"ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา
"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทััว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เืสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันั์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า
"นี่ก็เป็ตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น
"เพียงเท่านี้เ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร่างเล็กของซ่งเหยียนเฟยพลันปรากฏขึ้นข้างกายเขาอย่างน่าอัศจรรย์
อวี้เหวินหันไปมองบุรุษร่างเล็กสลับกับร่างยาวเหยียดกว่าห้าวาของอสรพิษร้าย ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังขา ราวกับจะถามว่า 'เ้ามีสิทธิ์กล่าวคำนั้นได้อย่างไร?'
บุรุษร่างเล็กเห็นสีหน้าของอวี้เหวินก็ราวกับอ่านความคิดในใจออก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจปนขบขันเล็กน้อย
"หึ แม้ร่างข้าจะเล็ก ทว่าข้าก็สามารถสังหารสัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำพวกนี้ได้เพียงแค่กระดิกนิ้วเท่านั้น" ว่าแล้วก็ชี้ปลายนิ้วไปยังพุ่มไม้รกทึบด้านหลังของอวี้เหวิน
อวี้เหวินพลันรู้สึกราวกับมีคมมีดที่มองไม่เห็น ทว่าคมกริบยิ่งกว่าศัสตราใดๆ ในโลก หลุดลอดผ่านศีรษะของเขาไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด เส้นผมบางส่วนปลิวร่วงลงสู่พื้นดินอย่างเชื่องช้า
ฟึ่บ! เสียงราวกับอากาศถูกฉีกกระชากด้วยคมดาบที่คมที่สุดในปฐี ดังสนั่นท่ามกลางบรรยากาศที่ร้อนระอุ ปรากฏร่างของงูหางแมงป่องกลุ่มใหญ่ ถูกคมมีดล่องหนนั้นตัดขาดเป็ท่อนๆ เืสีแดงฉานพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุโลหิต ไหลนองลงสู่พื้นดินที่แห้งแล้ง
เมื่ออวี้เหวินหันหลังกลับไปมอง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เหล่างูร้ายเ่าั้ราวกับถูกสุดยอดพ่อครัวแห่งภัตตาคาร์บรรจงแล่เนื้ออย่างเป็ระเบียบสวยงาม พร้อมนำไปปรุงแต่งเป็อาหารทิพย์ก็มิปาน ภายในใจของอวี้เหวินพลันตื่นตระหนก หากมิได้บุรุษร่างเล็กผู้นี้ช่วยเหลือ เกรงว่าเขาคงต้องาเ็สาหัสเป็แน่ พร้อมกันนั้นก็ทึ่งในความสามารถอันร้ายกาจที่เหนือจินตนาการของอีกฝ่ายถึงห้าส่วน
"ขอบคุณเ้ามากนะ" อวี้เหวินประสานมือคารวะด้วยความเคารพและสำนึกในบุญคุณอย่างแท้จริง
"มิต้องมากพิธี เป็หน้าที่ของข้าในการดูแลเด็กน้อยเช่นเ้า" ซ่งเหยียนเฟยตอบพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับมิได้กระทำเื่ใหญ่โตอันใด พลางกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
"ไปกันเถิด เบื้องหน้ายังมีงูหางแมงป่องอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีกระบองเพชรลิ้นอสรพิษที่เรา้าอยู่"
อวี้เหวินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะก้มลงเก็บวัตถุทรงกลมสีแดงสดใสคล้ายลูกแก้วที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน เหล่านี้คือผลึกพลังงานอันเข้มข้นที่สกัดจากแก่นของงูหางแมงป่องนั่นเอง เขาบรรจงหยิบใส่ลงในถุงหนังวัวสีน้ำตาลเข้มที่เตรียมมาด้วยอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์ถ้ำเบื้องหน้า
