ที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งมีพลังิญญารวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นยิ่งนัก มีเมฆดำจำนวนมากแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า ทั่วทั้งพื้นที่ว่างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดิน เหนือค่ายกลนำส่งมีค่ายกลเวทขนาดั์อยู่ชุดหนึ่งเปล่งแสงปกคลุมรัศมีกว่าสิบลี้
ฉินอวี่ยืนอยู่บนค่ายกลนำส่ง กวาดสายตามองไปโดยรอบ ระหว่างคิ้วของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เดิมที่เขาคิดว่าแดนขัดเกลาอยู่ในแดนแสนภูผาที่รายล้อมสำนักยุทธ์ว่านจ้ง แต่เมื่อมองจากโดยรอบแล้ว ไม่น่าจะเป็เช่นนั้น
สถานที่แห่งนี้เป็เหมือนพื้นที่ว่างในช่องเวลาอันโดดเดี่ยว ราวกับแดนลึกลับ หรือโลกเล็กๆ อีกใบหนึ่ง
“ศิษย์น้องฉิน ระวังตัวให้มาก อย่าให้พลาดกับเวลาในการออกมา เวลาใกล้เข้ามาแล้วพวกเราขอตัวก่อน” ฉู่เยว่ฉานพูดก่อนจะจากไป แม้ว่านาง้าให้ฉินอวี่เข้าร่วมไปกับกลุ่มของนาง แต่ครั้งนี้นางไม่ใช่ผู้นำกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พวกเขาต้องเข้าไปเขตต้องห้าม หากมีฉินอวี่ติดตามไปด้วย นางก็ไม่อาจจะว่อกแว่กมาทางฉินอวี่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่บังคับเขา
หลังจากมองฉู่เยว่ฉานจากไปแล้ว ฉินอวี่ก็หยิบแผนที่ซึ่งฉู่เยว่ฉานมอบให้เขาออกมา จากนั้นจึงเหลือบมองแผ่นศิลาที่เขียนว่า “เขตแดนเหนือ” ที่ด้านข้างค่ายกลนำส่ง ฉินอวี่จึงแน่ใจในตำแหน่งของตนเอง ว่าตอนนี้เขาอยู่ในเขตพื้นที่ทางตอนเหนือแล้ว
“ศิษย์น้องฉิน ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน?” จางอี้เหวินที่ยืนอยู่ข้างฉินอวี่ กวาดสายตามองไปโดยรอบ และถามขึ้นทันที
ฉินอวี่ไม่ได้ตอบคำถาม หลังจากจดจำแผนที่ทั้งหมดเอาไว้ ฉินอวี่ก็เหลือบตามองม่านแสงพลังเวทที่อยู่บนฟ้า “พวกเราอยู่ในเขตปลอดภัย...” ฉินอวี่ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ สายตาของเขากลับมองเห็นม่านแสงพลังเวทเกิดขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ทันใดนั้นเสียงที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น
“ศิษย์น้องชายหญิงทุกท่าน ข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความ ทุกคนสามารถออกไปจากกลพลังเวทนี้ได้ เพียงแค่มอบแต้มสนับสนุนมายี่สิบแต้ม เวลามีจำกัด พวกเรามีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม หลังจากหนึ่งชั่วยามไปแล้ว หากพวกเ้าไม่มอบให้ตามกำหนดเวลา เช่นนั้นก็รออยู่ในนี้เป็เวลาหนึ่งปี”
ทุกคนต่างหันมองไปในทิศทางของเสียงที่ดุดันนั้น แต่กลับพบกับศิษย์สวมหน้ากากในชุดคลุมดำจำนวนเจ็ดคนกำลังยืนอยู่ด้านนอกม่านแสงพลังเวท ซึ่งคนที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่คือหนึ่งในนั้น
มีศิษย์จำนวนกว่าสามร้อยคนที่อยู่รอบค่ายกลนำส่ง หากทุกคนต้องมอบแต้มสนับสนุนออกไปคนละยี่สิบแต้ม หากรวมกันแล้วก็จะได้แต้มสนับสนุนราวๆ หกพันแต้มเลยทีเดียว คนทั้งเจ็ดคนนี้ช่างหิวกระหายเสียจริงๆ พวกเขา้าใช้แดนขัดเกลาแห่งนี้เป็ที่แสวงหาโชคลาภเงินทอง
“ฮ่าๆ ช่างโอหังยิ่งนัก กล้าอาศัยพลังเวทที่ปกคลุมอยู่นี้ออกมาหาเื่ขัดขวางทางหรือ?” มีศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความโกรธ
“ยี่สิบแต้ม? ทำไมพวกเ้าไม่ปล้นเสียเลยล่ะ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน ตามข้าไปทำลายค่ายกลพลังเวทนี้เถอะ แล้วจับคนทั้งห้านี้ส่งให้สำนักลงโทษ”
“ร่วมกันโจมตี จับตัวทั้งห้าคน ส่งมอบให้สำนักลงโทษ!”
