เมื่อเปิดประตูออกมา ลมหนาวก็พัดโชยเข้ามาปะทะหน้าทำเอาซย่านีหนาวจนตัวสั่น
ซ่งหานเจียงเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาจูงรถจักรยานของตนออกมาอย่างรีบร้อนจึงไม่ได้สวมผ้าพันคอหรือถุงมือแต่อย่างใด ซย่านีร้องเรียกเพื่อหยุดเขาเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน” จากนั้นเธอก็รีบกลับเข้าไปในบ้านเธอหยิบผ้าพันคอกับถุงมือออกมาให้เขา
เธอยื่นถุงมือให้ซ่งหานเจียงเพื่อให้เขาสวมมันด้วยตนเอง จากนั้นเธอก็คล้องผ้าพันคอลงบนคอของเขาแล้วพันทบสองรอบ “คุณโตขนาดนี้แล้ว ออกจากบ้านมายังไม่รู้จักทำให้ร่างกายอบอุ่นอีก หากเป็หวัดขึ้นมาคุณจะไปเข้าเรียน และทำการทดลองได้อย่างไร!”
ซ่งหานเจียงยิ้มอย่างเหนียมอาย “ผมลืมไปน่ะ...อ่อ ใช่แล้ว คุณต้องตั้งใจฝึกการคูณเลขต่อไปนะ นี่เป็เนื้อหาระดับป.2 คุณได้เอากระดาษการบ้านที่เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ติดตัวมาด้วยไหม? คุณเอาใบงานของเธอมาลองทำดูก็ได้นะ”
ตาคนนี้นี่นะ จะไปอยู่แล้วยังไม่ลืมกำชับให้ซย่านีเล่าเรียนอีก
ซย่านีเหลือบมองเขาแว็บหนึ่ง จากนั้นมือของเธอก็แข็งค้าง ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองนั้นใกล้กันมากจนเธอมองเห็นรูขุมขนบนใบหน้าของเขา แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังััได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มตรงหน้า
ซย่านีรีบปล่อยมือราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อตแล้วถอยตัวออกมาจากซ่งหานเจียงทันที หลังจากยืนนิ่งอยู่สักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถหยุดหัวใจที่เต้นรัวของหญิงสาวได้ จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจของเธออย่างคาดไม่ถึง ‘ทำไมซ่งหานเจียงถึงผิวดีขนาดนี้กันนะ?’
“อะแฮ่ม” ซย่านีกระแอมไอแล้วมองไปทางอื่น “เอาปิดหูไว้ด้วย”
ซ่งหานเจียงเชื่อฟังมาก เขาดึงผ้าพันคอขึ้นมาแล้วพันรอบใบหน้าเหลือไว้เพียงจมูกโด่งๆ กับดวงตาคู่หนึ่ง
“งั้นผมไปแล้วนะ” เสียงของเขาฟังดูอู้อี้มาก
“ค่อยๆ เดินทางล่ะ...เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ยังไม่ได้บอกลูกๆ เลย” ซย่านีหันหน้าไปะโเรียกลูกของตน “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์! หยางหยาง! พ่อของพวกลูกจะไปแล้ว รีบออกมาเร็ว!”
เพิ่งจะกล่าวจบซ่งวั่งซูก็วิ่งถลันออกมาแล้ว ส่วนซ่งตงซวี่ก็ตามหลังมาติดๆ
ซ่งวั่งซูวิ่งตรงมายืนตรงหน้าของซ่งหานเจียง “พ่อคะ พ่อจะไปไหน?”
ซ่งหานเจียงลูบหัวของซ่งวั่งซูแล้วกล่าวว่า “พ่อจะกลับบ้านย่า”
“ทำไมพ่อต้องกลับบ้านย่าด้วย? แม่บอกว่าพวกเราย้ายบ้านกันแล้ว วันนี้จะนอนที่บ้านใหม่ไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว”
ซ่งหานเจียงตอบ “ใช่แล้ว พวกลูกกับแม่นอนที่บ้านใหม่กันแต่พ่อต้องกลับบ้านย่าน่ะ”
“ทำไมกันคะ?”