จากภายนอกนั้นแลเห็นเพียงปากถ้ำขนาดกลาง มิได้ใหญ่โตนัก ทว่าเมื่อย่างกรายเข้ามาภายใน กลับพบว่าโพรงถ้ำขยายกว้างออกอย่างน่าประหลาด ยิ่งเดินลึกล้ำเข้าไป ราวกับได้ก้าวเข้าสู่โลกอีกมิติหนึ่ง โลกที่อบอวลไปด้วยไอความร้อนอันแผดเผา โลกแห่งความแห้งแล้งและรกร้าง เป็สภาพแวดล้อมที่มนุษย์ทั่วไปมิอาจดำรงอยู่ได้เกินสิบลมหายใจอย่างแน่นอน
เมื่ออวี้เหวินกวาดสายตามองไปโดยรอบภายในโลกที่ถูกตัดขาดจากภายนอกนี้ ต่างเต็มไปด้วยแท่งหินูเาไฟขนาดน้อยใหญ่ เรียงรายสลับซับซ้อนราวกับัเพลิงาที่กำลังขดตัวหลับใหลอยู่เบื้องหน้า สายตาของเขาพลันจับจ้องไปยังพืชชนิดหนึ่ง ลำต้นทรงกระบอก ปกคลุมด้วยหนามแหลมคม ขึ้นอยู่ประปรายบนพื้นดินที่แตกระแหงเบื้องหน้า
"หวีดด..." เสียงลมที่หอบไอความร้อนรุนแรงปะทะเข้าสู่ใบหน้าหล่อเหลาของอวี้เหวิน ความรู้สึกราวกับถูกเปลวเพลิงอันร้อนระอุโหมกระหน่ำเข้าสู่ิัโดยตรง จนเขาต้องรีบยกมือขึ้นป้องปัดความร้อนนั้น พร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความไม่สบายอย่างชัดเจน
"ยิ่งข้าเดินลึกเข้ามาเท่าใด ไอความร้อนก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น บัดนี้ข้าเริ่มทานทนมิไหวแล้ว" เขาบ่นพึมพำกับตนเองด้วยความยากลำบาก
"เช่นนั้นเ้าจงเร่งกำจัดศัตรูเบื้องหน้าเสีย แล้วเก็บเกี่ยวกระบองเพชรลิ้นอสรพิษมา มันจะช่วยบรรเทาความร้อนให้เ้าได้เป็แน่ และสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เหมาะสมยิ่งนักกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาของเ้า" เสียงของบุรุษร่างเล็กที่อยู่ด้านหลังอวี้เหวินกล่าวเตือน
แน่นอนว่าอวี้เหวินย่อมเข้าใจในคำกล่าวของซ่งเหยียนเฟย สภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุเช่นนี้ หากเขาใช้ขัดเกลาตน จะช่วยเสริมสร้างพลังและยกระดับร่างกายและวิชาของเขาได้อย่างรวดเร็ว มิรอช้า เขาจึงหลับตาลงและเริ่มเดินพลังตามเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติในทันที
"วูบบ..." ราวกับเกิดหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า อวี้เหวินกำลังดูดซับไอความร้อนอันรุนแรงบริเวณนั้นเข้ามาสู่ภายในร่างกายของตนเอง ไอความร้อนเ่าั้แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของร่างกายของอวี้เหวิน ทำให้ิัของเขาแดงก่ำราวกับเหล็กกล้าที่กำลังถูกหลอมในเตาเผา ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมานจากการถูกเผาไหม้อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในร่างกาย ทุกเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายของอวี้เหวินถูกเผาผลาญและสร้างขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยการช่วยเหลือจากเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติที่ช่วยเร่งปฏิกิริยา ร่างกายของอวี้เหวินจึงเริ่มทนทานต่อความร้อนมากยิ่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
ทางด้านเหล่าอสรพิษหางแมงป่อง เมื่อััได้ถึงผู้บุกรุกที่ย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของตน ต่างก็เลื้อยเคลื่อนกายอันใหญ่โตเข้าหาอวี้เหวินด้วยความคลั่งแค้น พวกมันมิได้หวาดหวั่นต่อการตายของสหายแม้แต่น้อย กลับยิ่งทวีความดุร้าย โถมเข้าใส่อวี้เหวินจากทุกทิศทางราวกับคลื่นเพลิงสีแดงฉาน
