เย่เฟิงใไม่แพ้กัน เขามองเมืองที่ยิ่งใหญ่ตระการตาตรงหน้าด้วยใจเต้นโครมคราม
“ที่นั่นน่าจะเป็เมืองลอยฟ้า!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความตื่นเต้น
“โง่เง่าเต่าตุ่นเสียจริง ข้ากับศิษย์พี่มาที่เมืองลอยฟ้ากี่รอบแล้วก็ไม่รู้” จิ้งหยาที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเย่เฟิงกับกงซุนหลิงเอ๋อร์เผยสีหน้าตะลึงก็กล่าวเช่นนั้นด้วยความดูถูก
เย่เฟิงขมวดคิ้วจาง ๆ พร้อมเหลือบมองจิ้งหยาแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับเฉินซงว่า “พี่เฉิน ขอบคุณมาก ในเมื่อมาถึงเมืองลอยฟ้า เราสองคนคงไม่รบกวนแล้ว พวกข้าขอลา”
เฉินซงขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายนึกไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะเป็ฝ่ายไปก่อน
“น้องเย่รีบร้อนเพียงนี้ หรือข้าสองคนเสียมารยาท?” เฉินซงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าสองสามส่วน
“ไม่ใช่ เพียงแต่เราสองคนมีธุระที่ต้องจัดการโดยด่วน แล้วก็ไม่อยากให้พี่เฉินเสียเวลา” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นเขาหันไปกล่าวกับกงซุนหลิงเอ๋อร์โดยไม่รอให้เฉินซงกล่าวสิ่งใด “หลิงเอ๋อร์ เราไปกันเถอะ”
“อืม” กงซุนหลิงเอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็มุ่งหน้าสู่เมืองลอยฟ้าทันที
“เ้าเต่าตุ่นสองตัว เกรงว่าเข้าเมืองลอยฟ้าจะถอยหลังกลับได้ยากแล้ว”
เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์เพิ่งออกไป จิ้งหยาก็กล่าวพลางแสยะยิ้มเช่นนั้น แม้นางจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงซุนหลิงเอ๋อร์ แต่ก็ยังคงดูถูกอีกฝ่าย
ซึ่งเสียงของจิ้งหยาค่อนข้างดังฟังชัด เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ย่อมได้ยินอย่างแน่นอน แต่ทั้งสองคนกลับไม่สนใจ พวกเขาเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ดวงตาของเฉิงซงเผยประกายแสงเยือกเย็นขณะที่มองพวกเย่เฟิงเดินจากไป อาจกล่าวได้ว่าเฉินซงสนใจในตัวกงซุนหลิงเอ๋อร์ หญิงผู้นี้ไม่เพียงแต่หน้าตาสะสวย แต่นิสัยยังดุดันและมากเสน่ห์ ซึ่งเป็ประเภทที่เขาชอบเลยทีเดียว
เฉินซงจึงฉวยโอกาสนี้เข้าใกล้กงซุนหลิงเอ๋อร์ แต่ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะทำลายโอกาสที่ดีเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นานเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์มาถึงประตูเมืองลอยฟ้า ที่นี่มีผู้คนพลุกพล่าน รถม้าวิ่งขวักไขว่ไปมา
ผู้มาเยือนเมืองลอยฟ้ามักจะเป็ผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ ทั่วสารทิศ ดังนั้น เครื่องแต่งกายจึงมีความแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตามผู้อ่อนแอสุดล้วนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นยุทธ์แท้จะไม่มาปรากฏตัวที่นี่ เช่นเดียวกับผู้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 อย่างเย่เฟิงก็ค่อนข้างมีน้อย
