กลิ่นของไม้กฤษณาทำให้เย่เช่อรู้สึกกระสับกระส่าย
สถานที่แห่งนี้ตกแต่งหรูหรากว่าจวนเสนาบดีมาก มองแวบเดียวเขาก็เห็นเครื่องประดับหยกถูกจัดวางไว้ทั่วห้อง บางทีหากอยู่ในสถานที่หรูหราเช่นนี้นานๆ ผู้คนอาจหลงลืมรากเหง้าของตนเองก็เป็ได้
เขามองไปยังความโอ่อ่าหรูหราตรงหน้าด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า อารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
เขารู้สึกว่ามีหมอกหนาสีขาวปกคลุมระหว่างตัวเขาและทุกคนในตระกูล
แม้ว่าหญิงงามตรงหน้าจะอยู่ในวัยสี่สิบแล้ว แต่นางก็ดูแลตัวเองเป็อย่างดี นางจึงดูเหมือนคนอายุเพียงสามสิบต้นๆ มีเพียงเส้นบางๆ ที่หางตาเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความผันแปรของกาลเวลา
เย่เช่อรู้ว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรกับมารดาได้มากกว่านี้
มารดาและบุตรชายต่างนิ่งเงียบเป็เวลานาน
จนกระทั่งผู้เป็มารดาได้ทำลายความเงียบด้วยการกล่าวเบาๆ ว่า “เช่อเอ๋อ อย่าโทษเสด็จพ่อของเ้าเลย”
เย่เช่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขาย่อมโทษบิดาอยู่แล้ว ตอนนั้นเหตุผลที่เขาออกจากจวนเสนาบดีและไปอยู่กับท่านตาที่ชายแดนไม่ใช่แค่เพราะความรักของท่านตาที่มีต่อมารดาของเขาเท่านั้น เหตุผลสำคัญที่สุดคือความลับในจวนเสนาบดี
หลังจากที่อนุของบิดาให้กำเนิดบุตรชาย นางก็ยิ่งได้รับความโปรดปรานมากขึ้น ตอนนั้นความโปรดปรานที่นางได้รับแทบจะมากกว่ามารดาของเขาด้วยซ้ำ ทุกคนหันไปห้อมล้อมและให้ความสนใจแต่อนุของบิดาเขา คุณชายใหญ่อย่างเขาจึงถูกหลงลืมไป ข้ารับใช้ในจวนเอาแต่ซุบซิบนินทาว่าไม่นานท่านแม่ของเขาก็จะถูกกำจัด
ดังนั้น เมื่อเขาได้ยินบ่าวสองคนคุยกันว่าจะมีการแต่งตั้งฮูหยินใหญ่ของจวนใหม่ เขาจึงออกเดินทางไปยังจวนท่านตาด้วยความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อทุกคนในจวนเสนาบดี
เมื่อเขายังเด็ก เขาขอให้คนสนิทของท่านตานำข่าวไปบอกบิดาว่าถ้ามารดาไม่ได้อยู่ในจวนเสนาบดีในฐานะฮูหยินใหญ่ เขาจะไม่กลับไปเหยียบจวนเสนาบดีอีก
ท่านตาชื่นชมความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเขาเป็อย่างมากแถมยังเห็นด้วยกับการกระทำของหลานชายเพียงคนเดียว แน่นอนว่าข่าวนี้ถูกส่งไปจวนเสนาบดีในเวลาชั่วข้ามคืน
ปีนั้นเขามีอายุเพียงหกขวบ
การเดินทางครั้งนี้ยาวนานถึงสิบห้าปี
ั้แ่นั้นมาบุตรชายคนโตของเสนาบดีเย่ก็กลายเป็บุคคลในตำนานของอวิ๋นเมิ่ง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างต่อสู้กันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ล้วนมีส่วนในการสนับสนุนความรุ่งเรืองของราชวงศ์ เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นสะสางกิจการภายในและเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ดูแลความสงบภายในแคว้นและปกป้องชายแดนจากผู้รุกราน จากรุ่นสู่รุ่นมีขุนนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊
ขุนนางฝ่ายบุ๋นแสร้งทำเป็เข้าอกเข้าใจปัญหาของราษฎร เก่งเื่เสแสร้ง ฆ่าคนได้โดยมือไม่เปื้อนเื ต่างกับขุนนางฝ่ายบู๊ที่ส่วนใหญ่จะตรงไปตรงมา กล้าหาญ และไม่มีความยับยั้งชั่งใจ พวกเขาเกลียดพิธีรีตองที่เต็มไปด้วยความเสแสร้งของขุนนางฝ่ายบุ๋นมากที่สุด ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋นก็มองว่าขุนนางฝ่ายบู๊มีนิสัยหยาบคายและไร้มารยาท