ศิษย์ทั้งสามร้อยกว่าคนต่าง้าเรียกร้องความเป็ธรรม แต่ละคนต่างนำอาวุธิญญาออกมาและโจมตีม่านแสงพลังเวท ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน ว่ายังไม่ทันได้พบอสูรร้ายแม้แต่ตัวเดียว แต่กลับถูกศิษย์ในสำนักดักปล้นไปเสียก่อน สิ่งนี้จึงทำให้ศิษย์ทุกคนต่างโกรธเคืองยิ่งนัก
“ให้ตายเถอะ ข้าว่าทั้งห้าคนนี้คงจะเป็บ้าไปเพราะเื่แต้มสนับสนุนเสียแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าก่อเื่ที่น่าไร้ยางอายเช่นนี้” จางอี้เหวินผู้ออกไปอย่างโกรธเคือง จากนั้นจึงเรียกกระบี่ิญญาเล่มหนึ่งออกมาและเริ่มเข้าโจมตี
ที่เขาต้องโกรธเช่นนี้ ก็เป็เพราะเขาต้องจ่ายสิบห้าแต้มในตอนที่ฉินอวี่ใช้ให้เขาไปซื้อแผนที่ของแดนขัดเกลา ในตอนนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาจึงมีอยู่ไม่เกินสิบแปดแต้ม แต่การจะออกไปได้ต้องแลกมาด้วยยี่สิบแต้ม... ซึ่งนี่หมายความว่า หากไม่ทำลายค่ายกลพลังเวทนี้ เขาก็คงไม่ต้องคิดถึงเื่ที่จะเข้าไปในแดนขัดเกลาแล้ว หากเป็เช่นนี้ต่อไป... เขาไม่มีทางได้กลวิชาจากฉินวี่แน่ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร
ฉินอวี่กวาดสายตามองไปโดยรอบ แต่ไม่ได้โจมตีออกไป บุคคลทั้งเจ็ดนี้รอให้พวกฉู่เยว่ฉานและศิษย์หนุ่มระดับยอดฝีมือจากออกไปเสียก่อน จึงจะทำการเปิดกลพลังเวท ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ดังนั้น ฉินอวี่จึงมั่นใจว่ากลพลังเวทนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และคงจะเป็เื่ยากที่ศิษย์ทั้งสามร้อยจะทำลายค่ายกลพลังเวทนี้ลงได้
เพียงแต่ อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีพวกเขาคนหนึ่งอยู่ในค่ายกลพลังเวทแน่นอน
ดูเหมือนทั้งเจ็ดคนนั้นจะมีการวางแผนมาอย่างดี แต่ละคนต่างนั่งลงขัดสมาธิ คอยเฝ้ามองศิษย์เ่าั้ที่ติดอยู่ในทำการโจมตีค่ายกลพลังเวทอย่างบ้าคลั่ง
“ค่ายกลนี้เป็ค่ายกลเวทระดับห้า มีเพียงคนในขั้นกุมารทิพย์ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะทำลายได้ ข้าขอแนะนำว่าพวกเ้าอย่าได้สิ้นเปลืองพลังปราณไปเลย ถึงแม้พวกเ้าจะออกมาได้ ก็คงมีพละกำลังไม่พอจะสู้กับพวกอสูรร้ายที่ข้างนอกหรอก” ศิษย์สวมหน้ากากคนหนึ่งพูดเย้ยหยัน
“ค่ายกลเวทระดับห้า?” สีหน้าของศิษย์ทุกคนต่างออกไปทันที มีศิษย์บางคนเริ่มรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที ค่ายกลเวทระดับห้า เป็เื่ยากนักที่พวกเขาจะทำลายมันได้ เป็เื่ที่ดูไม่ชาญฉลาดเลยหากต้องสิ้นเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ รีบมอบแต้มสนับสนุนออกไป และออกไปจากที่นี่เสียดีกว่า
“ข้า... ข้ายินดีจะแลกแต้มสนับสนุน!” ไม่นาน ก็มีศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูไม่พอใจ
เมื่อมีคนที่หนึ่ง ก็ย่อมมีคนที่สอง และมีศิษย์ที่ยอมหยุดการโจมตีมากขึ้นเรื่อยๆ ยินดีแม้จะล้มละลาย
ฉินอวี่เหลือบมองศิษย์ที่เอ่ยปากขึ้นคนแรก ด้วยดวงตาเป็ประกาย แต่ฉินอวี่ไม่ได้พูดอะไรออกไป และได้แต่เฝ้ารอต่อไป
“เ้านี่รู้สถานการณ์จริงๆ ใช้ได้เลยทีเดียว เช่นนั้นข้าจะยกเว้นแต้มสนับสนุนของเ้าก็แล้วกัน แต่เ้าจะต้องช่วยข้าเก็บแต้มสนับสนุน จริงสิ ใครเข้ามาร้อยอันดับแรกจะใช้เพียงสิบห้าแต้มก็จะออกจากการขัดขวางได้” ศิษย์คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็ผู้นำของทั้งเจ็ดคน ได้ก้าวออกมาพูดศิษย์ที่เอ่ยปากขึ้นมาเป็คนแรก
ศิษย์ที่ขึ้นเอ่ยปากขึ้นมาคนนั้นมีใบหน้าแดงก่ำ และพยักหน้าอย่างรุนแรง
“ข้าขอแลกแต้มสนับสนุน! ข้าก่อน!”