พวกมันทยอยเลื้อยคืบคลานกันออกมาจากซอกหินและเงามืด พร้อมส่งเสียงขู่คำราม "ฟ่อๆๆ" ก้องกังวานไปทั่วโพรงถ้ำ งูแต่ละตัวมีลำตัวอวบอ้วนราวกับทารกแรกเกิด และมีความยาวเหยียดกว่าห้าวา ิัของมันเป็สีแดงเพลิงสดใสราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน และที่ปลายหางมีลักษณะคล้ายกับหางของแมงป่อง อันเป็ที่มาของชื่ออสรพิษร้ายนี้
อวี้เหวินััได้ถึงไอสังหารที่โถมกระหน่ำเข้ามา เขาพลันเบิกดวงตาขึ้น แวววาวดุจดวงดาวในยามรัตติกาล พร้อมกับปล่อยพลังปราณจากเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติแผ่ออกมารอบกายราวกับเกราะเพลิง เขาขยับร่างอย่างรวดเร็ว หลบหลีกการโจมตีของอสรพิษที่พุ่งเข้ามาจากด้านหน้า พร้อมกับเหวี่ยงหมัดขวาที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีชาด เข้าปะทะกับศีรษะของอสรพิษอีกตัวที่พยายามฉกกัด
"เพล้ง!" ศีรษะของอสรพิษตัวนั้นพลันะเิออกเป็เสี่ยงๆ เืและชิ้นเนื้อกระจัดกระจาย ราวกับดอกไม้ไฟสีแดงฉานที่บานสะพรั่งกลางอากาศ ตกลงสู่พื้นดินนอนแน่นิ่งไร้ซึ่งลมหายใจ
ในระหว่างนั้นเอง อสรพิษอีกสองตัวก็เลื้อยอ้อมไปทางด้านข้างและด้านหลังของอวี้เหวินอย่างรวดเร็ว หมายจะบดขยี้ร่างของเขาด้วยลำตัวอันแข็งแกร่งและรัดรึง อวี้เหวินััได้ถึงภัยที่คืบคลานเข้ามา เขาบิดตัวหลบการโจมตีจากด้านข้างได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเท้าซ้ายที่กระทืบลงบนพื้นดินอย่างหนักหน่วง ส่งร่างของเขาพุ่งทะยานขึ้นสู่อากาศ หลีกพ้นการโจมตีจากด้านหลังได้อย่างฉิวเฉียด
"ระวังหางของมัน!" เสียงกระซิบเตือนดังขึ้นข้างหูของอวี้เหวิน
ทันทีที่ได้ยินเสียงเตือน อวี้เหวินก็หมุนกายกลางอากาศ พร้อมกับปล่อยหมัดขวาที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งเตาอัสนีวิบัติ เข้าปะทะกับส่วนหางของอสรพิษที่กำลังเงื้อขึ้นหมายจะต่อยราวกับเข็มพิษ
"ตูมม!"
ทันใดนั้นเอง
ส่วนหางของอสรพิษพลันแหลกละเอียดเป็ผุยผง พลังทำลายล้างจากหมัดของอวี้เหวินมิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น มันยังคงทะลวงเข้าไปในร่างของอสรพิษอย่างรวดเร็ว ปรากฏรูขนาดใหญ่ที่ท้องของมัน เืสีแดงฉานไหลทะลักออกมาดั่งทำนบแตก จากนั้นร่างของอสรพิษก็ค่อยๆ บิดเบี้ยวและหลอมละลาย กลายเป็ของเหลวสีแดงฉานอย่างรวดเร็ว
นี่คืออานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดวิชาหมัดของอวี้เหวิน แม้ว่าอสรพิษหางแมงป่องจะมีร่างกายที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุได้เป็อย่างดี แต่ก็ไม่อาจทานทนต่อความรุนแรงของหมัดที่อวี้เหวินปลดปล่อยออกมาได้เลย
จากนั้น เหล่าอสรพิษที่เหลืออยู่ต่างก็โถมเข้าใส่อวี้เหวินด้วยความเกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำของพวกมันฉายแววเคียดแค้น หมายจะสังหารผู้บุกรุกให้ตายตกไปตามกัน เมื่อเห็นพวกพ้องของตนเองถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตา พวกมันจึงมิคิดที่จะถอยหนีแม้แต่น้อย กลับยิ่งระดมการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