บุตรชายคนโตของเสนาบดีเย่ใฝ่ฝันที่จะเป็ขุนนางฝ่ายบู๊ตามรอยท่านตา ดังนั้นเย่เช่อจึงตกเป็เป้าวิจารณ์ของขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ตลอดเวลา
หัวข้อการวิจารณ์ย่อมหนีไม่พ้นเื่ที่ว่า หากเขามีสติปัญญาจริงเหตุใดเขาถึงเลือกที่จะเป็ทหาร? นอกจากนี้แม่ทัพเจิ้นหนานซึ่งเป็แม่ทัพใหญ่ยังสนับสนุนให้เขาสร้างชื่อด้วยตำแหน่งทางการทหาร ชายชรามักชื่นชมความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของหลานชายคนนี้อย่างออกนอกหน้า
แม้ในปีที่จัดพิธีาาภิเษก บิดาของเขาส่งคนมาแจ้งข่าวที่ชายแดนให้เขากลับไปร่วมเฉลิมฉลอง เขาก็ยังไม่มีความคิดที่จะกลับไปเลย
เขากลายเป็แม่ทัพอายุน้อยและประจำการอยู่ชายแดน สถานะอันโดดเด่นของเขาไม่ได้มาจากชื่อเสียงของบิดาและท่านตาเท่านั้น แต่ยังมาจากประวัติการรบอันยิ่งใหญ่จนแม้แต่บิดาของเขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อตัวตนของเขาได้
ตอนนั้นเย่เช่อปฏิเสธที่จะกลับไปยังเมืองอวิ๋นเมิ่งโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย
เขาไม่คาดคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือน บิดาของเขาจะส่งคนมารบเร้าให้เขากลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่งอีกครั้ง
แน่นอนว่าเขาย่อมปฏิเสธ
แต่การปฏิเสธของเขาครั้งนี้กลับดูเหมือนจะไปกระตุ้นความอำมหิตของบิดาให้ตื่นขึ้นมา
บิดาของเขาออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าหากพาตัวเขากลับไปไม่ได้ก็ต้องพาศพของเขากลับไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เขากลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่ง
การลอบสังหารเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขารู้สึกสงสารผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องเสียสละชีวิตของตน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบตกลงไปก่อนเพื่อถ่วงเวลา
เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อมาถึงหยงโจว เขาจะหาโอกาสกำจัดมือสังหารทั้งหมดแล้วค่อยเดินทางกลับชายแดน
อย่างไรก็ตามในหยงโจวเขากลับถูกไล่ล่าโดยน้องชายร่วมบิดาที่เกิดจากอนุผู้นั้น
ระหว่างนั้นเขาก็ค้นพบเื่ประหลาด ซึ่งเป็เื่ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
ในขณะเดียวกันท่านตาก็กำชับให้เขาระวังบิดาของตนเองไว้
อันที่จริงท่านตาดูจะไม่ชอบบิดาของเขาั้แ่แรกแล้ว
ในวันนั้นเขาสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชาไปสามคน ส่วนตัวเขาหนีเข้าไปหลบในศาลาฉีอวิ๋น เมื่อเขาใกล้จะหมดหวังก็ได้พบกับปี้เหยียน
เมื่อนึกถึงนาง มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
บุตรสาวคนเล็กของแม่ทัพเจิ้นหนานที่เป็ฮูหยินเอกของเสนาบดีและต่อมาได้กลายเป็ฮองเฮามารดาของแผ่นดิน มองรอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าของบุตรชายแล้วกล่าวว่า “เช่อเอ๋อ เ้าพบสตรีที่พึงใจแล้วหรือ?”
