไม่ทันไร น่าเสียดายจริงๆ เด็กสาวนิสัยดีคนหนึ่ง จู่ๆ จับพลัดจับผลูตั้งครรภ์ได้อย่างไรกันนะ?
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพ่อของเด็กเป็ใคร!
“ข้าเดาว่าเป็ลูกชายคนเล็กสกุลฉวี ในบรรดาครอบครัวที่อยู่ใกล้บ้านสกุลติงมีแค่ลูกชายคนเล็กสกุลฉวีที่ยังไม่แต่งงาน ไม่แน่บางทีติงเหว่ยอาจต้องตาเขาก็เป็ได้”
เหล่าฮูหยินที่ไม่มีอะไรทำพากันนั่งเย็บปักถักร้อยใต้ต้นไม้ พวกนางอดใจไม่ไหวจนต้องเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเสียงอันเบา ในหมู่พวกนางมีป้าสาม ผู้จับผิดเก่งเป็ที่สุดพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ข้าเดาว่าเป็หลางเจียงเชิงคนขายน้ำมัน เมื่อวันจงเยวี๋ยน [6] ในขณะที่ข้ากำลังเดินผ่านตรอกแห่งหนึ่ง ข้าเห็นพวกเขาสองคนยืนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งในตรอกนั้น ที่นั่นไม่มีคนอื่นเลย ใครจะรู้ว่าทำอะไรกันบ้างข้างในนั้น?” ป้าหกโต้กลับ
“ข้ากลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ข้าเดาว่าไม่ใช่คนในหมู่บ้าน พวกเ้าว่าเป็ไปได้ไม่ว่าจะเป็คนในเมือง? ไม่แน่บางที… ”
ป้าหกกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นผู้าุโติงกำลังเดินออกจากซอยมาทางนี้เสียก่อน นางจึงปิดปากทันทีและใช้มือสะกิดป้าสาม
พลังที่หลงเหลืออยู่ของท่านย่าเทวาูเาหาใช่เื่ล้อเล่น หากนางเกิดทำให้ฟ้าผ่าแห้งอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจโดนบ้านใครสักคนก็เป็ได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุการณ์นี้ ร้านของครอบครัวสกุลติงก็ได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย ชาวบ้านต่างพากันไม่ไปกินอาหารที่ร้านครอบครัวสกุลติง ไม่ว่าจะเด็ก คนแก่ ผู้หญิง ผู้ชายต่างพากันหลบติงเหว่ยราวนางเป็โรคระบาดร้ายแรงก็ไม่ปาน ทั้งยังปฏิบัติต่อคนในครอบครัวสกุลติงด้วยสีหน้าไม่ดีอีก
นับว่าโชคยังดีอยู่บ้างที่ั้แ่เปิดร้าน่แรกๆ กลุ่มลูกค้าหลักเป็รถม้าที่สัญจรผ่านไปมา ดังนั้น แม้ชาวบ้านจะไม่มาที่ร้านก็ไม่สำคัญอะไรมากนัก
ค่ำคืนใน่ปลายฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิหนาวเหน็บ ประกอบกับยังไม่มีสายลมอบอุ่นพัดผ่าน ในที่สุดหมู่บ้านในูเาที่เสียงอึกทึกครึกโครมตลอดทั้งวันก็เงียบสงบลง แต่ละครัวเรือนต่างพากันจุดตะเกียงน้ำมัน มองดูดวงดาวเต็มท้องฟ้าจากที่ไกลๆ นับเป็ความสวยงามและเงียบสงบที่ต่างออกไป
หลังจากครอบครัวติงกินอาหารเย็นเสร็จก็จะนับรายได้ประจำวันตามปกติ กล่องเงินถูกจับคว่ำลงในแผ่นไม้ไผ่มีเสียงดังก๊องแก๊งกระทบกันเล็กน้อย ทว่าเสียงกลับเบากว่าปกติไม่น้อยเลย
แม่นางหวังละโมบในเงินทอง เมื่อนางเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและกระซิบเบาๆ ว่า “ท่านแม่ วันนี้กิจการเราแย่ลงไปมากเลย!”
