ฉินเฟิงยิ้มกริ่มและเดินไปหาหัวิเขาไม่เคยแสดงความเมตตาให้กับศัตรูที่มายั่วเขาแบบไม่มีเหตุผล
“นายน้อยหัว ผมต้องขออภัยเป็อย่างยิ่งแต่ดูเหมือนว่าผมจะบังเอิญชนะคุณได้ซะแล้ว”ฉินเฟิงพูดอย่างสงบนิ่งขณะที่มองไปยังหัวิ “ในเมื่อผลแพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้วมาเริ่มการลงทัณฑ์และให้รางวัลกันเถอะผมมั่นใจว่าคนที่มีชื่อเสียงอย่างนายน้อยหัวคงจะไม่ถอนคำพูดใช่ไหม?”
หัวิไม่สามารถถอนคำพูดได้แม้ว่าเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกนักเรียนคนอื่นๆ ตบและเรียกว่าสวะแต่เขาก็จะถูกพูดถึงในฐานะคนขี้แพ้ที่ไม่ยอมรับผลการเดิมพันไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย
นั่นจะทำให้เขาเสียหน้าอย่างใหญ่หลวงทำให้เขาไม่อาจที่จะเงยหน้าในมหาวิทยาลัยเว่ยเฉิงได้อีก
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็หนึ่งในสี่นายน้อยแห่งมหาวิทยาลัยเว่ยเฉิงและมีเื้ัที่ทรงอิทธิพลเขาดูค่อนข้างใจเย็นขณะที่มองฉินเฟิงอย่างเฉยชาและกล่าว “ฉัน นายน้อยหัวรักษาคำพูดและการเดิมพันมาโดยตลอด ก็แค่ตบหน้าฉันไม่ใช่หรือไง ถ้ามีใครกล้าทำก็ทำเลย”
คำพูดของหัวิมีเจตนาขู่อย่างชัดเจนนักเรียนที่กำลังจะไปตบนายน้อยจอมหยิ่งคนนี้ก็ชะงักตามหลังกันหมด
เมื่อเผชิญหน้ากับภูมิหลังที่น่าเกรงขามของนายน้อยคนนี้ก็ไม่มีใครกล้าขยับ
พวกเขาทุกคนกลัวว่าถ้ามีใครกล้าสนองความอยากของพวกเขาขาของพวกเขาอาจจะหักเมื่อไรก็ตามที่ก้าวเท้าออกจากมหาวิทยาลัย!
“ฮ่าๆๆ! ฉินเฟิง ไม่ใช่ว่าพ่อคนนี้ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นะแต่คนพวกนี้มันขี้ขลาด แม้ฉันจะให้โอกาสพวกมัน พวกมันก็ไม่กล้าแตะต้องพ่อคนนี้”หัวิยินดีมากในสิ่งที่เขาเห็น และรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้สยบคนกลุ่มนี้เขามองไปที่ฉินเฟิงอย่างพอใจในตัวเองและกล่าว “พอดีพ่อไม่ค่อยว่างเนื่องจากไม่มีใครกล้าแตะต้องฉัน งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ!”
เพียะ!
เพียงแค่เขาพูดจบเสียงตบก็ดังออกมา
ตบนี้ทำให้หัวิมึนงงเขาคิดว่านักเรียนทุกคนหวาดกลัวเขา และไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา
ทว่าหลังจากได้รับตบนี้เขาก็รู้ว่าเขาไร้เดียงสาเกินไปเขาแม้แต่ลืมความเจ็บแสบที่แผดเผาบนหน้าขณะที่จ้องฉินเฟิงอย่างเอาเป็เอาตาย
เพราะว่าตบนี้มาจากฉินเฟิงนั่นเอง
“ใครบอกว่าไม่มีใครกล้าตบนาย? นายน้อยผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย”ฉินเฟิงไม่เพียงตบแค่หนึ่งที ดังนั้นเขาจึงตบอีกสองที แล้วหัวเราะ“ในเมื่อไม่มีใครกล้าตบนาย งั้นนายน้อยผู้นี้จะทำแทนทุกคนเอง”
เพียะๆๆ!
ลูกตบต่อเนื่องกระหน่ำลงบนหัวและใบหน้าของหัวิสร้างความสะใจให้แก่ทุกคน
หัวิชอบอาศัยเื้ัของครอบครัวมารังแกนักเรียนคนอื่นๆคนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าแสดงความโกรธไปยังเขาดังนั้นเมื่อเห็นนายน้อยฉินทำอย่างนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง
สายตาของพวกเขาเหมือนกับดวงดาวขณะมองดูฉากที่ปรากฏบนสายตาสำหรับพวกเขาแล้ว ฉินเฟิงเปรียบเสมือนเทวทูตที่คอยลงทัณฑ์ปีศาจจากนรก
ตอนแรกหัวิก็จ้องฉินเฟิงอย่างฉุนเฉียวและ้าจะตอบโต้อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงเริ่มตบแรงขึ้นและเร็วขึ้นในที่สุดเขาก็เริ่มใช้มือทั้งสองสลับกันตบ
หัวของหัวิเหมือนกับกลองที่ถูกตีโดยมือของฉินเฟิงความเจ็บทำให้หน้าตาของหัวิบูดเบี้ยวและกรีดร้องด้วยความเ็ปในตอนนี้เขาได้ป้องกันหัวด้วยมือของเขาพยายามจะป้องกันตัวเองมากที่สุดเท่าที่เป็ไปได้
ฉากนี้เหมือนกับพ่อแม่ที่เข้มงวดสั่งสอนลูกตัวเองหลังจากที่ลูกกระทำผิดร้ายแรงทุกคนยินดีมาก!