ซ่งหานเจียงเป็คนโกหกไม่เก่ง เขามองไปทางซย่านี หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ โดยที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกต จากนั้นก็หันความสนใจไปที่ซ่งวั่งซู เขาไม่สามารถหาเหตุผลมาตอบได้จริงๆ จึงกล่าวเพียงว่า “พ่อมีเื่ต้องไปจัดการหน่อย”
“เื่อะไรคะ?” ซ่งวั่งซูหน้ามุ่ย เธอจับแขนเสื้อของซ่งหานเจียงแล้วเขย่าไปมา “พ่อคะ พ่อไม่กลับไปบ้านย่าได้ไหม ถ้าพ่อไปแล้วพรุ่งนี้เช้าใครจะไปส่งหนูกับหยางหยางไปโรงเรียนล่ะคะ?”
ตามปกติแล้ว ทุกวันจันทร์ซ่งหานเจียงจะรับหน้าที่ไปส่งเด็กทั้งสองคนที่โรงเรียน
ซ่งหานเจียงไม่อยากผิดนัด เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวว่า “งั้นพรุ่งนี้พ่อจะตื่นแต่เช้าแล้วมารับพวกลูกไปโรงเรียน ดีไหม?”
ซ่งวั่งซูร้องตอบอย่างตื่นเต้นดีใจ “ดีค่ะ!”
ซย่านีขมวดคิ้ว “ดีอะไรกัน!” เธอพูดต่อ “ตอนนี้บ้านของพวกเราอยู่ห่างจากโรงเรียนของลูกเพียงนิดเดียว พวกลูกแค่เดินทางสิบนาทีก็ถึงแล้ว เดินไปโรงเรียนกันเองยังได้เลย ไม่จำเป็ต้องไปรบกวนพ่อให้ออกจากบ้านย่าแต่เช้าตรู่หรอก อีกอย่างนะ บ้านของพวกเรากับบ้านย่าอยู่คนละทิศละทางเลยและโรงเรียนของลูกๆ ก็อยู่ตรงกลาง ถ้าให้พ่อมาหาคงไม่สะดวก....”
ซ่งวั่งซูคอตก ท่าทางดูห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
ซ่งหานเจียงรู้สึกสงสารลูกสาว เขายิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็ไร ไม่ไกลหรอก ผมแค่ตื่นเช้าหน่อยก็เท่านั้นเอง”
ซย่านียังอยากจะพูดอะไรอยู่แต่เธอถูกซ่งหานเจียงตัดบทเสียก่อน “เอาแบบนี้แล้วกันนะ...เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ ไปเปิดประตูให้พ่อที”
“ได้ค่ะ!” ซ่งวั่งซูวิ่งะโโลดเต้นไปเปิดประตูให้ผู้เป็บิดา
ซ่งหานเจียงจูงรถจักรยานออกไปนอกประตู เขาหันหน้ากลับไปหาซย่านีและลูกๆ พร้อมกล่าวว่า “ข้างนอกอากาศหนาว รีบกลับเข้าไปข้างในเถอะนะ”
ซ่งวั่งซูโบกมือให้พ่อของตนพลางกล่าวว่า “บ๊ายบายค่ะพ่อ!”
ซ่งตงซวี่เองก็กล่าวเช่นกันว่า “บายฮะพ่อ!”
ซ่งหานเจียงโบกมือ “ลาก่อน” แล้วเขาก็ขี่รถจักรยานมุ่งหน้าไปตามดวงจันทร์ ไม่นานสามคนแม่ลูกก็มองไม่เห็นเงาหลังของเขาแล้ว เสียงกริ่งรถดังอยู่ไม่ไกลนัก นั่นเป็การบ่งบอกแก่ซย่านีว่าเขายังจากไปได้ไม่ไกลมาก พอรออยู่อีกสักพักเธอก็ไม่ได้ยินเสียงกริ่งรถคันนั้นอีกแล้ว
“เอาล่ะ พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ” ซย่านีดันหลังเด็กทั้งสองคนให้เดินเข้าบ้าน
ซ่งตงซวี่เดินวนรอบซย่านีแล้วมาดึงซ่งวั่งซู “ไปๆๆ พวกเรากลับไปเล่นหมากรุกกันเถอะ” เด็กชายคนนี้ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อพ่อของตนเลยสักนิด
แต่เป็ซ่งวั่งซูที่สะบัดซ่งตงซวี่ออกไปแล้วเงยหน้ามองซย่านี “ทำไมพ่อต้องกลับบ้านย่าด้วยคะ? พ่อมีเื่อะไรหรือ? เป็เพราะพวกเราย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นเหรอคะ ย่าก็เลยไม่พอใจใช่ไหมคะ? พ่อกลับไปแล้วจะโดนด่าไหมคะแม่?”