"ฟ่อๆๆ!" คลื่นอสรพิษสีแดงเพลิงยังคงถาโถมเข้าใส่อวี้เหวินราวกับสายน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง จำนวนของพวกมันมิได้ลดน้อยลง กลับยิ่งทวีความหนาแน่นขึ้นจนแทบจะไม่มีช่องว่างให้หลบหลีก แม้อวี้เหวินจะปลิดชีพพวกมันไปแล้วนับร้อย แต่คลื่นอสรพิษก็ยังคงไหลบ่าเข้ามาดุจทะเลโลหิตที่บ้าคลั่ง จากสิบเป็ร้อย จากร้อยเป็พัน บัดนี้ทั่วทั้งโพรงถ้ำเบื้องหน้าอวี้เหวินเต็มไปด้วยร่างของอสรพิษหางแมงป่องที่เลื้อยพันกันยั้วเยี้ย หมายจะขย้ำร่างของเขาให้แหลกละเอียด
อวี้เหวินเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง หมัดขวาซัดออกไปพร้อมเปลวเพลิงสีชาดจากเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติ กระแทกเข้ากับศีรษะของอสรพิษจนะเิคามือ เืและเศษเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ เท้าซ้ายตวัดต่ำ เตะตัดลำตัวของอีกตัวจนกระดูกหักดังกร็อบ ร่างของมันบิดเบี้ยวด้วยความเ็ปก่อนจะแน่นิ่งไป ทั่วร่างของอวี้เหวินเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ทั้งของตนเองที่ถูกคมเขี้ยวและหางพิษเฉี่ยวไปมา และของอสรพิษร้ายที่ถูกสังหารในการต่อสู้อันดุเดือด
แม้จะสังหารพวกมันไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คลื่นอสรพิษหางแมงป่องก็เหมือนจะทะลักเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเวลาผ่านไป ร่างกายก็เริ่มอ่อนล้า เรี่ยวแรงถดถอย าแเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น แม้ว่าอวี้เหวินจะพยายามระวังพิษร้ายที่ปลายหางของพวกมันอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาลและความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกมัน ก็ยังคงโจมตีจนอวี้เหวินได้รับาเ็จนได้
เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนยามใกล้ค่ำ อาการต่างๆ ก็เริ่มประดังประเดเข้ามา บนใบหน้าหล่อเหลาของอวี้เหวินปรากฏร่องรอยแห่งความเหนื่อยอ่อนและเ็ปอย่างชัดเจน เหงื่อไหลซึมจนชุ่มเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น มีรอยฟกช้ำและรอยเขี้ยวจากการถูกกัดอยู่ทั่วร่างกาย เืไหลซึมจากาแเล็กใหญ่ สร้างความเ็ปรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์
และแม้อวี้เหวินจะคงไว้ซึ่งการไหลเวียนของพลังปราณจากเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและต้านทานความร้อน แต่ร่างกายของเขาก็เริ่มทานทนต่อสภาพแวดล้อมอันร้อนจัดแห่งนี้มิไหวแล้ว ความร้อนที่แผดเผาแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย ราวกับจะเผาผลาญเขาให้กลายเป็เถ้าถ่าน
ความเหนื่อยล้าจากสภาพแวดล้อมและการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง อาการเ็ปจากาแที่ได้รับ และจำนวนอสรพิษหางแมงป่องอันมหาศาลที่ดาหน้าเข้ามา ความกังวลจึงเริ่มกัดกร่อนจิตใจของอวี้เหวินอย่างรุนแรง ภายในใจเริ่มมีความรู้สึกหวาดหวั่นและสิ้นหวังเกิดขึ้น ถึงอย่างไรอวี้เหวินก็เป็เพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่โลกของผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น แม้เขาจะเคยผ่านการต่อสู้และสังหารสัตว์อสูรมาบ้าง
แต่นี่นับว่าเป็ครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม ความรู้สึกหวาดกลัวจึงเริ่มกัดกินจิตใจของเขาอย่างรวดเร็ว