ไม่ต้องพูดถึงใน่สองสามวันแรกของการเปิดร้านว่ากิจการเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน แม้ต่อมาจะไม่ได้รับสินน้ำใจแต่รายได้ของร้านค้าโดยทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 500 - 600 เหวินต่อวัน แต่ตอนนี้กลับได้เงินไม่ถึง 400 เหวินติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ในบางครั้งส่วนต่างเล็กๆ น้อยๆ มักทำให้คนรู้สึกไม่พอใจเสมอ
ติงเหว่ยยืนพิงกับตู้ ริมฝีปากของนางซีดขาว แม้ท่านหมอจางจะกำชับให้นางพักผ่อนและห้ามลุกจากเตียง แต่หลังจากที่นางสร้างปัญหามากมายให้แก่ครอบครัว นางก็รู้สึกหดหู่ ทั้งตัวไม่มีความสุขเลย เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงตอบว่า “ทั้งหมดเป็ความผิดของข้าเองที่ทำให้ทุกคนต้องลำบาก”
“เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่มีเงิน ตอนนี้เราก็ถือว่าดีขึ้นแล้ว” แม่นางหลี่ว์รู้สึกสงสารลูกสาว นางจ้องมองไปที่แม่นางหวังด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง ในที่สุดก็จับมือเย็นๆ ของลูกสาวไว้แน่นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกอย่างนี้ต้องขอบใจความคิดดีๆ ของเ้า ครอบครัวเราถึงพอมีกำไรแบบนี้ ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว”
แม่นางหวังรู้ตัวว่าสิ่งที่นางพูดนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร นางจึงรีบตอบไปว่า "น้องหญิง เป็เพราะพี่สะใภ้รองมีปากแต่ไร้จิตใจ [7] ขอน้องหญิงอย่าได้ใส่ใจเลย”
ติงเหว่ยฝืนยิ้มและตอบอย่างหนักแน่นว่า "ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้รักข้า พี่สะใภ้ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะทำให้ครอบครัวของเรามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน!”
นางััหน้าท้องที่ดูไม่คล้ายคนตั้งครรภ์พลางคิดทบทวนอย่างลึกซึ้ง ความฝันฤดูใบไม้ผลิในคืนนั้นเป็ประสบการณ์แรกที่นางััได้เมื่อมาที่นี่ แม้มันอาจดูเป็เื่ไร้สาระ แต่นางจำความร้อนแรง ความอ่อนโยนภายใต้ความหยาบกระด้าง และยังมีความเข้ากันได้ดีของชายคนนั้นได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อนางรู้จากท่านหมอจางว่าตนเองตั้งครรภ์ นางจึงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเก็บเด็กไว้ แม้นางจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความยากลำบากทั้งหมดนี้ในภายหลัง และต่อให้มีความยากลำบากมากกว่านี้รออยู่ในอนาคต นางก็ไม่คิดถอยหลังกลับ
แม้ว่าคนในครอบครัวสกุลติงจะถูกชาวบ้านก่นด่าทุกวัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้และยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องนาง ปลอบโยนนาง และปฏิบัติต่อนางด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ หากนางยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว!
เคราะห์ดีที่นางมีความรู้ของคนรุ่นหลัง และมีความสามารถพิเศษในการทำอาหาร นางไม่เชื่อว่านางจะไม่สามารถทำให้ครอบครัวร่ำรวยและไม่สามารถเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างแข็งแรงได้!
วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ คนงานที่ใจร้อนต่างเริ่มเตรียมเครื่องมือและพื้นที่เพาะปลูก
ในเช้าวันหนึ่งกลางเดือนสอง คนนอกที่ซื้อที่ดินสองสามหมู่บนเชิงเขาตงชานในคราเดียว หลังจากคนงานทำงานอย่างหนักมาประมาณหนึ่งเดือน ในที่สุดก็สร้างจวนแห่งนี้ได้สำเร็จ ไม่มีการประโคมข่าวหรือโอ้อวดใดๆ เ้าบ้านเองก็ย้ายเข้ามาอยู่อย่างเงียบๆ
แม้ว่าชาวบ้านจะอยากรู้อยากเห็น แต่พวกเขารู้ว่าไม่ควรไปยืนอยู่หน้าบ้านของคนอื่นเพื่อโผล่หัวเข้าไปสอดส่อง ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงความคิดเห็นเล็กน้อยและปล่อยผ่านไว้ข้างหลัง
กงจื้อิสวมชุดสีเขียวทั้งตัวนั่งพิงอยู่กับผ้าห่มและหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย เนื่องจากเขาเพิ่งย้ายเข้ามาจึงพาคนที่ไว้ใจได้มาเพียงไม่กี่คน ทุกคนต่างกำลังยุ่งกับงานกองโต ยกเว้นเขาที่เป็นายน้อย แน่นอนว่าแม้เขา้าช่วยก็ไม่สามารถทำได้
ท่านลุงอวิ๋นที่คอยยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เห็นนายน้องเอาแต่จ้องมองไปข้างนอก เขาเดาไม่ถูกว่านายน้อยคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “นายน้อย เมื่อตอนออกมาข้ากลัวจะไม่ทันการณ์ ตอนนี้กำลังคนจึงอาจขาดแคลนไปสักหน่อย วันหลังถ้าเราอยู่ที่นี่แล้ว ข้าคิดว่าบางทีอาจต้องหาคนเพิ่มสักหน่อย…”
กงจื้อิค่อยๆ ถอนสายตากลับมา ใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ และตอบอย่างราบเรียบว่า “ข้าปล่อยให้ท่านลุงอวิ๋นตัดสินใจก็แล้วกัน!”
“ให้ท่านปู่ตัดสินใจก็ดีแล้ว!” เซียงเซียงสาวใช้ตัวน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้นโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นด้วยสีหน้าไม่ยุติธรรม
“คุณชายผู้สูงศักดิ์ การที่พวกเราต้องมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้ถือเป็ความอยุติธรรมอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเราจะต้องหาคนปรนนิบัติรับใช้มาเพิ่มให้เพียงพอ!”
ท่านลุงอวิ๋นจ้องมองหลานสาวอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้า [8] ได้ และตำหนิว่า "ใช่เื่ที่เ้าต้องพูดแทรกเมื่อไรกัน!"
ใบหน้าของเซียงเซียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และโต้กลับว่า"ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง"
-------------------—-------------------—-------------------
[1] เชิงิหล่างจี๋ 声名狼藉 คือสำนวนจีน โดยเมื่อก่อนเชื่อว่าฝูงหมาป่ามักจะนอนอยู่บนพื้นหญ้า และเมื่อพวกมันลุกขึ้นก็จะเหยียบย่ำหญ้าเพื่อกำจัดร่องรอย จึงใช้ในการอุปมาอุปไมยว่าบางสิ่งบางอย่างเสียหายเกินที่จะควบคุมได้ ในที่นี้หมายถึงเสื่อมเสียชื่อเสียงจนมิอาจแก้ไข
[2] ตีฆ้องตีกลอง 敲锣打鼓 หมายถึง เฉลิมฉลองและแสดงความยินดี
[3] จุดประทัดชุดใหญ่ 大放鞭炮 หมายถึง เฉลิมฉลองและแสดงความยินดี
[4] ฟ้าผ่าแห้ง 旱天雷 หมายถึง ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีฝนตก มักเกิดใน่ฤดูแล้ง
[5] ผูกผ้าสีแดงไว้ที่ประตูบ้าน หมายถึง ประเพณีผูกผ้าแดง 门挂红布条 ซึ่งเป็ประเพณีพื้นบ้านต้องห้ามในพื้นที่คังจั้ง (康藏) เมื่อผู้หญิงให้กำเนิดบุตรหรือมีคนไข้อาการหนัก มักจะแขวนแถบผ้าสีแดงไว้ด้านนอกเหนือประตูหรือใกล้กับด้านข้างประตูเพื่อป้องกันไม่ให้ิญญาชั่วร้ายเข้ามา
[6] วันจงเยวี๋ยน 中元日 หมายถึง วันสารทจีน
[7] มีปากแต่ไร้จิตใจ 有口无心 หมายถึง พูดไปอย่างไม่คิดให้ดีเสียก่อน
[8] ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้า 恨铁不成钢 หมายถึง การตั้งความหวังหรือเข้มงวดกับคนคนนั้นเพื่อหวังว่าคนคนนั้นจะได้ดิบได้ดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้