“ข้าก็ยินดีจ่ายเช่นกัน”
“อย่าแทรกสิ ข้ามาก่อน”
เหล่าศิษย์ที่ยังเรียกร้องความเป็ธรรมและโกรธเคืองอยู่ก่อนหน้านี้ต่างวุ่นวายขึ้นทันที แต่ละคนต่างแย่งกันเข้าแถวเพื่อทำการแลกแต้ม ซึ่งตอนนี้จางอี้เหวินก็เข้าร่วมกับพวกเขาเช่นกัน
“ศิษย์น้องฉิน เ้าจะยืนงงอยู่ทำไม? รีบเข้าแถวเร็วเข้า หากมัวแต่ชักช้าจะต้องจ่ายเพิ่มอีกห้าแต้มเชียวนะ” จางอี้เหวินมองไปทางฉินอวี่ที่ยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว และอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างกังวล ก่อนหน้านี้บอกว่าต้องใช้ยี่สิบแต้ม เขามีเพียงสิบแปดแต้ม ดังนั้นจึงได้เข้าร่วมโจมตี แต่ตอนนี้จำนวนหนึ่งร้อยอันดับแรกจะจ่ายเพียงสิบห้าแต้ม จางอี้เหวินจะโจมตีต่อไปเพื่ออะไร?
ฉินอวี่จ้องไปยังชายหนุ่มสวมหน้ากากที่เอ่ยปากขึ้นคนแรก สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่นึกไม่ถึงคือ เมื่อดูจากเสียงที่พูดออกมา เขาคือถังอีิ ชายหนุ่มที่ซื้อโอสถเพลิงอัคคีไป และสิ่งที่ทำให้ฉินอวี่คาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือ ถังอีิผู้นี้ไม่ฉลาดเอามากๆ จึงไม่ปกปิดแม้แต่เสียงของตนเอง
แม้ว่าฉินอวี่ฉินอวี่ยังไม่ได้สอบถามที่มาที่ไปของถังอีิ แต่เขาเรียกอาจารย์ว่าท่านปู่ แสดงว่าสถานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดา และนึกไม่ถึงจริงๆ เลยว่าเขาจะเข้ามาทำเื่ชั้นต่ำช้าเช่นนี้ได้ในเขตของแดนขัดเกลา
“นี่ไม่ใช่ค่ายกลเวทระดับห้า เป็เพียงค่ายกลเวทระดับสี่สองชั้นเท่านั้นเอง หากทุกคนร่วมใจกัน ก็จะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ส่งเสียงพูดขึ้นมากะทันหัน เขาและถังอีิมีความขุ่นเคืองต่อกัน ด้วยนิสัยที่ขี้โกรธของถังอีิ นั่นย่อมแสดงว่าเป็เื่ที่เหมือนจะไร้จุดจบ เช่นนั้น สู้เริ่มทำลายมันลงทีละย่างก้าวยังจะดีกว่า
เมื่อเสียงของฉินอวี่ดังขึ้น ศิษย์ที่กำลังลังเลไม่พอใจอยู่นั้นต่างมีสายตาที่เปล่งประกาย ฉินอวี่ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปทางจุดที่อ่อนแอที่สุดของค่ายกล พร้ะโกนเสียงดัง “ตามข้าไปโจมตีจุดนี้?” พูดจบฉินอวี่ก็เรียกกระบี่ิญญาเล่มหนึ่งออกมา และแทงตรงไปทางนั้นทันที
ทันใดนั้น รัศมีของกระบี่ิญญาก็ส่องสว่างทั่วท้องฟ้า ทุกคนต่างชี้นิ้วไปทางจุดที่ฉินอวี่กำลังโจมตี และศิษย์ที่กำลังต่อแถวอยู่นั้นดูประหลาดใจไปอย่างมาก แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
“เวิง!” ภายใต้การโจมตีของทุกคน ค่ายกลเวทก็ส่งเสียงดัง ม่านแสงสั่นะเืและเริ่มมีรอยแตกเล็กน้อย
