ตอนที่5 อาจารย์
---
สี่ปีผ่านไป...ในโลกที่์ไม่อาจแทรกแซง
ร่างเล็กที่เคยหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของราชินีอสูร
วันนี้—กลับกลายเป็เงาร่างที่วิ่งเล่นไปทั่วลานใต้ต้นไม้ใหญ่
ไป๋เฉิน อายุครบ 4 ขวบพอดี
---
เขาไม่ใช่มนุษย์
แต่ก็ไม่ใช่อสูรโดยสิ้นเชิง
เด็กชายผู้มีเส้นผมขาวสว่าง ดวงตาสีเหลือง และท่าทางเงียบขรึมเกินวัย
ในสายตาของอสูรทั้งป่า เขาคือนายน้อย
แต่ในสายตาของซือเหยียน…เขาคือ “โลกทั้งใบของนาง"
---
ซือเหยียนไม่เคยนับวัน
แต่จิ้งจอกเก้าหางนับ
กิเลนโลกันตร์ก็จดไว้ในกระดอง
และวานรอัสนี—มันประกาศลั่นป่าั้แ่วันก่อนแล้วว่า
“ปีนี้ข้าจะชนะ!”
---
ของขวัญแห่งปี กลายเป็การแข่งขันประจำป่า
ราชันย์อสูรทั้งแปดไม่มีใครยอมใคร
แต่ละตนพยายามงัดของที่ “นายน้อยต้องชอบที่สุด” มาให้ได้
---
วานรอัสนีโผล่จากหมอกฟ้าร้อง
บนไหล่ของมันแบกสิ่งประหลาดที่เปล่งแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ
“ฮ่า ๆ ๆ! ของข้าคือไม้เท้าสายฟ้า!!”
“ตีพื้นแล้วมีเสียง ‘บูม!’ ไฟฟ้าวิ่งรอบตัว ได้ยินทีเดียวเด็กต้องหัวเราะแน่!”
“เขาหัวเราะเพราะมันะเิใส่หน้าเ้าปีที่แล้วหน่ะสิ…”
จิ้งจอกเก้าหางกระซิบเบา ๆ แล้วเดินเข้ามาช้า ๆ
“หมอนลวงตานี่ต่างหากที่เขาจะใช้ทุกคืน…”
“กลิ่นบุปผาเก้าอย่าง ถักจากขนหางข้าจริง ๆ ฝันดีแน่นอน”
“เ้ากล้าใช้ขนหางสกปรกของเ้างั้นหรือ!?”
กิเลนโลกันตร์ยกคิ้ว แล้วสะบัดผ้าคลุมออก
เผย “ผ้าคลุมกันไฟ” ที่ดูหรูหราเกินเด็กใช้
“ผ้าคลุมนี้ทนไฟ ป้องกันพิษได้ถึงเจ็ดชนิด ปรับอุณหภูมิให้เหมาะกับร่างกายได้แม้จะยืนกลางูเาน้ำแข็งหรือบึงลาวาเขาจะไม่ระคายเคืองผิวแม้แต่นิด!"
"ข้าใส่ตอนเดินผ่านบึงน้ำเดือดยังไม่เปียกสักหยด!”
“ของข้าคือขลุ่ยสายลม”
ราชสีห์วายุกล่าวเสียงทุ้ม
“เป่าแล้วลมจะพัดกลิ่นดอกไม้รอบตัวเขา…ข้าเคยเห็นเขายิ้มตอนดมกลิ่นดอกหนึ่ง ข้าจำได้”
---
เด็กชายยืนอยู่กลางลาน
ไม่แสดงความตื่นเต้น ไม่หวาดกลัว
แต่เมื่อซือเหยียนเดินเข้ามายืนข้าง ๆ
เขาหันมามองทันที แล้วถามเบา ๆ
“…พวกเขาเอาของมาให้อีกแล้วหรือ?”
“ใช่” ซือเหยียนตอบเรียบ
“เอามาทำไมมากนัก ปีก่อนๆก็ให้มาแล้ว?”
