เวินเทาดูไม่ได้มีาแอะไรเท่าไรนักแค่ตรงแก้มมีรอยบวมแดงนิดหน่อย มันคือร่องรอยที่ถูกหลินหยางสั่งสอนมานั่นเองแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาพูดเื่นั้นไม่มีใครคิดเลยว่าเวินติ่งเทียนจะกลับมาพร้อมกับครอบครัวตระกูลโอวหยาง
หน่วยรบที่ตกแต่งอย่างหรูหราซึ่งเป็ตัวแทนของสองตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองอวิ๋นเฉิงแม้แต่รถม้าที่เวินติ่งเทียนและประมุขตระกูลโอวหยาง โอวหยางกงนั่งกันมายังถูกตกแต่งอย่างประณีตในทุกๆ ส่วน มูลค่าหลายหมื่นตำลึงโดยเฉพาะของโอวหยางกงนั้น ได้ยินมาว่าแค่ผ้าม่านที่มุงอยู่ด้านนอกเพียงอย่างเดียวก็ทำมาจากผ้าไหมที่ทอมาจากใยของ‘ตัวไหมหมอกหิมะ’ ช่วยให้ในฤดูหนาวก็ยังคงอบอุ่นส่วนฤดูร้อนก็ยังเย็นสบาย ราคาของมันสูงมากถึงหลายแสนตำลึง
“อ้าว นั่นมันโอวหยางเฟิงไม่ใช่หรือ? มันมาทำอะไรที่นี่?”
ในสายตาของเวินโฮ่วมองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังของอาชาเกร็ดหิมะตัวหนึ่งท่ามกลางกองทัพนั้นชายหนุ่มผู้นั้นก็คือ คุณชายผู้โด่งดังแห่งเมืองอวิ๋นเฉิง โอวหยางเฟิง
พอเห็นโอวหยางเฟิงเข้าแววตาของเวินเทาก็หม่นหมองลงไปหลายส่วน สาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มจอมหยิ่งผยองดุจั์ผู้นี้ยังต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก็เพราะว่าโอวหยางเฟิงได้รับตำแหน่งที่เขาใฝ่ฝันและไล่ตามไขว่คว้ามานาน - ตำแหน่งสี่ัน้อยแห่งเมืองอวิ๋นเฉิง นั่นเอง
จะมีเพียงแค่ชายหนุ่มสี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองอวิ๋นเฉิงและต้องเป็คนที่มีอายุไม่ถึงสิบแปดปีด้วย ถึงจะได้รับฉายาสี่ยอดันน้อยแห่งเมืองอวิ๋นเฉิง แม้ว่าฝีมือในด้านวรยุทธ์ของเวินเทานั้นแทบจะไร้คู่ต่อกรแล้วแต่เขาก็รู้ตัวเองว่า ฝีมือของเขาเมื่อเอาไปเทียบกับคุณชายคนนั้น คนที่ดูเอื่อยเฉื่อยและดูอ่อนแอ แต่กลับมีความสามารถที่สูงมากจนทิ้งห่างเวินเทาไปแบบแทบไม่เห็นฝุ่น
ส่วนเวินชิงชิงที่หลังจากเห็นหน้าของโอวหยังเฟิงเข้าก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที
หรือว่าที่ตระกูลโอวหยางมาด้วยในวันนี้ เป็เพราะว่าจะมาคุยเื่การหมั้นของตัวนางเองกับโอวหยางเฟิงอย่างนั้นหรือ?
เื่การหมั้นเป็เื่ที่นางไม่อยากนึกถึงมากที่สุดมาโดยตลอดนางรู้จักกับโอวหยางเฟิงมาั้แ่เด็กส่วนเื่การหมั้นก็เป็แค่เื่ที่พูดกันเล่นๆ ระหว่างสองบ้านเท่านั้น แต่เมื่อนางโตขึ้นนางกลับไม่อยากแต่งงานกับคุณชายโอวหยางเฟิงคนนั้นเลย เื่การหมั้นของนางจึงยื้อดึงเวลาเอาไว้มาจนถึงตอนนี้
แล้วตระกูลโอวหยางนั่นทำไมถึงต้องเลือกมาวันนี้ด้วย? ถ้าอย่างนั้นหลินอี้ก็อาจจะบังเอิญมาพบเข้ากับคนพวกนี้สิ...