'เหตุใดพวกงูมันถึงมากมายเพียงนี้ ในไม่ช้าข้าคงต้องสิ้นชีพเป็แน่ หรือว่าข้าควรจะถอยกลับไปตั้งหลักเสียก่อนดี?' ในห้วงความคิดของอวี้เหวินเต็มไปด้วยความสับสนและลังเล ขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงปลดปล่อยหมัดเพลิงออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความเหนื่อยล้า
'ไม่สิ ข้ายังมีเขาอยู่...' อวี้เหวินเกิดความลังเลขึ้นเพียงชั่วครู่ เมื่อนึกถึงผู้ช่วยที่อยู่เคียงข้างเขา แม้จะมองไม่เห็นตัวตน แต่เขาก็ััได้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย และความหวังอันริบหรี่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ก่อนที่จะมีภาพและความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงสำนึกของเขา ราวกับแสงสว่างที่ส่องนำทางในความมืดมิด
"เหวินเออร์... แม่เชื่อมั่นในตัวเ้า เ้าทำได้แน่นอน เ้าเป็คนที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ง่ายดาย เ้าฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยืนหยัดต่อสู้ทุกครั้ง แม้จะล้มลงสักกี่ครา ไม่ว่ามันจะยากเย็นเพียงใด เ้าก็อดทนทำจนสำเร็จ ไม่มีสิ่งใดที่เ้าต้องหวาดหวั่น จงก้าวออกไป คว้าชัยชนะมา แม่จะรอฟังข่าวดีจากเ้านะ"
ภาพสตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดา กำลังส่งยิ้มอบอุ่นมายังเขา พร้อมกับยกมือขึ้นเป็สัญลักษณ์ให้กำลังใจแก่อวี้เหวินในวัยเยาว์ ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ราวกับแสงสว่างแห่งความหวังที่ส่องนำทางในความมืดมิด
ในครั้งนั้นเป็่เวลาที่เขากำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ของหมู่บ้าน แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล เฉินซีเยว่ผู้เป็มารดา สังเกตเห็นความไม่สบายใจของบุตรชาย จึงได้กล่าวให้กำลังใจด้วยความรักใคร่
"ท่านแม่..." อวี้เหวินพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือ หยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้า เมื่อตั้งสติได้ ดวงตาที่เคยสั่นไหวก็กลับกลายเป็แน่วแน่มั่นคงดุจหินผา ความทรงจำอันงดงามนั้นได้ปลุกเร้าจิติญญานักสู้ในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
'หากมิได้ท่านแม่เตือนสติ ป่านนี้ข้าคงหลงลืมไปหมดแล้วว่าข้ากำลังกระทำสิ่งใดอยู่ น่าละอายยิ่งนัก เ้ากำลังทำอันใดอยู่ อวี้เหวิน? ไหนเ้าเคยให้สัญญาสัตย์ว่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อช่วยเหลือแม่ของเ้า แต่เ้ากลับหวังพึ่งพาผู้อื่น เช่นนี้มิใช่เป้าหมายของเ้าคงเป็เพียงถ้อยคำลมๆ แล้งๆ ไร้ค่าไปเท่านั้นหรือ?' เขาตวาดตนเองในใจด้วยความสำนึกผิด เืในกายสูบฉีดด้วยความมุ่งมั่นอีกครั้ง
แต่ในขณะที่เขากำลังรวบรวมสติ ตั้งใจจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง อสรพิษร้ายตัวหนึ่งก็สะบัดหางอันแข็งแกร่งดุจท่อนเหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอวี้เหวินอย่างรุนแรงราวกับค้อนทุบ อวี้เหวินที่กำลังจดจ่ออยู่กับความคิดของตนเอง มิได้ทันสังเกตถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา จึงมิอาจป้องกันตนเองได้ทันท่วงที
"ปัง!" ร่างของอวี้เหวินลอยละลิ่วขึ้นจากพื้น กระเด็นห่างจากจุดเดิมไปไกลถึงสามจั้ง ร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรงราวกับว่าวที่ถูกลมพายุพัดกระหน่ำ ร่างกายกลิ้งไปตามพื้นดินด้วยความบอบช้ำสาหัส โลหิตไหลซึมออกมาจากาแทั่วร่าง ขณะที่อวี้เหวินพยายามประคองตนเองลุกขึ้นนั่ง เขาก็รู้สึกราวกับมีบางสิ่งบางอย่างฉีกกระชากภายในช่องท้องอย่างรุนแรง
