หลังจากกลับถึงบ้านชวีเสี่ยวปอก็เข้าไปอาบน้ำก่อนเป็อันดับแรก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กินซาลาเปา แต่เขากลับรู้สึกว่าบนตัวของเขาตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นของไส้ซาลาเปา
เขาเดินกลับมาพร้อมกับฮัมเพลงออกมาด้วยว่า “ฉันชอบอาบน้ำผิวพรรณดี๊ดี” ในขณะนั้นก็เห็นเซี่ยเจิงกำลังนอนขีดๆ เขียนๆ อะไรสักอย่างอยู่บนโต๊ะ
ชวีเสี่ยวปอจึงชะโงกศีรษะจากทางด้านหลังเข้าไปดู แล้วก็เห็นว่าเซี่ยเจิงไม่ได้กำลังเขียนการบ้าน แต่กำลังทำบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่
“ทุกครั้งที่จ่ายเงินต้องเขียนลงไปทั้งหมดเลยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอนั่งลงและมองดูเซี่ยเจงที่กำลังแจกแจงรายจ่ายออกมาทีละอย่าง สมกับเป็เด็กเรียนจริงๆ ขนาดทำบัญชีรายรับรายจ่ายยังดูเป็ระเบียบเรียบร้อยขนาดนี้เลย
“ก็ไม่ขนาดนั้น” พอเซี่ยเจิงเขียนรายจ่ายสุดท้ายเสร็จ เขาก็ปิดสมุดลงแล้วโยนมันเข้าลิ้นชักไป “บางครั้งที่ลืมจริงๆ ก็ไม่ได้เขียน”
ชวีเสี่ยวปอตอบรับกลับไป พร้อมทั้งทำท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ไม่เข้าใจใช่ไหมล่ะ” เซี่ยเจิงเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นไปเพื่อบิดี้เี พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า : “ซื้อกับข้าวยังต้องจดเอาไว้อีก”
“ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอส่ายหัว “ฉันแค่รู้สึกว่านายเก่งมาก ถ้าฉันเป็นายนะ ฉันคิดว่าคงจะทำได้ไม่ดีเท่านี้”
เมื่อนึกถึงนิสัยของเซี่ยเจิงที่ต้องวางแผนในการใช้เงินทุกหยวนทุกเหมาทั้งยังต้องคิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็เพราะเขาถูกบังคับให้ทำั้แ่เด็ก ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกทุกข์ใจขึ้นมานิดนึงแล้ว
“ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก” เซี่ยเจิงหาว “ชินแล้วน่ะ นี่ นอนกันเถอะ”
“ได้สิ” ชวีเสี่ยวปอถอดรองเท้าออก แล้วะโขึ้นไปบนเตียงอย่างรวดเร็ว
“นาย” เซี่ยเจิงมองเขาด้วยความสงสัย “ไม่นอนฝั่งข้างนอกแล้วเหรอ? ”
“อ๋า? ” ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอถึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเขาะโเข้าไปตรงที่ของเซี่ยเจิงที่ติดกับกำแพง จากนั้นจึงรีบขยับออกมาทันที “ยังไงก็ได้ๆ ”
ตื่นเต้นบ้าอะไรเนี่ย !
ชวีเสี่ยวดึงหมอนลงมาแล้วชกมันไปสองครั้งราวกับกำลังระบายอารมณ์ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ไม่เคยนอนสักหน่อย แต่คงจะ อาจจะ น่าจะ...มีสาเหตุมาจากการที่เขาไปจูบกับเซี่ยเจิง จึงมักจะทำให้เขาทำตัวไม่ถูกขึ้นมาตลอด
“หมอนใบนี้นอนไม่สบายเหรอ? ” เซี่ยเจิงมองการกระทำอันรุนแรงที่ชวีเสี่ยวปอทำลงไปกับหมอน จากนั้นก็ดึงหมอนในมือเขามาแล้วดันหมอนของตัวเองไปให้เขาแทน “หนุนของแทนฉันก็ได้”
ชวีเสี่ยวปออยากที่จะพูดว่าไม่ใช่ แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร พร้อมทั้งเอนตัวลงนอนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ
ไม่เจอกันนานเลยนะ เ้ากลิ่นส้ม
ชวีเสี่ยวปอสูดกลิ่นที่คุ้นเคยนี้เข้าไป จนทำให้เขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ความรู้สึกเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยเลยเหมือนกัน
ถึงแม้ว่ามันจะดูแปลกๆ ไปหน่อยก็ตาม เพราะก่อนหน้านี้เขามักจะไปหาซือจวิ้นอยู่บ่อยๆ บางครั้งที่เล่นจนดึกเกินไปเขาก็อยู่ค้างคืน แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้มาก่อนเลย
เซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงถามออกมาว่า : “ปิดไฟไหม? ”