เวินชิงชิงเริ่มรู้สึกได้ถึงลางร้าย
นางไม่รู้ว่าการมาของตระกูลโอวหยางและหลินอี้ในครั้งนี้จะทำให้คฤหาสน์ตระกูลเวินแห่งนี้ปั่นป่วนมากแค่ไหน?
ไม่นานนักทั้งกองทัพก็ได้มาถึงหน้าประตูของคฤหาสน์ ผู้นำตระกูลอันยิ่งใหญ่สองท่านค่อยๆ ก้าวเท้าลงมาจากรถม้าของตัวเอง
เวินติ่งเทียนไม่ใช่คนตัวสูงแต่เขามีร่างกายที่กำยำแข็งแรง มีดวงตาขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีแววตาที่แหลมคมยากที่จะจ้องมองตรงๆ ได้ ส่วนที่เด่นชัดที่สุดคือฝ่ามืออันหยาบกร้านที่มีข้อต่ออันใหญ่โตซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน มือที่เคยผ่านการสร้างอาวุธิญญาที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองอวิ๋นเฉิงและเป็มือที่เคยบดขยี้หัวสมองของศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด
ตอนที่เวินติ่งเทียนก้าวลงจากรถม้านั้นทุกคนที่มีความสามารถต่ำกว่าระดับเซียนเทียนล้วนรู้สึกอึดอัดเหมือนจะหน้ามืดมันเป็อาการที่เกิดขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เหล่ายอดฝีมือแผ่ออกมา ความรู้สึกเหมือนมีก้อนหินขนาดมหึมากำลังกดทับอยู่จนหายใจไม่ค่อยออกโดยเฉพาะคิ้วที่กำลังขมวดเป็ปมอยู่นั่น ดูแล้วน่าจะไม่ใช่พวกอารมณ์ดีสักเท่าไรนั่นยิ่งทำให้คนรอบข้างรู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่
ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านข้างนั้นคือประมุขตระกูลโอวหยาง โอวหยางกง
โอวหยางกงเป็ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์บนใบหน้ามักจะปรากฏรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกสนิทชิดเชื้อเป็อย่างมากอยู่ตลอดเวลาแต่ผู้คนที่อยู่ตรงนี้ต่างรู้กันดีว่า ภายใต้ใบหน้าอันเป็มิตรนั่นเต็มไปด้วยแผนการสุดเ้าเล่ห์และโเี้อำมหิต
“เคารพท่านประมุข!”
“ยินดีต้อนรับท่านโอวหยาง!”
เสียงทำความเคารพดังกระหึ่มขึ้นบริเวณประตูหน้าคฤหาสน์เวินติ่งเทียนไล่มองดูประตูบ้านอันคุ้นเคย และเหล่าลูกๆ ของตนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งที แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นาแบนใบหน้าของลูกชายทั้งสองคน จึงขมวดคิ้วขึ้น
“เวินชงในบ้านมีปัญหาอะไรหรือไม่?” เขาหันไปถามพ่อบ้านชราผู้หนึ่งของตระกูลเวินชายชราผู้นี้ติดตามเวินติ่งเทียนมานานหลายปีแล้ว มีนิสัยซื่อสัตย์ใจดี เขาสามารถดูแลจัดการเื่ราวภายในบ้านได้เป็อย่างดีแต่กลับไม่สามารถดูแล้วเหล่าคุณหนูคุณชายจอมเอาแต่ใจเหล่านี้ได้
“เอ่อ...เรียบร้อยดีขอรับ เชิญท่านประมุขเข้ามาด้านในก่อนขอรับ!”เวินชงสบตากับเวินติ่งเทียนไปครู่หนึ่งเขารู้ว่าการพบกันครั้งนี้สำคัญมาก จึงไม่ได้เปิดเผยเื่อะไรออกไปทั้งสิ้นแล้วจึงเชิญให้เวินติ่งเทียนและโอวหยางกง รวมถึงเหล่าผู้ติดตามให้เข้าไปในคฤหาสน์
“ดีมากพี่น้องโอวหยาง เชิญ!” เวินติ่งเทียนกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้มแข็งเกร็งเชิญให้โอวหยางกงเข้าไปในคฤหาสน์