เย่เช่อพยักหน้า รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น “มีเพียงเสด็จแม่เท่านั้นที่รู้ใจลูก”
ฮองเฮารินชาให้เขาและกล่าวว่า “เช่อเอ๋อ แม่ไม่คิดว่าสถานการณ์จะเลยเถิดไปถึงขนาดนี้ โชคดีที่เ้ากลับมา”
ฮองเฮาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าเหตุใดบุตรชายคนเดียวของนางจึงต้องไปอยู่กับท่านตาที่ชายแดน เพราะเขากังวลว่านางจะมีชีวิตที่ไม่น่าพอใจในจวนเสนาบดี นางยังจำได้ว่าในปีนั้นอนุที่เสนาบดีเย่โปรดปรานให้กำเนิดบุตรชาย สถานะของนางในจวนจึงตกต่ำลง ในเวลานั้นนางสนับสนุนให้เขาไปอยู่ที่จวนของท่านตาก็เพราะความคับแค้นใจของนางเอง นางไม่้าให้บุตรชายคนเดียวต้องทนทุกข์ไปกับนาง
ไม่คิดว่าเวลาจะล่วงเลยไปถึงสิบห้าปีแล้ว หน้าตาของเ้าเด็กคนนี้ เปลี่ยนแปลงจากตอนที่เขายังเป็เด็กเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อนึกถึงเื่นี้สายตาของนางก็มีความอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
นางเสริมว่า “เมื่อไหร่เ้าจะพานางมาพบแม่?”
เย่เช่อเพียงยิ้มและไม่กล่าวอะไร เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ลูกได้ยินมาว่าเสด็จแม่ให้กำเนิดน้องสาว ตอนนี้นางอยู่ที่ใด?”
ฮองเฮายิ้มและกล่าวว่า “แม่ส่งคนไปรับนางแล้ว ใครจะรู้ว่าเ้าจะมาตอนนี้”
เย่เช่อหัวเราะ “เสด็จแม่พูดถูก นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเอาเสียเลย”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงที่ฟังดูนุ่มนวล “พี่ใหญ่มาแล้ว! ข้ายังนอนไม่เต็มอิ่มเลย”
เขาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในสภาพงัวเงีย
เด็กหญิงหน้าตาน่ารักสวมชุดกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเล ส่วนเส้นผมสีดำขลับของนางถูกรวบด้วยผ้าไหม นางดูสดใสและน่าเอ็นดูอย่างสุดจะพรรณนา
เด็กหญิงกล่าวทักทายมารดาของนางด้วยเสียงแ่เบาก่อนจะกล่าวกับเย่เช่อว่า “พี่ใหญ่ ข้าชื่อเย่หลิง ข้าเกิดในปีที่สามของรัชศกเฉิงกวง”
หลังจากที่ได้ยินดังนั้นเย่เช่อก็กล่าวว่า “หลิงเอ๋ออายุสิบสองปีแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่พี่ชายได้พบเ้า แต่กลับไม่มีของขวัญจะให้” หลังจากพูดจบเขาก็เริ่มค้นไปตามร่างกายของตัวเองก่อนจะหยิบถุงหอมออกมามอบให้เย่หลิง
เย่หลิงรับมาอย่างมีความสุข “ขอบคุณพี่ใหญ่”
มารดาและบุตรชายมีเื่ให้ต้องพูดคุยกันมากมาย และเย่หลิงก็หาวครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเห็นเช่นนี้ฮองเฮาจึงเรียกคนมาพานางกลับไปพักผ่อน
ในห้องโถงจึงเหลือเพียงมารดาและบุตรชายอีกครั้ง