เมืองลอยฟ้าถูกขนานนามว่าเป็เมืองแห่งความอิสรเสรี ที่นี่คือศูนย์กลางการค้าแห่งแดนชิงอวิ๋น มีผู้คนหลากหลายประเภท ทั้งคนดีและคนเลวผสมปนเป ดังนั้นผู้มาเยือนเมืองลอยฟ้าต่างทราบดีว่าความปลอดภัยของที่นี่แย่มาก ปกติจะมีการต่อสู้แย่งชิงเกิดขึ้นตลอดซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามข้างทางบนถนน กระทั่งมีการฆ่าฟันกันเพื่อชิงสมบัติ
แม้จะมีการปกครองโดยจวนเ้าเมือง แต่ทุกวันจะมีผู้มาเยือนเมืองลอยฟ้าหลายพันหมื่นคน การต่อสู้จึงมีนับไม่ถ้วน ทำให้จวนเ้าเมืองไม่สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งจวนเ้าเมืองค่อย ๆ ชินชากับเื่เช่นนี้
นี่คือสาเหตุที่เมืองลอยฟ้าขึ้นชื่อว่าเป็เมืองแห่งอิสรเสรี ที่แห่งนี้ตราบใดที่เ้าแข็งแกร่ง เ้าก็ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจผู้ใด สามารถทำทุกสิ่งที่ตน้าได้ แม้แต่การฆ่าคนก็เช่นกัน
เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์กำลังเดินอยู่บนถนนใหญ่ในเมืองลอยฟ้า แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็เจอการต่อสู้สองครั้ง ซึ่งล้วนแต่เป็ศึกที่จะต้องตายกันไปข้าง
“องค์หญิงเจาอี๋เสด็จ รีบหลบทางไปซะ!” ขณะนั้นอีกด้านหนึ่งของถนนมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างฉับพลัน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกีบม้าดังสนั่น
เมื่อผู้คนได้ยินเสียงนี้ต่างก็เผยสีหน้าหวาดผวา จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวว่า “เป็องค์หญิงเจาอี๋ ถ้าทุกคนไม่อยากตายก็รีบหลบไปเร็ว!”
หลาย ๆ คนได้ยินเช่นนั้นพลันหลบไปข้าง ๆ ด้วยความตื่นตระหนก
“พี่ชาย ข้าขอถามได้หรือไม่ องค์หญิงเจาอี๋เป็ธิดาขององค์าาจากอาณาจักรใดหรือ?”
เมื่อเย่เฟิงเห็นผู้คนเกิดความตื่นตระหนกเมื่อได้ยินชื่อองค์หญิงเจาอี๋ก็ต้องขมวดคิ้ว แม้เป็องค์หญิงจากอาณาจักรแห่งหนึ่งที่มาเยือนเมืองลอยฟ้าก็ไม่น่าจะมีพลังสยบมากเช่นนี้ นี่ทำให้เย่เฟิงสงสัยใคร่รู้ในตัวตนขององค์หญิงเจาอี๋ เขาและกงซุนหลิงเอ๋อร์จึงไม่หลบ แต่กลับเอ่ยถามคนที่อยู่ข้าง ๆ แทน
“องค์หญิงเจาอี๋คือธิดาของเ้าเมืองลอยฟ้า มีฐานะสูงศักดิ์”
คนนั้นอธิบายให้เย่เฟิงฟัง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “โอ๊ะ! ข้าจะมาพูดเื่พวกนี้กับเ้าทำไม เ้าอยากตายก็เชิญ แต่ข้าไม่อยาก!”
จากนั้นเขาส่ายหัวเล็กน้อยให้เย่เฟิง พร้อมเผยสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะหลบออกไปจากทางนี้ด้วยความรวดเร็ว
ผู้คนส่วนใหญ่หลบออกไปด้วยความรวดเร็ว แต่ยังคงมีหลายคนที่เดินอยู่บนถนนไม่หลบออกไปไหน ทันใดนั้นทหารม้าที่นำหน้าองค์หญิงเจาอี๋ก็มาถึงแล้ว
พวกเขาขี่ม้าศึกมาด้วยความเกรงขามและดุดัน ไม่สนใจไยดีผู้คนที่เดินตามท้องถนน พวกเขาขี่ม้าด้วยความเร็วสูง จึงเป็เหตุให้ผู้คนไม่น้อยถูกเหยียบ พร้อมเสียงกรีดร้องดังก้อง
เย่เฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาเห็นหญิงสาวในชุดเกราะสีเงินขี่ม้าแดงเพลิงอยู่ตัวหนึ่ง หญิงผู้นี้มีรูปร่างดี กระทั่งชุดเกราะเต็มยศที่นางสวมใส่ก็มิอาจปกปิดเสน่ห์อันร้อนแรง
ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ทำให้ชุดเกราะสีเงินเปล่งประกาย ซึ่งหญิงผู้นี้ก็คือ “หวงเจาอี๋!”