“ไม่แน่ใจ” นางตอบตรง ๆ
ก่อนจะเว้นจังหวะไปเล็กน้อย แล้วพูดต่ออย่างขรึม
“…พวกมันอาจอยากได้เสียงหัวเราะของเ้า”
---
ไป๋เฉินเงียบไปนิดหนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณที่เต่าาเคยเอามาให้เมื่อปีก่อน
ประหนึ่งาาน้อยที่รอพิธีของตนเอง
เหล่าอสูรมองภาพนั้นอย่างพร้อมเพรียง
ไม่มีใครเอ่ยแย้ง ไม่มีใครหัวเราะ
เพราะไม่ว่าใครจะชนะในวันนี้…
“เด็กคนนั้น” คือผู้เดียวที่ทำให้ราชินีอสูรยอมยืนเคียงข้างอย่างเงียบ ๆ
ลานหินที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ของป่ารัตติกาลนิรันดร์
กลายเป็เวทีประลองของ "ราชันย์ผู้ใหญ่โต"…
เพื่อเอาชนะใจเด็กชายวัยสี่ขวบที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
“ข้าควรเริ่มก่อน!” วานรอัสนีะโ มันะโลงกลางลาน หอบไม้เท้าสายฟ้ามาเหวี่ยงฟาดพื้นเสียง "บูม!" แสงฟ้าแลบแล่นเป็เส้นสวยงามบนลานหิน พร้อมเสียงหัวเราะของมัน
“นี่คือไม้เท้าสายฟ้า! ฟาดทีเสียงสนั่น เด็กร้องไห้ยังต้องเงียบ!”
ไป๋เฉินยกมือขึ้นป้องหู แล้วหันไปหาซือเหยียน
“…เขาจะฟาดข้าหรือ?”
“มันคงไม่กล้า” นางตอบเรียบ พร้อมปรายสายตาไปที่วานรอัสนี
---
จิ้งจอกเก้าหางเดินเข้ามาช้า ๆ หมอนสีชมพูหม่นอยู่ในมือ
จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้าเอาหมอนลวงตามาให้ มีกลิ่นบุปผาเก้าอย่าง ถักจากขนหางข้าเอง หอม หลับสนิท ฝันดีแน่นอน”
ไป๋เฉินรับมาดม...แล้วนิ่ง “หอมเกินไป ข้านอนไม่หลับ”
“หอมเกินไป…” จิ้งจอกพึมพำ “…ข้าใส่น้ำหอมเกินไปรึ?”
---
กิเลนโลกันตร์ยืนเท้าเอวแล้วก้าวขึ้นมา สะบัดผ้าคลุมสีทองประกายแสงออกมาจากกล่องหยก
“ผ้าคลุมกันไฟศักดิ์สิทธิ์ กลั่นจากเปลวโลกันตร์พันปี ห่มแล้วกันพิษ กันหนาว ปรับอุณหภูมิให้พอดีกับร่างกายได้เอง!”
ไป๋เฉินลูบผ้าเบา ๆ แล้วพูดนิ่ง ๆ
“ข้าไม่ชอบคลุมผ้านอน…”
“หา!?” กิเลนค้าง
“แต่มันนิ่ม ข้าใช้คลุมก้อนหินที่นั่งเล่นก็แล้วกัน”
จิ้งจอกหรี่ตามองแล้วกระซิบเบา ๆ
"ก็ยังดีที่นายน้อยไม่โยนผ้าเ้าทิ้ง”
---
ราชสีห์วายุโบกมือทันที ยื่นขลุ่ยสายลมทำจากหยกใสประดับขนนกสีเทาเงิน
“นายน้อย—ขลุ่ยสายลมนี้เป่าแล้วกลิ่นดอกไม้จะลอยรอบตัวเ้า กล่อมให้ฝันดีทุกคืน”
ไป๋เฉินหยิบขึ้น… แล้วลองเป่าดูทันที
“ปี๊ดดดดดดดด”
“...เ้าเป่าผิดด้าน” ราชสีห์หน้าเจื่อน
---
วิหคะเดินเข้ามาพร้อมกรงทองในมือ ภายในมีขนนกยาวเส้นหนึ่งส่องแสงเรือง
“นี่คือขนนกะ โบกครั้งเดียว เปลวเพลิง ปะทุออกมาสวยงาม ช่วยรักษาอาการาเ็”
ไป๋เฉินโบก...
ไม่มีเปลวเพลิง
มีแต่เพียงสายลมอ่อนๆ
ไป๋เฉินมองวิหคะ “…มันยังไม่ใช้ไม่ได้หรือ?”