“ปิดเลย” ชวีเสี่ยวปอหลับตาลง
จากนั้นภายในจึงห้องมืดสนิทลงไปทันที ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
แต่ในตอนนั้นเองเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่บนเตียงก็ถอดเสื้อออกมา แสงจันทร์เพียงน้อยนิดจากด้านนอกที่สาดส่องเข้ามา จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอสามารถมองเห็นเส้นกลางแผ่นหลังที่ไหลลื่นของเซี่ยเจิงได้อย่างชัดเจน เอวด้านข้างไม่มีไขมันส่วนเกินเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่เห็นเป็รอยบุ๋มสองข้างบนกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เอวของเขา
“ให้ตายเถอะ !” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รีบลุกขึ้นมานั่งทันที
“เป็อะไรของนายอีกเนี่ย !” มือของเซี่ยเจิงที่กำลังจะถอดกางเกงออกหยุดการการกระทำลง จากนั้นก็ตบลงไปบนสวิตช์ทำให้ไฟสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ได้เป็อะไร ! ไม่ได้...ไม่ใช่ !” ชวีเสี่ยวปอเปิดผ้าห่มออก “เหมือนว่าจะมีแมลง !”
ไม่เช่นนั้นจะอธิบายอย่างไร? หรือว่าจะให้บอกว่าเขานอนไม่หลับไม่รู้จะทำอะไรเลยนอนจ้องแผ่นหลังของเขา จ้องจนตัวเองเกือบจะแข็งขึ้นมาแล้วอย่างนั้นเหรอ?
“แมลง? ” เซี่ยเจงยกผ้าห่มขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ “นายลงมาก่อน”
“อ๋า? ” ชวีเสี่ยวปอไม่ค่อยอยากจะขยับมากนัก เพราะอันที่จริงน้องชายสุดที่รักของเขาได้ทำการดีดตัวขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว จะบอกให้ลงก็ลงได้เลยที่ไหนกัน
“ลงมาสิ” เซี่ยเจิงเร่งออกไปอย่างจนปัญญา “ถ้ามีแมลงจะได้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่”
“ยุ่งยากเกิน” ชวีเสี่ยวปอดึงผ้าห่มให้แน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม ถ้าหลุดออกไปให้เขาได้จบชีวิตแน่ ! “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ถ้ามีแมลงก็น่าจะถูกฉันนั่งทับตายไปแล้วละ”
“ไม่ขยะแขยงเหรอ? ” เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว
“ขยะแขยง” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า “แต่ฉันี้เี”
เซี่ยเจิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา “ไม่ต้องเปลี่ยนจริงๆ ใช่ไหม? ”
“ไม่ต้อง” ชวีเสี่ยวปอเอนตัวลงนอน พร้อมทั้งตบไปที่ด้านข้างของเขาสองครั้ง “นาย นอนเร็ว”
เซี่ยเจิงไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อพลางถอนถายใจออกมา จากนั้นก็ปิดไฟลงอีกครั้ง
ชวีเสี่ยวปอที่อยู่ในความมืดในที่สุดก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทว่าความรู้สึกบวมขึ้นมาแปลกๆ ตรงบริเวณท้องน้อยกลับยังคงห้อมล้อมตัวเขาเอาไว้อยู่จนทำให้เขาไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ ในตอนนั้นเซี่ยเจิงเรียกเขาอยู่หลายครั้งแต่เขาก็ไม่ได้ยิน จนกระทั่งเซี่ยเจิงกระแทกแขนของเขาผ่านผ้าห่มไป ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอจึงรีบ “อ๋า” ขึ้นมาทันที
“นายกลัวแมลงขนาดนั้นเลยเหรอ” เซี่ยเจิงพยายามกลั้นขำพลางดึงผ้าห่มขึ้นมา “ใจนบ้าไปแล้วเหรอ? ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” ชวีเสี่ยวปอตอบออกไปอย่างร้อนตัว
“พรุ่งนี้นายกลับบ้านไหม? ” เซี่ยเจิงถาม
“ทำไม? ” ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวกลับมามองเขา
“เปล่า พรุ่งนี้ฉันต้องไปสอนพิเศษ” เซี่ยเจิงก็พลิกกลับมามองชวีเสี่ยวปอเหมือนกัน “นายอยู่บ้านกับแม่ฉันสองคน ฉันกลัวว่านายจะไม่เป็ตัวของตัวเอง”
