สีหน้าเซี่ยโม่ยามนี้คล้ายหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เธอกำลังทะเลาะกับเซี่ยอวิ๋นอยู่นะ
“ทุกคนสามารถไปขอให้แพทย์แผนโบราณช่วยสอนเื่สมุนไพรให้ได้ หรือไม่ก็หาหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรมาอ่านเองก็ได้ แต่ว่ารอบนอกูเาไม่มีสมุนไพรราคาแพง หากอยากได้สมุนไพรราคาแพงก็ต้องเข้าไปในป่าลึก ซึ่งในป่าลึกมันอันตรายแค่ไหนทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้ว” เธออธิบายอย่างอดทน
พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ล้มเลิกความคิด ใครจะกล้าเข้าไปในป่าลึกกัน ได้ยินว่าเต็มไปด้วยงูมีพิษและสัตว์ดุร้ายมากมาย มีชีวิตเข้าไปไม่แน่ว่าจะได้มีชีวิตกลับออกมา
“โม่โม่ เธอใจกล้าจัง!”
ใครบางคนซักไซ้เพิ่ม “โม่โม่ เธอเข้าไปคนเดียวเหรอ หรือมีคนเข้าไปเป็เพื่อน”
เธอยิ้มอย่างจนปัญญา “เป็เพราะที่บ้านฉันฐานะยากจน ฉันเลยต้องลองเสี่ยงดู แต่ทุกคนอย่าเลียนแบบฉันเป็อันขาด หรือหากเป็อะไรขึ้นมาก็ห้ามมาหาฉัน”
คนที่ถามนึกว่ามีคนพาเซี่ยโม่เข้าไปในป่าเลยอยากจะขอตามไปด้วย แต่พอได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนี้ก็ล้มเลิกความคิด
เซี่ยโม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนสายตาจะหันไปเห็นว่าเซี่ยอวิ๋นที่พูดจาหาเื่กันก่อนนี้ กำลังอาศัย่ที่เธอคุยกับคนอื่นแอบเดินหนีไป
เธอเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจ นับว่าอีกฝ่ายยังมีสมองอยู่บ้าง!
ขณะที่เธอกำลังจะขี่จักรยานพาน้องชายออกจากโรงเรียน จู่ๆ เซี่ยวฉางเซิงก็โผล่เข้ามาขวาง
“ที่แท้เธอก็ลำบากถึงขนาดนี้ เซี่ยอวิ๋นกับแม่นี่หน้าไม่อายจริงๆ” เซี่ยวฉางเซิงจูงจักรยานมาดักหน้า พลางเอ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ
เซี่ยโม่คิดว่าอีกฝ่ายก็หน้าไม่อายเหมือนกัน แกล้งทำเป็คนดีเพื่อเอาอกเอาใจเธอ
“นายอยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย ฉันบอกนายไปหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันเกลียดนาย!” เซี่ยโม่หันไปพูดใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
พูดจบเธอก็ขี่จักรยานพาน้องชายที่นั่งอยู่เบาะหน้าออกจากโรงเรียนไป เซี่ยเฉินเฟิงรู้ว่าพี่สาวเกลียดเด็กหนุ่มคนนี้ เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะถุยน้ำลายลงพื้นเป็การแสดงออกว่าชังขี้หน้า
เนื่องจากลมพัดผ่านมาพอดี น้ำลายจึงลอยกระเซ็นพัดไปโดนแก้มเซี่ยวฉางเซิง
เขายกมือเช็ดน้ำลายบนแก้มอย่างเจ็บใจ มองตามหลังสองพี่น้องที่กำลังขี่จักรยานจากไปพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “พูดดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม รอก่อนเถอะ…”
ทว่าพอเปิดเทอมเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเซี่ยโม่
หรือจะย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่นแล้ว?
ในบรรดาโรงเรียนมัธยมทั้งหมดที่อยู่ย่านนี้ โรงเรียนนี้คือโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุด ทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากในตำบล เขาขี่จักรยานมาจากในตำบลจึงสะดวกสบายอย่างมาก
ด้วยความสงสัยเขาเลยไปสืบข่าวจากคนรู้จัก จนได้รู้ว่าเซี่ยโม่สอบข้ามชั้นขึ้นไปเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนในตำบลแล้ว
ด้วยความรู้ของเขาในตอนนี้ไม่สามารถสอบข้ามชั้นขึ้นไปเรียนระดับมัธยมปลายได้แน่นอน ทั้งยังไม่รู้จักคนที่เคยสอบข้ามชั้นขึ้นไปเรียนมัธยมปลายด้วย
เขาหมดโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดเซี่ยโม่แล้วใช่ไหม!
เขาคิดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เลิกสนใจเซี่ยวฉางเซิง กลับมาทางฝั่งเซี่ยโม่ดีกว่า
หลังจากพูดเช่นนั้นใส่หน้าเซี่ยวฉางเซิง เซี่ยโม่ขี่จักรยานพาน้องชายกลับบ้าน แต่พอถึงบ้านพบว่ายังไม่มีใครกลับมาเลยสักคน หากทำอาหารตอนนี้เลยก็จะเร็วไป
“เฉินเฟิง เดี๋ยวพี่พาเราขึ้นเขาไปเก็บฟืนด้วยนะ เรารออยู่ตรงตีนเขาช่วยพี่เฝ้าจักรยาน่ที่พี่ขึ้นไปเก็บฟืนได้ไหม” เธอหันไปเอ่ยกับน้องชาย
แม้จะมีโกดังสินค้า แต่เธอก็ไม่อยากพึ่งมันแม้กระทั่งเื่เล็กๆ น้อยๆ
ตอนนี้เธอมีจักรยานไว้ใช้ทุ่นแรง สามารถขี่จักรยานไปเก็บฟืน ส่วนขากลับก็เอาฟืนวางไว้ที่เบาะหลังแล้วปั่นกลับมาบ้านได้
หมู่นี้น้องชายตัวน้อยมักจะช่วยเหลือเธอบ่อยๆ พอได้ยินเช่นนั้นก็ตบมืออย่างดีอกดีใจ “ได้ครับ”
ด้วยความที่กลัวว่าน้องชายจะหิว เซี่ยโม่เลยหยิบนมสองกล่อง ขนมปัง และไส้กรอกอีกสองชิ้นออกมาแบ่งกันกิน
เธอไม่วายเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ซึ่งน้องชายตัวน้อยพยักหน้ารับรู้พร้อมส่งยิ้มให้
หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย เธอขี่จักรยานพาน้องชายไปที่ตีนเขา เมื่อไปถึงเธอลงจากรถคู่ใจแล้วกำชับกับเซี่ยเฉินเฟิง
“พี่ไปไม่ไกล หากมีคนมารังแก เราะโเรียกพี่นะ”
เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้า “ครับ พี่อย่าลืมคล้องโซ่จักรยานด้วยนะครับ”
เซี่ยโม่ที่กำลังจะเดินขึ้นเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ที่เธอไม่คล้องโซ่จักรยานเพราะอิงประสบการณ์จากชาติที่แล้ว แต่พอได้ยินน้องชายทักท้วงเช่นนี้ ทำให้ตระหนักได้ว่ายุคนี้จักรยานเป็ของราคาแพง ดังนั้นควรป้องกันเอาไว้ก่อน
เมื่อคล้องโซ่จักรยานเสร็จเรียบร้อย กำชับน้องชายทิ้งท้ายอีกสองสามคำ จากนั้นถึงค่อยเดินขึ้นเขาไปตัดฟืน
ได้ฟืนในจำนวนที่พอใจแล้วเซี่ยโม่ก็เดินลงจากเขา เธอเห็นลูกสาวของสาวใหญ่ข้างบ้านกำลังคุยอยู่กับน้องชายเธอ
เซี่ยโม่ใอย่างมาก แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าโชคดีที่คล้องโซ่ป้องกันจักรยานเอาไว้แล้ว กระนั้นเธอก็ยังเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่
“เธอมีธุระอะไรหรือเปล่า” เธอถามด้วยน้ำเสียงเ็า
“ฉันเห็นเฉินเฟิงอยู่คนเดียวก็เลยมาอยู่คุยเป็เพื่อน” เด็กหวางหลบสายตา
เซี่ยโม่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “ฉันเก็บฟืนอยู่ไม่ไกล พอเห็นเธอฉันก็เลยรีบลงจากเขามา อีกอย่างเฉินเฟิงเองก็รู้ว่าฉันอยู่แถวๆ นี้”
ความจริงแล้วเธอมัวแต่รีบเก็บฟืน ไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อเธอกลับมาแล้ว งั้นฉันไปหาผักต่อก่อนนะ” เด็กหวางเก็บอาการใไว้ข้างใน ก่อนจะยิ้มเจื่อนให้สองพี่น้อง
หลังจากเด็กหวางเดินจากไปไกล เซี่ยโม่ก็ถอนหายใจออกมา “เฉินเฟิง พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้ามีอะไรให้ะโเรียกพี่ ทำไมถึงไม่ะโเรียกพี่”
“พี่ครับ ผมเห็นพี่หวางไม่เหมือนคนไม่ดีก็เลยไม่ได้ะโเรียกพี่”