"มันเอาไว้ใช้ตอนาเ็นายน้อย...”
---
เต่าาคลานมาช้า ๆ ก่อนจะวางกล่องหินไว้หน้าลาน
“ผลไม้ะ ใช้พลังชีวิตหมื่นปีบ่มสุก…ลูกเดียวในโลกนี้”
ไป๋เฉินหยิบขึ้นมาดม “…กลิ่นเหมือนผลไม้ที่ข้าซ่อนใต้ก้อนหินเมื่อปีก่อน”
วานรอัสนีกระซิบ “มันใช่ลูกเดียวกันหรือเปล่า”
“ใครจะไปกล้าดมพิสูจน์…” จิ้งจอกหรี่ตา
---
“ของข้าดีสุด!”
“ของที่ทำได้เพียงฟาดไปมาหน่ะหรือ!”
“อย่างน้อยของข้าก็ไม่ได้ทำให้นายน้อยนอนไม่หลับ!”
ราชันย์เริ่มเถียงกันวุ่น ก่อนเสียงเ็าจะดังขึ้นจากด้านหลัง
“พอ” เสียงซือเหยียนพูดชัดเจน
นางยืนอยู่ข้างไป๋เฉิน มือประคองไหล่เขาเบา ๆ “เ้าอยากรับของพวกนี้หรือไม่”
เด็กชายพยักหน้า “…ยังไงของพวกนี้พวกท่านน้าเป็คนให้มาข้าต้องรับอยู่แล้วท่านแม่”
---
วานรอัสนียังไม่ยอม “งั้นท่านต้องเลือก! ของใครดีที่สุด!”
ไป๋เฉินมองไปรอบลาน กวาดตามองของทั้งหมด แล้วพูดนิ่ง ๆ
“…ของที่กินได้มีน้อยเกินไป”
ราชันย์ทั้งแปดชะงัก
“ปีหน้า…จะทำขนมแล้วกัน!” กิเลนพึมพำ “ข้าจะอบขนมใส่เปลวโลกันตร์!”
---
เสียงขลุ่ยผิดด้านดังขึ้นอีกครั้ง จิ้งจอกเอาหมอนรองหัวตัวเองแล้วนอนแผ่ เต่าาถอนหายใจ ส่วนไป๋เฉิน…เอนหลังพิงซือเหยียนแบบเงียบ ๆ
ไม่มีพิธี ไม่มีคำประกาศ แต่วันนี้—คือวันที่ป่ารัตติกาลนิรันดร์วุ่นวายที่สุดในรอบพันปี
หลังพิธีมอบของขวัญผ่านไป ไป๋เฉินก็ยังคงนอนพิงซือเหยียน
เหล่าราชันย์อสูรทั้งแปดยังคงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น แม้ไร้คำสั่ง…แต่ไม่มีใครคิดจะจากไป
สายลมเย็นพัดผ่าน ก่อนที่พยัคฆ์ครามจะเป็ฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อน
“เขาอายุครบสี่ขวบแล้ว”
ไม่มีใครตอบ แต่นั่นก็เพียงพอให้ทุกสายตาหันมาสบกันในทันที
“ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ นายน้อยจะอ่อนแอเกินไป” ราชสีห์วายุพูดขึ้นบ้าง “ในอีกไม่กี่สิบปี...นายน้อยต้องขึ้นปกครองป่านี้”
“เขาจะต้องแข็งแกร่ง” กิเลนกล่าวเสียงเรียบ “มิใช่แค่เพื่ออยู่รอดในป่า...แต่เพื่อก้าวไปไกลกว่านั้น”
วานรอัสนีหัวเราะ “และข้าจะเป็ผู้สอนเขา! ข้ารวดเร็ว ฉลาด ใช้พลังสายฟ้าได้ทุกแขนง เขาเรียนจากข้า จะไม่กลัวฟ้าผ่าแน่นอน!”