"พะอืด!" ของเหลวสีแดงฉานข้นคลั่กถูกอวี้เหวินสำรอกออกมาบนพื้นทรายเบื้องหน้า เป็สัญญาณแห่งความเสียหายภายในที่ยากจะเยียวยา เขาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า อาการเ็ปแผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับถูกเข็มนับพันทิ่มแทง ทั่วทั้งตัวของเขาในขณะนี้เต็มไปด้วยรอยแผลและรอยฟกช้ำระบมไปทั่วสรรพางค์ อวี้เหวินเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังจะทานทนมิไหว เรี่ยวแรงถดถอยจนแทบจะหมดสิ้น ความมืดมิดเริ่มปกคลุมดวงตา
แต่...ภายในจิตใจของเขายังคงสว่างไสวและมุ่งมั่น เขาฝืนลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก พร้อมกับใช้มือสั่นเทาปาดโลหิตที่ไหลอาบใบหน้าออกอย่างเชื่องช้า และแสยะยิ้มออกมาอย่างท้าทายดุจราชสีห์ที่าเ็ เขาสังเกตเห็นเหล่าอสรพิษร้ายนับร้อยนับพันกำลังเลื้อยคลานเข้ามาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อพวกมันเห็นว่าเหยื่อของมันยังไม่ตาย พวกมันจึงพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสุดกำลัง ราวกับฝูงปีศาจร้ายที่กระหายเื
อวี้เหวินในขณะนี้จิตใจแน่วแน่ ปราศจากความหวาดกลัวใดๆ อีกต่อไป ดวงตาของเขาแข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้า แม้ร่างกายจะอ่อนล้าจนแทบยืนไม่อยู่ แต่เขาก็กัดฟันแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก พุ่งทะยานเข้าหาเหล่าอสรพิษร้ายเ่าั้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าขีดจำกัด ราวกับลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากแล่ง พร้อมกับง้างหมัดขวา ปลดปล่อยพลังแห่งเตาอัสนีวิบัติที่สะสมไว้ทั้งหมดออกมาอย่างเต็มกำลังสุดชีวิต!
"เข้ามา!! ข้าจะใช้ซากพวกเ้าเป็สะพานเหยียบ ย่ำ สู่หนทางแห่งความแข็งแกร่ง!" อวี้เหวินคำรามก้องกังวาน เสียงกึกก้องสะท้อนไปทั่วโพรงถ้ำที่อบอวลไปด้วยไอความร้อนและกลิ่นคาวเื
ตูมม! บึ้ม! เสียงะเิดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่อง โลหิตสีแดงฉานและเศษเนื้อของอสรพิษร้ายกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณราวกับพายุโลหิต อวี้เหวินในสภาพที่สะบักสะบอมไปด้วยาแ ยังคงคลั่งคล่ำหมุนเวียนพลังปราณจากเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติ
ร่างกายของเขาเปล่งประกายสีแดงเพลิงจ้า ราวกับเทพแห่งเพลิงาที่ลงมาจุติ หมัดและเท้าของเขาเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าฟาด ฟาดฟันสังหารอสรพิษร้ายที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ยั้งมือ ในขณะที่เขาปลดปล่อยหมัดขวาออกไปอีกครั้ง พลังปราณภายในร่างก็พลันปั่นป่วนอย่างรุนแรง กระแสความร้อนที่เคยควบคุมได้เริ่มแผ่ซ่านออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะรวมตัวกันที่หมัดขวาของเขาอย่างฉับพลัน เปลวเพลิงสีชาดที่เคยลุกโชนธรรมดา บัดนี้กลับทวีความเข้มข้นและมีประกายสีทองเจือปนอยู่ ตึ้ง! พลังแห่งเคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารได้ทะลวงสู่ขั้นกลางแล้ว!