“อ๋า งั้นพรุ่งนี้ฉันกลับบ้านก็ได้” พอเซี่ยเจิงพลิกตัวมา เขาก็ยากที่ข่มความตื่นเต้นเ่าั้ที่จู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมาให้ลดลงไปได้ ชวีเสี่ยวปอจึงรีบกลับมานอนราบเหมือนเช่นเดิม “ถึงยังไงก็ต้องกลับอยู่ดี”
“พูดเหมือนกับว่าจะออกรบยังไงยังงั้นแหละ” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปาก “พูดความจริงมา นายคงจะไม่ไปต่อยกับพ่อหรอกใช่ไหม”
“เื่นั้นมันทำไม่ได้อยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะหึๆ “ถ้าฉันลงไม้ลงมือกับพ่อนะ แม่ฉันได้ต่อยฉันก่อนนะสิ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะอ้าปากไม่ขึ้นแล้ว แต่ยังจำประโยคสุดท้ายที่เซี่ยเจิงถามออกมาว่า “พรุ่งนี้เช้านายอยากกินอะไร? ” ได้เป็อย่างดี
ไม่รู้ว่าสุนัขของบ้านไหนเห่าขึ้นมาไม่ยอมเงียบสักที ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอทนเสียงอันน่ารำคาญนี้ไม่ไหวจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดศีรษะของเขาไว้ แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เขาจึงมุดเข้าไปในใต้หมอนแทน
ให้ตายเหอะ นอนไม่หลับแล้ว ความง่วงก็หายไปจนหมดสิ้น นี่มันแทบจะเป็การเหยียดหยามในเช้าวันอาทิตย์เสียจริงๆ
ทันทีที่ชวีเสี่ยวปอลืมตาขึ้นมา ใบหน้าอันเรียบนิ่งของเซี่ยเจิงก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขาทันที แม้แต่ริ้วรอยบนเปลือกตาของเขาชวีเสี่ยวปอก็ยังสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
“ตื่นแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงกำลังหลับตาอยู่
“นายก็ตื่นแล้วเหมือนกันนี่ !” ชวีเสี่ยวปอขยับบิดตัวไปมาสองที
“เร็วกว่านายครึ่งชั่วโมงได้” เซี่ยเจิงยังคงหลับตาอยู่ เสียงพูดขึ้นจมูกเล็กน้อย “ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่าหมาของบ้านป้าหลี่เป็บ้าไปแล้วหรือไงเนี่ย”
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ” ชวีเสี่ยวปอถาม
“หกโมงสี่สิบ” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา
“ปกติแล้วฉันไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้เลย” จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบสุดๆ จึงรีบมุดตัวลงไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง “นายไปสอนพิเศษกี่โมง? ”
“เก้าโมงครึ่ง” แต่เซี่ยเจิงกลับลุกขึ้นมาทันที
“แล้วนายจะตื่นตอนนี้เลย? ” ชวีเสี่ยวปอถาม “นายมานอนต่ออีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวพอถึงเวลาฉันปลุกนายเอง”
“นอนไม่หลับแล้วละ” เซี่ยเจิงใส่เสื้อผ้า “อยากกินอะไร เดี๋ยวฉันไปซื้อให้”
“ฉันไปด้วย” ถึงยังไงก็นอนไม่หลับแล้ว ชวีเสี่ยวปอรีบคลานลงจากเตียงมาเช่นกัน
หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้วทั้งสองคนก็ออกจากบ้านไป ชวีเสี่ยวปอพบข้อดีอย่างหนึ่งของการมีบ้านอยู่แถวนี้คือ สามารถหาของกินได้ง่ายมาก เมื่อก่อนแถวบ้านเขาก็เคยมีแผงร้านค้ามาตั้งขายของอยู่เหมือนกัน แต่วันถัดมาก็ถูกไล่กันไปจนหมด ทว่าอยู่ที่นี่เพียงแค่ออกจากบ้านมา ของกินมากมายหลากหลายเหล่านี้ก็แทบจะอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ
ทั้งครึกครื้นทั้งมีชีวิตชีวา
พวกเขาทั้งสองคนดื่มน้ำเต้าหู้และทานปาท่องโก๋ที่ร้านขายอาหารเช้าแล้วเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังซื้อกลับบ้านให้แม่ของเซี่ยเจิงด้วยอีกชุดหนึ่งจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินกลับมาตามทางพร้อมทั้งเรอออกมาด้วย
แต่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่ไกล โทรศัพท์ของชวีเสี่ยวปอก็ดังขึ้นมา
ชวีเสี่ยวปอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “แม่ฉันเอง”