“หลีกไปซะ ผู้ใดขวางทางองค์หญิงเจาอี๋ต้องตาย!” ทหารเกราะสีเงินนายหนึ่งที่อยู่ด้านข้างหวงเจาอี๋ะโเสียงดังลั่น พร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา จากนั้นควงขวานปากไก่ ก่อนจะฟันร่างของคนคนหนึ่งจนแบ่งออกเป็สองส่วน เืสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่
“ยังไม่หลบไปอีก หรือเ้าอยากตาย?” เมื่อทหารนายนั้นเห็นเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ยังคงอยู่ที่เดิมก็กล่าวเสียงเย็นเยือกเช่นนั้น ก่อนจะควงขวานปากไก่เข้าหาเย่เฟิง หมายฟันร่างเย่เฟิงให้ขาด
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อพร้อมพลังดาราปกคลุมร่าง ก่อนจะหลบหนีการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น แล้วไปเยือนเบื้องหน้าอีกฝ่าย พร้อมกับเหวี่ยงหมัดโจมตี ตามมาด้วยเสียงดังปัง หมัดของเย่เฟิงอัดกระแทกร่างม้าศึกเต็ม ๆ จนม้าศึกส่งเสียงร้อง ทหารนายนั้นถูกดีดกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงที่อยู่ใกล้ ๆ จนกำแพงนั้นยุบลงไป
“หมอนี่กล้าลงมือทำร้ายลูกน้องขององค์หญิงเจาอี๋ สงสัยคงอยากตายมาก!” ผู้คนรอบข้างเห็นฉากนี้ต่างก็ใจเต้นระรัว คนส่วนใหญ่เป็แขกประจำที่เข้าออกเมืองลอยฟ้าบ่อยครั้ง จึงรู้ว่าสิ่งที่เย่เฟิงทำลงไปหมายความเช่นไร จวนเ้าเมืองมีอำนาจเด็ดขาดที่สุดในเมืองลอยฟ้า หากผู้ใดกล้ายั่วโมโหจวนเ้าเมืองก็เท่ากับรนหาที่ตาย ยิ่งกว่านั้นการกระทำของเย่เฟิงกำเริบเสิบสานเป็อย่างมาก แม้แต่คนขององค์หญิงเจาอี๋ก็กล้าทำร้าย
“โจรฏ กล้าดียังไงมาทำร้ายลูกน้องของข้า ตายซะเถอะ!” ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งะโขึ้น ก่อนจะเห็นหวงเจาอี๋สะบัดแส้มาทางเย่เฟิง
“ยั่วโมโหองค์หญิงเจาอี๋ ชายผู้นี้จบเห่แล้ว!” ผู้คนเห็นหวงเจาอี๋ลงมือจัดการเย่เฟิงต่างก็คิดเช่นเดียวกันนี้ หวงเจาอี๋ไม่เพียงแต่สวยงดงาม ฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังมีพร์ด้านวรยุทธ์
นางเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ในตอนอายุยังไม่ถึง 18 ปี ภายใต้การบ่มเพาะด้วยทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ทำให้พลังต่อสู้ของหวงเจาอี๋แกร่งกล้า ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ทั่วไปยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง อีกอย่างผู้คนยังััได้ว่าตอนที่เย่เฟิงลงมือจัดการทหารนายนั้น ลมปราณของเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 จึงไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ขององค์หญิงเจาอี๋
เมื่อเย่เฟิงยั่วโมโหหวงเจาอี๋ เช่นนั้นก็ต้องรับโทษทัณฑ์ที่โหดร้ายที่สุด ทว่าเย่เฟิงกลับเพิกเฉยต่อแส้ของหวงเจาอี๋ที่กำลังพุ่งมาหา เมื่อแส้เข้ามาใกล้ตัว จู่ ๆ เย่เฟิงเหยียดมือไปคว้าจับแส้นั่น ทำให้หวงเจาอี๋ตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะใช้แรงดึงแส้กลับมา แต่ไม่ว่านางจะออกแรงมากเพียงใด แส้ก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
“ปล่อยมือซะ!” แม้เผชิญหน้ากับหญิงผู้โหดร้ายเช่นนี้ แต่เย่เฟิงก็ไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ ก่อนจะเห็นเขาตวาดเสียงกร้าวเช่นนั้น เขาออกแรงดึงแส้จนหวงเจาอี๋ถูกกระชากตามแรงจนเกือบตกจากหลังม้าศึก
“ชายผู้นี้ร้ายกาจมาก ไม่นึกว่าจะชิงแส้จากมือองค์หญิงเจาอี๋ได้ง่าย ๆ เช่นนี้!” ผู้คนรอบข้างเห็นฉากนี้ต่างก็ใ พวกเขาทราบดีถึงความร้ายกาจของหวงเจาอี๋ แต่ไม่นึกว่าจะอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง เช่นนั้นเย่เฟิงผู้นี้จะแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?