“ตอนที่หวางหมาจื่อพาเราไปทิ้งบนรถไฟ เขาบอกว่าเขาจะพาเราไปหาพี่ใช่ไหม ตอนนั้นเขาเหมือนคนไม่ดีไหม”
เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า
เธอยกตัวอย่างเพิ่ม “แล้ววันนี้ตอนไปที่โรงเรียนของพี่ ตอนเราเจอเซี่ยวฉางเซิง เขาเหมือนคนไม่ดีไหม”
น้องชายยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม
“ที่พี่จะบอกเราก็คือ คนดีคนเลวไม่ได้มีเขียนเอาไว้ที่หน้าผาก ถ้าเกิดวันนี้เด็กนั่นตีเราจนสลบแล้วขโมยรถจักรยานไปจะทำยังไง”
เซี่ยเฉินเฟิงมีสีหน้าหวาดกลัว รีบอธิบายอย่างรู้สึกผิด “ผมกลัวคนไม่ดี ถึงได้บอกให้พี่คล้องโซ่รถจักรยาน แล้วพี่หวางก็ไม่เหมือนคนไม่ดี ผมคิดว่าคล้องโซ่เอาไว้แล้วก็น่าจะ…”
“เอาละ ไม่ต้องกลัวนะ พี่กลับมาแล้วนี่ไง พี่ผิดเองที่ไม่รอบคอบ”
“พี่ครับ พี่ไม่ผิดหรอก ผมผิดเอง” เซี่ยเฉินเฟิงยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด
เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ต่อไปหากจะขึ้นเขาไปเก็บฟืนอีก เธอจะพาน้องชายแล้วก็เอารถจักรยานไปด้วย แบบนั้นถึงจะวางใจได้
เธอขี่จักรยานโดยที่มีกองฟืนอยู่บนเบาะหลัง ส่วนน้องชายนั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้า เมื่อกลับถึงบ้านพบว่าคุณยายกลับมาบ้านแล้วและกำลังทำอาหารอยู่
“โม่โม่ ไม่ใช่ว่าหลานพาเฉินเฟิงไปพบครูที่โรงเรียนหรอกหรือ ทำไมถึงได้ฟืนกลับมาเยอะแยะล่ะ”
เธอไม่อยากเล่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้คุณยายฟัง เพราะกลัวคุณยายจะเป็ห่วง
“คุณยายคะ หนูพาน้องชายไปพบครูที่โรงเรียนมาแล้วค่ะ ตอนกลับมาเห็นว่ายังอีกนานกว่าจะถึงเวลาทำอาหารก็เลยขึ้นเขาไปตัดฟืนฆ่าเวลา”
“หลานนี่ฉลาดนะ ขี่จักรยานไปจะได้เอาฟืนใส่รถจักรยานกลับมา ช่วยประหยัดแรงไปได้เยอะ” คุณยายพูดชม
“คุณยายคะ ไว้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์เมื่อไรหนูจะขี่จักรยานขึ้นไปเก็บฟืนบนเขาอีกค่ะ”
“หลานนี่ พรุ่งนี้หลานต้องไปเรียนแล้วยังจะมัวคิดถึงเื่ทำงานพวกนี้อยู่อีก หลังจากนี้เื่ตัดฟืนปล่อยให้เป็หน้าที่ของยายกับตาเถอะ”
หลายวันก่อนหน้านี้เธอยุ่งกับการเก็บสมุนไพร เพื่อใช้เป็ข้ออ้างหยิบของออกมาจากโกดังสินค้า อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูหนาว ดังนั้น่นี้เธอควรต้องรีบตัดฟืนมาตุนเอาไว้สำหรับใช้ในฤดูหนาว
“คุณยายคะ หนูบอกแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าถ้าที่บ้านมีเื่หรือมีธุระ หนูสามารถขอลากับคุณครูได้ หนูเลยคิดว่าจะไปเรียนสักสองสามวันแล้วค่อยขอลาหยุด จะได้ขึ้นเขาไปตัดฟืนมาตุนเอาไว้ใช้ตอนหน้าหนาว” เธอเอ่ยอย่างแข็งขันแน่วแน่
เซี่ยเฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินพี่สาวกับคุณยายกำลังคุยกันเื่ตัดฟืนก็อ้าปากทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกพี่สาวส่งสัญญาณมือเชิงห้ามไม่ให้พูดเื่นี้ออกมาเสียก่อน
เฉินเฟิงตัวน้อยรีบเอามือปิดปาก แล้ววิ่งเข้าไปในบ้านทันที