“แต่เขาจะฟาดหัวตัวเองทุกวันแทน” จิ้งจอกว่า ก่อนจะก้าวออกมาอย่างสง่างาม “วิชามายาให้ทั้งการพรางตัว กล่อมจิต และชักนำได้ ข้าสอนเขา นายน้อยไม่จำเป็ต้องออกแรงด้วยซ้ำ”
“เขาต้องมีร่างกายที่แกร่งก่อน” เต่าาโพล่งเสียงหนัก “ก่อนจะใช้กลยุทธ์ใดๆ ได้ เขาต้องมีร่างกายแกร่งพอจะใช้มันได้”
“ข้าเห็นด้วย” ัเพลิงทมิฬกล่าว น้ำเสียงมั่นคงเหมือนเปลวไฟ “การควบคุมพลัง...เริ่มจากการควบคุมร่าง”
พยัคฆ์ครามเหลือบตามอง “ร่างกายของเขาบางเกินไปสำหรับการฝึกหนัก…แต่จิตใจกลับมั่นคงเกินเด็กทั่วไป”
“นั่นเพราะเขาคือบุตรของนาง” วิหคะพูดแ่เบา “แต่...เพียงเท่านั้นไม่พอ”
กิเลนพยักหน้า “เราจำเป็ต้องให้เขาเรียนรู้จากทุกแขนง ทุกธาตุ ทุกวิชา…เพื่อให้เขารู้จักโลก ไม่ใช่แค่พลัง”
วานรชูมือขึ้น “ข้าอาสาเป็อาจารย์! ใครจะค้าน!”
“ข้าค้าน!” สามเสียงพูดพร้อมกัน
—
และในวินาทีนั้น ใต้ร่มไม้ที่เคยสงบ…เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
ราชันย์ทั้งแปด ต่างมั่นใจว่า “ตน” คือผู้ที่เหมาะสมที่สุด ไม่ใช่เพราะแค่อยากสอน—แต่เพราะอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขา
แต่คำว่า “ดีที่สุด” ของแต่ละตนนั้น…ไม่เคยเหมือนกันเลย
เสียงคำว่า “ข้าค้าน!”
ยังไม่ทันจางหาย…สนามกลางใต้ต้นไม้ใหญ่ก็เริ่มเดือดขึ้นช้า ๆ
“เ้าไม่มีสิทธิ์ค้าน!” วานรอัสนีชี้หน้า
“ข้าคือผู้ที่เขาหัวเราะให้มากที่สุดในปีนี้!”
“หัวเราะเพราะเ้าลื่นล้มบนกิ่งไม้ต่างหาก…” จิ้งจอกเก้าหางว่า
“แต่ถ้าอยากวัด ใครทำให้นายน้อยหลับง่ายที่สุด—ข้าชนะขาด”
“หลับง่ายไม่ใช่เพราะหมอนเ้า แต่เพราะกลิ่นเ้าหนักจนสลบ!”
ราชสีห์วายุโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เขายิ้มตอนดมดอกไม้ที่ข้าปลูก ขลุ่ยของข้าคือคำตอบ”
“ข้าเห็นแค่เขาเป่าผิดด้านจนเสียงแตก”
เต่าาพูดช้า ๆ
“ผลไม้ของข้ายังมีประโยชน์กว่าอีก…”
“นั่นมันผลไม้ที่เขาโยนไว้ใต้หินเมื่อปีก่อน!”
กิเลนโลกันตร์ตวาด
“เด็กคนนี้้า ‘ครู’ ไม่ใช่ ‘ตัวตลก’!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ข้าสิที่เหมาะ!”
วานรเงื้อไม้เท้าขึ้น
“เร็ว! แกร่ง! ฝึกแล้วจับสายฟ้ามาฟาด!”
“ฝึกกับเ้าจะโดนไม้เท้าฟาดตายเสียก่อน!”
พยัคฆ์ครามคำรามขึ้นมาบ้าง
“หากจะฝึกให้ดี ต้องมีร่างกายที่พร้อม แบบข้าเท่านั้น!”
—
เปลวเพลิงเริ่มแผ่ออกจากร่างัเพลิงทมิฬ
เสียงสายลมหมุนรอบขลุ่ยของราชสีห์
จิ้งจอกปล่อยหมอกลวงตาเบา ๆ
ส่วนเต่าา…ขยับช้า แต่หินรอบตัวเริ่มสั่น
สนามใต้ต้นไม้—เริ่มสั่นเบา ๆ
“เอาอย่างนี้!” วานรเงื้อไม้เท้า
“เราสู้กัน ใครชนะ ได้เป็อาจารย์!”