เหล่าอสรพิษที่เหลืออยู่ แม้จะหวาดกลัวต่อพลังที่เปลี่ยนแปลงไปของอวี้เหวิน แต่ด้วยสัญชาตญาณดิบเถื่อน พวกมันยังคงโถมเข้าใส่ด้วยความดุดันหมายจะปลิดชีพผู้บุกรุกให้ได้ เสียงขู่คำราม "ฟ่อๆๆ!" ดังระงมไปทั่วทั้งถ้ำ ทว่าทุกครั้งที่หมัดเพลิงสีทองของอวี้เหวินััร่างของพวกมัน ร่างกายของอสรพิษก็พลันแหลกสลาย กลายเป็เถ้าธุลีในพริบตา ราวกับถูกเผาไหม้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์ พลังทำลายล้างที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้การต่อสู้ที่เคยยากลำบาก กลับกลายเป็เื่ง่ายดาย อสรพิษร้ายร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน
ขณะที่อวี้เหวินปลดปล่อยพลังที่เพิ่งได้รับมาใหม่ เขาก็ยิ่งฮึกเหิมและมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองให้ได้ ไม่ว่าร่างกายจะาเ็เพียงใด เขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้ มีเพียงจิติญญาที่ไม่ย่อท้อ และความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเอาชนะเท่านั้นที่ขับเคลื่อนเขาไปข้างหน้า เขาคำรามก้องในลำคอ กัดฟันแน่น และปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีออกมาอย่างไม่ยั้ง
การกระทำของอวี้เหวินในยามนี้ ช่างเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญถึงขีดสุด เขาเผชิญหน้ากับความตายโดยไม่หวั่นเกรง แม้ร่างกายจะใกล้ถึงขีดจำกัด แต่จิตใจของเขากลับลุกโชนด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ เขาไม่คิดที่จะหลบหนี ไม่คิดที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ใด มีเพียงเป้าหมายเดียวที่สลักลึกลงอยู่ในหัวใจ นั่นคือการทำลายศัตรูเบื้องหน้า และก้าวไปสู่จุดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
จากสภาพแวดล้อมที่เคยเต็มไปด้วยคลื่นอสรพิษหางแมงป่อง บัดนี้เมื่อพวกมันถูกอวี้เหวินสังหารไปจนเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงซากศพและร่องรอยแห่งการต่อสู้อันดุเดือด เขาจึงเริ่มมองเห็นเบื้องหน้าของตนเองอย่างชัดเจน ปรากฏพืชประหลาดตรงหน้า
พืชเ่าั้มีลักษณะประหลาด ลำต้นทรงกระบอกสีแดงก่ำ ปกคลุมด้วยหนามแหลมคมราวเข็มเงิน และที่ส่วนปลายของลำต้นนั้น มีส่วนที่ยื่นออกมาเป็สองแฉก คล้ายคลึงกับลิ้นของอสรพิษร้าย จึงเป็ที่มาของนาม 'กระบองเพชรลิ้นอสรพิษ'
อวี้เหวินพยายามลากสังขารอันบอบช้ำจนแทบมิอาจทนทานของตนเอง มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ปรากฏกระบองเพชรลิ้นอสรพิษอย่างยากลำบาก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความเ็ปและอ่อนล้า เมื่อไปถึงเป้าหมาย เขาก็เปิดริมฝีปากที่แห้งผาก เอ่ยคำออกมาด้วยน้ำเสียงแ่เบา
"ในที่สุด..." เสียงแหบแห้งของเด็กหนุ่มพึมพำออกมา ราวกับเสียงกระซิบจากห้วงเหวลึก
ก่อนที่ภาพตรงหน้าของเขาจะเริ่มเลือนราง สติสัมปชัญญะค่อยๆ ดับวูบลงสู่ความมืดมิด
ฟุบ! อวี้เหวินสลบลงกลางอากาศ ร่างกายร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างหมดสภาพด้วยอาการาเ็สาหัสและความเหนื่อยล้าเกินทน ทว่าก่อนที่ร่างของเขาจะััพื้นดิน พลันปรากฏกระแสพลังปราณสายหนึ่งโอบอุ้มร่างของเขาไว้ สภาพของอวี้เหวินในยามนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เต็มไปด้วยาแฉกรรจ์ เสื้อผ้าฉีกขาดเป็ริ้วรอย คราบโลหิตแห้งกรังเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งร่าง ดูมิได้แตกต่างจากศพที่ไร้ลมหายใจ