“ฮ่าฮ่าได้” โอวหยางกงยิ้มออกมาจนดูคล้ายกับพระศรีอริยเมตไตรยแต่กลับไม่สามารถซ่อนแววตาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหายได้เลย เขาหันไปบอกลูกชายของเขาโอวหยางเฟิง ที่อยู่ข้างๆ ว่า “เฟิงเอ๋อร์เดี๋ยวพ่อกับลุงเวินของเ้ามีเื่จะพูดคุยกันเสียหน่อยเ้าคอยอยู่คุยกับคุณชายทั้งสองของตระกูลเวินไปก่อนนะไม่แน่ว่าอีกหน่อยพวกเ้าก็จะได้เป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“ครับ! ท่านพ่อ” โอวหยางเฟิงผงกหัวตอบรับด้วยท่าทางสบายๆ
หลังจากได้ยินบทสนทนาแบบนี้ไปก็เข้าใจได้ทันทีว่าสาเหตุที่พวกตระกูลโอวหยางมาวันนี้เพื่อคุยเื่การหมั้นนั่นเอง
ไม่มีใครแสดงอารมณ์ออกมาทางใบหน้าเลยทำแค่เพียงส่งสายตาหลากหลายอารมณ์ไปทางเวินชิงชิง ส่วนคุณหนูแห่งตระกูลเวินผู้นั้นตอนนี้กำลังตาแดงก่ำกัดฟันแน่นไม่ยอมพูดอะไรอีก แต่ไม่ว่าใครต่างก็สามารถรับรู้ได้ถึงความไม่ยินยอมและความไร้ทางสู้ของนาง
..................................
หลังจากนั้นไม่นานผู้คนก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์เวินจนหมด เวินติ่งเทียนเรียกใช้ที่ปรึกษาผู้าุโสองคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดให้เข้าไปยังห้องรับแขกของตระกูลเวินพร้อมกันกับตัวเองและโอวหยางกงเป็ห้องโถงที่มีขนาดกว้างใหญ่ – ห้องคว้าเมฆา
ส่วนคนที่เหลือต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองตามที่เวินชงได้จัดแจงไว้แต่สายตาของทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปยังประตูบานใหญ่ของห้องคว้าเมฆาห้องนั้นพวกเขาต่างก็เกรงว่า วันนี้อาจจะเกิดเื่วุ่นวายครั้งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ดุจลมพายุพัดถล่มขึ้นในคฤหาสน์หลังนี้
หลังจากเวลาผ่านไปแล้วราวครึ่งวัน
ภายในห้องคว้าเมฆาหนึ่งในผู้าุโทั้งสองคนที่เข้าไปในห้อง ถังหง โยนกระดาษรายชื่อสินสอดที่โอวหยางกงเสนอให้ลงบนโต๊ะดังปึงใบหน้าสูงอายุนั่นเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ท่านประมุขโอวหยางนี่ท่านล้อเล่นอะไรของท่านกัน! จะหมั้นก็หมั้นไปจะมอบสินสอดให้ก็มอบไป แต่เมื่อครู่ที่ท่านบอกว่าจะส่งคนเข้าไปในโรงงานช่างทั้งสิบสามแห่งของครอบครัวตระกูลเวินเรานั่นท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“หึหึ...”โอวหหยางกงเหมือนจะพอเดาได้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเข้าเผยอยิ้มพลางหยิบถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาค่อยๆ ดื่มไปหนึ่งคำ “ความหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อตระกูลเวินและตระกูลโอวหยางเรามารวมกันเป็เครือญาติเดียวกันแล้วทางเราก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระให้เครือญาติของเราอยู่แล้วสิ”
ถังหงยิ้มอย่างเ็า “คำพูดน่าฟังดีนี่ถ้าอย่างนั้นให้คนของตระกูลเวินของเราเข้าไปช่วยในโรงหลอมยาทั้งหมดของเ้าในเมืองอวิ๋นเฉิงนี้บ้างได้ไหม?”