หลังจากตบหัวิเป็สิบครั้งมือของฉินเฟิงก็เริ่มเจ็บ ในที่สุดเขาก็หยุดตบและบ่น“สงสัยฉันต้องหาคนมาตบแทนในอนาคตแล้วมั้ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิงหัวิก็โกรธจนเกือบกระอักเื เขาเสียหน้าทั้งหมดในวันนี้และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอยู่ต่อ เขาปิดหัวและตะกายออกจากห้องเรียน
“เอาล่ะ ในเมื่อฉันสั่งสอนหมาบ้าเสร็จแล้วได้เวลาที่ผู้ชนะจะได้รับรางวัลสักทีฉันมั่นใจว่าทุกคนอยากจะเห็นองค์หญิงจ้าวหลิงเซียนจูบใช่ไหม?”
ฉินเฟิงพูดขณะยิ้มไปที่จ้าวหลิงเซียนจ้าวหลิงเซียนยังคงนั่งอยู่บนที่นั่งของเธอ ซึ่งผิดปกติ ปกติเธอคงจะเดินออกไปแล้วเพราะเธอไม่เคยสนใจในเื่แบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการเดิมพันนี้เกี่ยวข้องกับเธอเธออาจจะได้จูบใครก็ตามที่ชนะ
ในอดีตจ้าวหลิงเซียนอาจจะตบคนคนนั้นด้วยความโกรธแต่ตอนนี้เธอโหยหามันเล็กน้อย ซึ่งเป็เหตุผลที่ทำไมเธอยังไม่ออกไป
นี่เพราะว่าเธอรู้ว่าคนที่ชนะคือฉินเฟิง
“จูบเลย! จูบเลย! จูบเลย!” คำพูดของฉินเฟิงตอบสนองฝูงชนในทันทีมีหลายคนที่สนใจจ้าวหลิงเซียน ทว่าพวกเขาทุกคนรู้ตัวดีว่าพวกเขาไม่มีโอกาสกับจ้าวหลิงเซียนดังนั้น ถ้าพวกเขาเห็นจ้าวหลิงเซียนจูบฉินเฟิงอย่างน้อยพวกเขาก็ยังสลับตัวฉินเฟิงกับตัวพวกเขาในจินตนาการได้
“งี่เง่า!” สุดท้ายแล้วจ้าวหลิงเซียนก็ไม่มีความกล้าที่จะจูบฉินเฟิงต่อหน้าทุกคน
จู่ๆเธอก็นึกถึงตอนที่ฉินเฟิงปฏิเสธการหมั้นต่อหน้าผู้คน ถ้าเธอจูบฉินเฟิงหลังจากนั้นละก็เธอคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
เธอจ้องฉินเฟิงอย่างโกรธจัดแล้วก้มหัวลงพร้อมกับวิ่งออกจากห้องเรียน ไม่มีใครเห็นว่าแก้มของเธอแดงรางๆ
เมื่อเห็นแบบนี้หลินเป้ยเป้ยก็รู้สึกหม่นหมองนิดๆเธอไม่คิดว่าฉินเฟิงจะขอจ้าวหลิงเซียนจูบในที่สาธารณะดูเหมือนว่านายน้อยฉินก็คือนายน้อยฉิน กะล่อนและเ้าชู้ พวกเขาอยู่กันคนละโลก
เธอมองฉินเฟิงรู้สึกถึงการสูญเสียขณะที่ค่อยๆ เดินออกจากห้องเรียน
เมื่อเห็นว่าสาวสวยวิ่งหนีไปแล้วฉินเฟิงก็ไม่รู้จะอยู่ต่อเพราะอะไร หลังจากที่เดินออกจากห้องเรียนเขาเตรียมจะปั่นจักรยาน 28 นิ้วกลับโรงแรมหวงเจียเพื่อพักผ่อน ทว่าหลังจากที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยเขาได้เห็นหยุนเซียวกับผู้ชายกำลังโต้เถียงบางอย่างอย่างเข้มข้น
ฉินเฟิงรีบปั่นไปหาทันที
“เซี่ยวเซียว ครอบครัวเราได้กำหนดการแต่งงานของเราั้แ่ครึ่งปีก่อนแล้วแต่เธอก็คอยหลบหน้าฉันตลอด ถึงขนาดหนีออกจากเมืองหลวงมาที่เล็กๆอย่างเมืองเว่ยเฉิง ในฐานะสมาชิกของตระกูลหยุนแห่งเมืองหลวงเธอหนีเื่นี้ไปไม่ได้หรอก แม้ว่าเธอจะหนีไปสุดขอบโลก ฉันก็สามารถหาเธอเจอแค่แต่งงานกับฉันและทำให้ครอบครัวเรามีความสุข นั่นมันดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว”
คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามหยุนเซียวคือชายหล่อรูปร่างสูงเธอมองออกไปขณะที่ตอบอย่างไร้อารมณ์“การแต่งงานนั่นถูกจัดขึ้นโดยครอบครัวของเราอย่างกะทันหัน และฉันก็ไม่เคยเห็นด้วยเหวยเสียวเหล่ย ฉันไม่มีความรู้สึกอะไรกับคุณ ดังนั้นเลิกตอแยฉันสักที”
หลังจากพูดจบหยุนเซียวก็หันหลังเพื่อจะออกไปสายตาของเหวยเสียวเหล่ยประกายความเยือกเย็นออกมาขณะที่เอื้อมมือไปจับหยุนเซียวแต่ทันใดนั้นก็มีคนโผล่มาขวางเขา