“ค่ายกลกำลังจะแตกแล้ว ทุกคนช่วยกันเร็วเข้า!” แม้ว่าจะประหลาดใจว่าฉินอวี่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือค่ายกลเวทระดับสี่ แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงการสั่นะเืและเริ่มปริออกของค่ายกล จางอี้เหวินก็ดีใจอย่างมาก เช่นนี้ก็สามารถรักษาสิบห้าแต้มนั้นไว้ได้อีก
เสียงะโของจางอี้เหวิน ทำให้ศิษย์ที่ตั้งใจจะนำแต้มคะแนนไปแลกต่างมาร่วมมือกันมากขึ้น
ศิษย์สวมหน้ากากในชุดดำที่อยู่ด้านนอกลุกขึ้นยืนทันที แต่ละคนต่างจ้องไปทางฉินอวี่อย่างโกรธเคืองยิ่งนัก จนอยากจะเอามีดดาบพันเล่มทิ่มแทงฉินอวี่เสียให้ตาย
“ไปกันเถอะ!” ถังอีิเหลือบมองฉินอวี่อย่างโกรธเคือง ทันใดนั้นก็ส่งเสียงอย่างหนักแน่น หากพวกเขาอยู่ที่นี่จนถึงเวลาที่ค่ายกลแตกออก พวกเขาจะต้องถูกศิษย์ที่กำลังโกรธจับฉีกเป็ชิ้นๆ แน่นอน ถึงแม้พวกเขาจะหลบหนีไปได้ก็อาจกลายเป็การเปิดเผยตัวตน และหากตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผย ในสำนักยุทธ์ว่านจ้งคงจะไม่เหลือพื้นที่ให้พวกเขาได้ยืนอีกต่อไป
หลังจากทั้งเจ็ดคนจากไป ทำให้ศิษย์ทุกคนต่างเพิ่มพลังการโจมตี
ในไม่ช้า ภายใต้ความทุ่มเทอย่างบ้าคลั่งของทุกคน ค่ายกลเวททั้งสองชุดก็แตกสลายออกทันที ผู้คนต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี และกระจัดกระจายไปเหมือนผึ้งแตกรังทันที
ฉินอวี่อาศัยโอกาสนี้มุ่งหน้าไปในทิศทางที่พวกของฉู่เยว่ฉานเดินทางไป ฉู่สยงเคยเข้ามายังแดนขัดเกลาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้น เขาคงจะรู้จักเขตต้องห้ามดีระดับหนึ่ง หรืออาจพูดได้ว่าในเขตต้องห้ามจะต้องมีอะไรที่ดึงดูดใจฉู่สยงเป็พิเศษ
“รอข้าด้วย ศิษย์น้องฉิน เ้าจะรีบวิ่งไปไหน?” เมื่อจางอี้เหวินเห็นว่าฉินอวี่กำลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบตามไปทันที
ความเร็วที่ฉินอวี่ใช้อยู่นั้นรวดเร็วมาก เขาแค่้าสลัดจางอี้เหวินให้พ้นตัว คนผู้นี้มีบางสิ่งแอบแฝงในใจ การเข้ามาในแดนขัดเกลา อาจพบเจออันตรายได้ทุกเมื่อ ฉินอวี่ไม่้าใช้เวลาเหล่านี้ไปกับการเฝ้าระวังจางอี้เหวิน และสาเหตุที่เขา้าสลัดจางอี้เหวินออกไป ก็เพื่อให้ตนเองได้ใช้ชีวิตในแดนขัดเกลาตามความตั้งใจของตนเอง
จางอี้เหวินไล่ตามเขาอยู่เกือบหนึ่งในสี่ชั่วยาม ทันทีที่ออกมาจากค่ายกลขนาดใหญ่ได้ เขาก็มองไม่เห็นเงาร่างของฉินอวี่แล้ว? สีหน้าของจางอี้เหวินประหลาดใจยิ่งนัก “ทำไมเขาจึงมีความรวดเร็วเช่นนี้
“เดี๋ยวนะ!!”
“หรือเขาคิดจะปล่อยตนเองไปตามยถากรรม? หรือเขาจะรู้เจตนาของข้ามานานแล้ว? และหมายความว่าหลายเดือนมานี้เขากำลัง... กำลังหลอกข้า?” ในใจของจางอี้เหวินโกรธเคืองขึ้นเป็อย่างมาก และะโร้องออกมาด้วยความโกรธ