"ฮ่าๆ เ้าหนู นับว่าเ้ามีคุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในตัวนะนี่ มิเสียแรงที่ข้าทุ่มเทสั่งสอน" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นในห้วงอากาศ พร้อมกับการปรากฏกายของชายร่างเล็กผู้หนึ่งกลางเวหา ราวกับเทพเซียนจุติ
แท้จริงแล้ว ซ่งเหยียนเฟยได้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่เื้ั และเขาได้เตรียมพร้อมที่จะออกไปช่วยเหลืออวี้เหวินั้แ่สถานการณ์เริ่มเข้าขั้นวิกฤต เพราะคิดว่าอย่างไรเสียอวี้เหวินก็เป็เพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกแห่งการฝึกยุทธ์เท่านั้นเอง แต่เขาคาดมิถึงว่ามิเพียงแต่เด็กหนุ่มผู้นี้จะไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขา แม้แต่แววตาแห่งความหวาดกลัวก็มิได้ปรากฏให้เห็น กลับแสดงออกถึงความกล้าหาญบ้าบิ่น ไม่หวาดหวั่นต่อความตาย มุ่งมั่นที่จะจัดการศัตรูด้วยตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว
จนแม้แต่ตัวเขาเอง ผู้ซึ่งยากจะเอ่ยคำชื่นชมผู้อื่น กลับอดมิได้ที่จะต้องกล่าวชมอวี้เหวินออกมาจากใจจริง ด้วยความประทับใจในความเด็ดเดี่ยวและจิตใจที่แข็งแกร่งเกินวัยของเด็กหนุ่มผู้นี้
ซ่งเหยียนเฟยทอดสายตามองไปยังต้นกระบองเพชรลิ้นอสรพิษเบื้องหน้า ก่อนจะยกมือขึ้น รวบรวมพลังปราณดึงเอามันขึ้นมาจำนวนหนึ่งจากพื้นดินอย่างนุ่มนวล จากนั้นจึงบรรจงรูดเอาน้ำค้างที่เกาะกุมอยู่บนกลีบของมันออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะส่งไปยังร่างที่ไร้สติของอวี้เหวิน
หยาดน้ำค้างจากกระบองเพชรลิ้นอสรพิษค่อยๆ ซึมซาบปกคลุมไปทั่วร่างที่บอบช้ำของอวี้เหวิน ราวกับน้ำทิพย์ชโลมลงบนาแ มันกำลังขับไล่ไอความร้อนที่แผดเผาอยู่ภายในิัของเขา ก่อนจะค่อยๆ แทรกซึมลึกลงไปภายใน ซ่า~ เสียงซ่าเบาๆ ดังออกมาจากร่างของอวี้เหวิน เมื่อความเย็นจากน้ำค้างปะทะกับความร้อนระอุภายใน นับว่าน้ำค้างของมันมีสรรพคุณล้ำเลิศ มิเพียงแต่ช่วยปรับสมดุลอุณหภูมิของร่างกายเท่านั้น หากแต่ยังช่วยสมานาแต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ บริเวณรอยแผลและรอยฟกช้ำบนร่างของเด็กหนุ่มเริ่มได้รับการฟื้นฟูอย่างช้าๆ แต่ทว่ามั่นคง
"กระบองเพชรลิ้นอสรพิษมิได้มีดีเพียงน้ำค้างของมันเท่านั้น" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่เขาจะใช้พลังบดขยี้ลำต้นของกระบองเพชรลิ้นอสรพิษให้กลายเป็ผุยผงละเอียด จากนั้นจึงรวบรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ก่อนจะส่งเข้าไปในปากของอวี้เหวินในทันที
เมื่อมองไปยังอวี้เหวินในยามนี้ าแต่างๆ บนร่างกายของเขาเริ่มฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด สีหน้าของเขาดูสงบขึ้นมากจากทีแรก ซ่งเหยียนเฟยเห็นดังนั้นจึงละสายตากลับมา เขากวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆ ถ้ำแห่งนี้ด้วยความสนใจใคร่รู้ ถ้ำของพยัคฆ์หางแมงป่องแห่งนี้ เมื่อตนเองได้เข้ามาอยู่ภายใน กลับให้ความรู้สึกราวกับเป็อีกโลกหนึ่งที่ถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอก ดูแปลกประหลาดและลึกลับยิ่งนักสำหรับสถานที่แห่งนี้
"ถ้ำแห่งนี้..." เขาเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับยกยิ้มบางๆ "ข้าคงกังวลมากเกินไปกระมัง"
แต่ก่อนที่เขาจะได้กระทำการใดต่อไป ทันใดนั้น ซ่งเหยียนเฟยพลันเบิกตากว้าง เพ่งสายตาไปยังจุดหนึ่งด้านหลังเนินหินขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากเขาไปประมาณสองร้อยจั้ง ก่อนที่จะปรากฏรูปร่างเงาทะมึนดำสนิทตัวหนึ่ง ค่อยๆ เผยตนเองออกมาให้ประจักษ์แก่สายตาของซ่งเหยียนเฟยอย่างช้าๆ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้