“เข้าทางข้าเลย!” กิเลนเหยียดยิ้ม
“งั้นก็ข้าขอเผาเ้าก่อนเลยแล้วกัน!”
—
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง
“จะเผากันตรงหน้าข้ารึ”
เสียงนั้นไม่ดัง
แต่น้ำเสียงเรียบนิ่งกลับทำให้ทั้งแปดเงียบกริบภายในพริบตา
ซือเหยียนยืนอยู่
อุ้มนายน้อยไว้ในอ้อมแขน
แม้ร่างจะเล็กกว่าพวกมันหลายเท่า แต่ไม่มีใครกล้าสบตานางแม้แต่คนเดียว
ซือเหยียนมองลูกในอ้อมแขน ก่อนจะพูดเรียบ ๆ
“งั้น…ให้เขาเป็คนเลือก”
—
เหล่าราชันย์อสูรทั้งแปดเงียบกริบ
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเด็กชายที่นั่งนิ่งอยู่ข้างนาง
ไป๋เฉินกวาดตามองพวกมันช้า ๆ
“…ข้าจะฝึกกับทุกคน”
หลายตนเริ่มอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เด็กชายพูดต่อเสียงนิ่ง
“ไม่ใช่เพราะเลือกไม่ได้
แต่เพราะข้าอยากรู้...ทั้งหมด”
“อยากลองดูว่าข้าทำอะไรได้บ้าง
...แล้วค่อยเลือกทีหลังว่าชอบอะไรที่สุด”
—
เงียบไปชั่วขณะ
จิ้งจอกเก้าหางกระพริบตาช้า ๆ
“เขาพูดเหมือนจะเล่นทุกอย่างก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเอาอันไหนกลับบ้าน”
“สมกับเป็นายน้อย” วานรอัสนีพยักหน้า
“ได้ทั้งหมดเหตุใดจึงต้องเลือก!”
เต่าาหัวเราะหึ ๆ
“ถ้ารับมือพวกเราไหวหมด ข้าจะยกตำราให้ทั้งเล่มเลย”
“ถ้าเขาฝึกกับเ้า อาจได้แค่รู้จักความง่วงก่อนอย่างอื่นก็ได้” พยัคฆ์ครามพูดนิ่ง ๆ
—
ัเพลิงทมิฬหลุบตาลงนิดหนึ่ง
“เขาอยากทุกสิ่ง..แต่นั่นแหละคือสิ่งที่าาแห่งป่าควรกระทำ”
กิเลนพยักหน้า
“ข้าไม่ขัดข้อง…หากนายน้อย้าเรียนรู้ทุกอย่าง ข้าจะไม่ปิดบังสิ่งใด”
—
ซือเหยียนยังคงนิ่ง
ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา แต่คมชัด
“ในสามวัน…จะเริ่ม”
“และถ้ามีใครทำให้เขาเืตกยางออก…”
นางไม่พูดต่อ
แต่ทุกตนเงียบกริบทันที เหงื่อกาฬแทบไหลซึม (แม้ไม่มีเหงื่อ)
—
เสียงลมหายใจของเด็กชายยังคงสม่ำเสมอ
และแม้เขาจะไม่รู้เลยว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ตนเองจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง…
...แต่ในแววตาคู่นั้น
มีบางอย่างที่เปล่งแสงชัดเจนกว่าเดิม
ไม่ใช่พลัง
ไม่ใช่ชะตา
แต่คือความตั้งใจ — ที่เขาเลือกเอง
แม้คำพูดของไป๋เฉินจะเรียบง่าย แต่ผลของมัน…กลับทำให้เหล่าราชันย์อสูรต้องปรับแผนกันใหม่ทั้งป่า
หลังผ่านพิธีวันเกิดไปเพียงสามวัน ลานฝึกใต้ต้นไม้โบราณก็ถูกแปลงสภาพไปโดยสิ้นเชิง
มุมหนึ่งปกคลุมด้วยหมอกมายา อีกมุมมีเสาไฟฟ้าผ่าตั้งเรียงราย เบื้องหน้าเป็เวทีดินกลม ๆ ที่มีกระแสพลังหมุนวนอยู่รอบ