“กำเริบเสิบสาน ไม่เคารพองค์หญิงเจาอี๋เช่นนี้ ต้องตายสถานเดียว!” เหล่าทหารเห็นเย่เฟิงชิงแส้ไปจากมือหวงเจาอี๋ต่างก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟ จากนั้นควงขวานปากไก่เข้าโจมตีเย่เฟิง
ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายคมกริบ เขาสะบัดแส้ฟาดไปที่ทหารเ่าั้ ตามมาด้วยเสียงดังเพียะ ๆ ซึ่งมีทหารสามนายถูกฟาดจนกระเด็นพร้อมกรีดร้องด้วยการโจมตีนี้ กระดูกล้วนแตกหักหลายจุด ทั้งยังอาเจียนออกมาเป็ลิ่มเื
“เพียะ ๆ!” เย่เฟิงฟาดแส้ต่อเนื่อง ทุกครั้งที่สะบัดแส้ล้วนมีทหารถูกฟาดนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้คนรอบข้างมองฉากนี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง แม้แต่หวงเจาอี๋ก็ยังตกตะลึง แต่หวงเจาอี๋ยังไม่ทันตอบสนองใด ๆ ลูกน้องของนางก็นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นด้วยแส้ของเย่เฟิง
“พูดมา! เหตุใดเ้าถึงเผด็จการ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เยี่ยงนี้?”
เย่เฟิงถือแส้เดินมาหาหวงเจาอี๋ ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นเช่นนั้น ความเผด็จการของหวงเจาอี๋เกินความคาดหมายของเย่เฟิงไปมาก
“เื่ของข้าไม่เกี่ยวกับเ้า เมืองลอยฟ้าคือถิ่นของตระกูลหวงข้า ข้าอยากทำอะไรก็ทำ ต่อให้ใหญ่มาจากไหนข้าก็ไม่สน!”
หวงเจาอี๋เชิดหน้ามองเย่เฟิงที่กำลังเดินมาทางนี้ โดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ แม้กระทั่งในน้ำเสียงก็ยังแฝงด้วยความแข็งกร้าว
“แม้ฐานะของเ้าสูงส่ง แต่จะเห็นชีวิตของผู้อื่นเป็พืชผักไม่ได้ วันนี้ข้าจะสั่งสอนแทนพ่อแม่เ้าเอง!” เย่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื ทำให้หวงเจาอี๋อดตัวหนาวสั่นไม่ได้
เมื่อสิ้นเสียง แส้ในมือของเย่เฟิงก็ขยับ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเพียะดังสนั่น แส้นั้นฟาดไปที่บั้นท้ายของหวงเจาอี๋ ทำให้หวงเจาอี๋กรีดร้องและรู้สึกแสบตรงบริเวณบั้นท้าย
“สารเลว เ้ากล้าตีข้า ข้าจะทำให้เ้าตายโดยไร้ที่กลบฝัง!”
หวงเจาอี๋รู้สึกเ็ปและอับอายขายหน้าเป็อย่างมาก ทว่าไม่รอให้นางพูดประโยคที่สอง เย่เฟิงก็ฟาดแส้มาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนักกว่าเมื่อครู่มาก เพราะเหตุนี้ิับริเวณบั้นท้ายของหวงเจาอี๋จึงมีเืซึมออกมา