“ลูกยังเด็กอยู่เลยแต่ช่างเป็คนที่เอาใจใส่คนอื่นไม่น้อยจริงๆ” ซย่านีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมา ทำไมลูกสาวคนนี้ถึงติดพ่อขนาดนั้นกันนะ?
“แม่!” ซ่งวั่งซูเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของซย่านีที่วางอยู่บนศีรษะของเธอ จากนั้นก็เกาะแขนเสื้อมารดาไว้แล้วกล่าวว่า “แม่รีบบอกหนูมาเร็ว!”
ซย่านีเลิกคิ้ว “ลูกวางใจเถอะ ลูกเคยเห็นปู่กับย่าด่าพ่อของลูกตอนไหนบ้าง?”
ซ่งวั่งซูนึกดูชั่วครู่เหมือนว่าจะไม่มีอย่างที่มารดาว่าไว้จริงๆ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ”แล้วทำไมปู่กับย่าถึงไม่ดุพ่อแต่กลับดุแม่กับพวกเราล่ะคะ?”
อันที่จริงเธอรู้คำตอบอยู่แล้วเป็เพราะย่าดูแคลนแม่ของเธอ คิดว่าแม่มาจากชนบทและไม่คู่ควรกับพ่อ เื่นี้ทำให้ย่าพลอยไม่ชอบเธอและน้องชายของเธอไปด้วย
แต่ซย่านีกลับบอกเธอว่า “เพราะย่าของพวกลูกมีอคติกับพวกเรา”
นี่เป็โอกาสอันดีที่จะสั่งสอนพวกเด็กๆ หลังจากซย่านีพาลูกเข้าบ้าน จากนั้น เธอก็นั่งเผชิญหน้ากับซ่งวั่งซูและคุยกับเด็กสาวอย่างจริงจังเกี่ยวกับหัวข้อ ‘อคติ’ ที่ว่าเธอกล่าวกับลูกสาวว่า “ลูกรัก ข้าวที่ลูกกินเมื่อตอนกลางวันกับหมั่วโถวที่กินเมื่อตอนเย็น ใครเป็คนปลูก?”
ซ่งวั่งซูตอบ “ชาวนาค่ะ”
ซย่านีถามต่อ “ใช่แล้วเป็ชาวนา ดังนั้นหากไม่มีเกษตรกรทำนา คนในเมืองจะต้องอดอยาก แม่พูดถูกไหม?”
ซ่งวั่งซูพยักหน้า
ซย่านีกล่าวกับลูกสาว “สิ่งที่เกษตรกรเพาะปลูกได้หล่อเลี้ยงประชาชนในประเทศจีน กล่าวได้ว่าหากไม่มีเกษตรกรคอยทำงานหนักแล้ว คนทั้งประเทศจีนก็คงต้องหิวโหยกันหมด ดังนั้นการที่ย่าดูถูกแม่ที่เป็คนจากชนบทนั่นจึงเป็สิ่งที่ผิด การกระทำเช่นนี้ถือเป็อคติต่อกลุ่มเกษตรกรทั้งหลาย”
ซย่านีกล่าวต่อ “อีกอย่าง เื่ที่ย่าดูถูกแม่และคิดว่าแม่ไร้การศึกษา ก่อนหน้านี้แม่ก็เคยอธิบายให้ลูกฟังแล้วใช่ไหม นั่นเป็เพราะแม่เป็ลูกคนโตต้องช่วยครอบครัวเลี้ยงดูน้องชายและน้องสาวจึงไม่มีโอกาสได้ไปเรียนหนังสือเหมือนคนอื่นเขา แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้วทุกๆ วันแม่ล้วนมุ่งศึกษาหาความรู้ ลูกเองก็รู้ใช่ไหม?”
ซ่งวั่งซูพยักหน้า จากนั้นก็ถามซย่านีว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราบอกย่าว่าตอนนี้แม่รู้หนังสือแล้วแถมยังหาเงินได้เยอะมากๆ อีกด้วย ต่อไปย่าก็คงจะไม่ดุด่าพวกเราแล้วใช่ไหมคะ?”
“ถ้าลูกบอกย่าของลูก พวกเราจะหาเงินได้ไหมเล่า?” ซย่านีเลิกคิ้วแล้วกล่าวต่อ “ลูกไม่กลัวว่าย่าจะขโมยเงินของพวกเรางั้นหรือ?”
ซ่งวั่งซูส่ายหน้ารัว “ไม่ๆๆ ช่างมันเถอะค่ะ” ตอนนี้เธอคิดว่าสิ่งที่แม่พูดมานั้น มีความเป็ไปได้สูงมาก!