กลางเวที…เด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งนิ่ง ผมสีเงินของเขาปลิวไหวตามแรงลม ดวงตาเรียบเฉย จับจ้องแต่ละทิศทางอย่างเงียบ ๆ
---
การฝึกของนายน้อยในป่ารัตติกาลนิรันดร์ หาใช่การฝึกตามตำรา…หรือแบบแผนของมนุษย์
ราชันย์อสูรทั้งแปด มิใช่อาจารย์ แต่เป็เสาหลักของป่าทั้งผืน และแต่ละตน…มีสิ่งที่ “ตนเท่านั้น” สามารถถ่ายทอดได้
ัเพลิงทมิฬ เริ่มจากพื้นฐานที่สุด — “การควบคุมพลังปราณอสูร” ด้วยเปลวเพลิงอันหนาแน่น มันสอนให้เด็กชายรู้จักพลังของตนเอง จะควบคุมอย่างไรไม่ให้ะเิ จะกลั่นกรองอย่างไรให้ไม่ไหม้กระดูกของตน
กิเลนโลกันตร์ ไม่พูดมาก แต่สอนเื่สมดุล เพราะมันครองธาตุน้ำและไฟในตัว มันจึงพาไป๋เฉินไปยังบึงน้ำอัคคีในยามเช้า… และให้เด็กชายฝึกการแปรสภาพปราณภายในให้ “เย็น” และ “ร้อน” พร้อมกัน
วานรอัสนี ไม่รอใคร มันโยนผลไม้อัดพลังใส่เด็กแล้วสั่งให้ “หลบ!” สายฟ้าของมันรวดเร็วราวใจคิด แต่มันกลับจะฝึกให้เด็กน้อยเร็วกว่าเสียงสายฟ้าเสียอีก
พยัคฆ์คราม เคลื่อนไหวในเงาลมเสมอ มันไม่ได้สอนวิชาต่อสู้ หากแต่สอนให้เด็ก “หายไป” ยืนบนยอดไม้…โดยไร้เสียง วิ่งผ่านสายลม…โดยไม่ทำใบไม้ไหวแม้แต่น้อย
จิ้งจอกเก้าหาง อ่อนโยนที่สุด แต่สอนยากที่สุด มันใช้มายาภาพ ให้เด็กแยกแยะว่าอันใดจริง อันใดหลอก บางวัน...ไป๋เฉินฝึกทั้งวันอยู่ใน "โลกปลอม" โดยไม่รู้ตัว
วิหคะ มิได้มีแค่เวทแสง มันบินเหนือเมฆา เคยผ่านแดนทั้งหก อาณาจักรทั้งพัน ในยามบ่าย มันจะเล่าเื่ “โลกภายนอก” และสอนให้ไป๋เฉินวาดภาพสิ่งที่ไม่เคยเห็น — ด้วยความคิดของตน
ราชสีห์วายุ สอนด้วยเสียง มันให้เด็กนั่งฟังเสียงต่าง ๆ รอบตัว — เสียงต้นไม้ เสียงหมอก เสียงหัวใจ ในทุกเช้า…มันจะเป่าขลุ่ยให้ฟัง แล้วให้ไป๋เฉินเลียนแบบ
เต่าา ช้าที่สุด หนักแน่นที่สุด มันให้เด็กลงไปนั่งกลางบึง เงียบ ๆ ฝึกการหายใจ การเก็บพลัง การฟังเสียงในร่างกายของตน มันยังเล่าสมุนไพรให้ฟัง สอนแยกพิษจากยารักษา และบางวัน...ก็แค่ให้ไป๋เฉินนั่งเฉย ๆ แล้วถามว่า “เ้ารู้ไหม...วันนี้เ้าเหนื่อยตรงไหน”
นี่คือการฝึกของนายน้อย มิใช่แค่การต่อสู้ มิใช่แค่พลัง แต่คือ “การเป็อสูร” — ในแบบของตนเอง
และในทุก่เวลา ร่างเงาหนึ่งใต้ร่มไม้…ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
ซือเหยียน — ไม่เคยพูดอะไร แต่ก็ไม่เคยละสายตาจากลูกเลยแม้แต่วินาทีเดียว
บางครั้ง…เมื่อลูกล้ม นางจะนิ่งจนน่ากลัว แต่ถ้าเขาลุกขึ้นได้เอง…
...ก็จะมีลมหายใจหนึ่งที่หลุดจากเรียวปากของราชินีอสูรอย่างแ่เบา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้