โอวหยางกงปรายตามองไปที่ถังหงด้วยสายตาเ็าแล้วก็ไม่ต่อปากต่อคำด้วยอีกแต่หันไปมองที่เวินติ่งเทียนที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้ามืดหม่น “อะไรกันพี่น้องเวิน? ตอนนี้เ้าไม่มีอำนาจตัดสินใจในตระกูลเวินแล้วหรือ?”
“เ้า!”ถังหงโมโหจนหนวดกระตุก
โอวหยางกงนี่มันรังแกคนมากเกินไปแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าตระกูลเวินตอนนี้กำลังมีปัญหาภายในกับราชสำนักอยู่แต่เ้านี่กับได้ทีขี่แพะไล่ ปากบอกจะขอหมั้นให้ลูกชายแต่สิ่งที่มันทำคือการปล้นชิงชัดๆอาศัยตอนที่กำลังเดือดร้อนเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ แย่งชิงกิจการภายในเมืองอวิ๋นเฉิงของตระกูลเวินไป
หน้าด้านไร้ยางอายที่สุด!
“ท่านผู้เฒ่าถังไม่เป็ไรหรอก” ในที่สุดเวินติ่งเทียนก็เปิดปากพูดแล้วเขาปลอบใจถังหง แล้วก็มองไปที่โอวหยางกงด้วยสีหน้าเรียบสงบ “พี่น้องโอวหยางความเมตตาของท่าน ข้าแซ่เวินรับรู้แล้ว เพียงแต่ชิงชิงยังอายุน้อย เื่นี้เรายังไม่ต้องรีบมากก็ได้”
“หึหึข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่น้องเวินคงไม่กล้าด่วนตัดสินใจ” โอวหยางกงแสยะยิ้มดุจหมาจิ้งจอกที่เผยไต๋ออกมาให้เห็นเขาล้วงเอารายชื่ออีกชุดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ “ไม่รู้ว่าถ้าทางเราเพิ่มของเหล่านี้ให้ด้วยจะช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ง่ายขึ้นบ้างหรือไม่”
เวินติ่งเทียนมีแววตาสงสัยแต่ไม่ได้ยื่นมือออกไป เขาให้ถังหงที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปรับรายชื่อนั่นมาดู หลังจากนั้นสีหน้าของยอดฝีมือระดับเซียนเทียนผู้นี้ก็เปลี่ยนไปทันที
“ผลึกิญญาต้นกำเนิด...หนึ่งตัน!”
แค่ข้อแรกในรายชื่อนั้นก็ทำให้ถังหงเริ่มตื่นเต้น
ผลึกิญญาต้นกำเนิดเป็วัตถุดิบที่คนในวงการช่างไม่มีใครไม่รู้จักมันมีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่มีวัตถุดิบไหนสามารถมาแทนที่ได้ นั่นก็คือ ‘คุณสมบัติิญญา’ ที่มีอยู่ในอาวุธิญญานั่นเอง
สาเหตุที่อาวุธิญญามีน้อยนั่นเป็เพราะว่า ปริมาณผลึกิญญาต้นกำเนิดในอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นนั้นน้อยมากๆแค่หนึ่งชั่งก็มีราคาสูงถึงหนึ่งหมื่นตำลึงแล้ว ดังนั้นผลึกิญญาต้นกำเนิดจำนวนหนึ่งตันจะมีมูลค่าสูงถึงยี่สิบล้านตำลึงแม้แต่กับตระกูลเวินก็ยังถือว่าเป็จำนวนที่มหาศาลอยู่ดี
“หึหึลองดูอันต่อไปเถอะ” โอวหยางกงส่งเสียงหัวเราะอย่างเ้าเล่ห์
เขารู้ว่าสถานการณ์ภายในตระกูลเวินเป็อย่างไรเขายิ่งมั่นใจในข้อเสนอที่เขาหยิบยื่นให้ตระกูลเวินในตอนนี้ไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอของเขาได้แน่นอน
“ศิลาหยกขาวห้าตันผลึกแปดทรัพย์สามตัน ศิลาพระแม่เมฆาสิบห้าตัน...”
บนหัวของถังหงตอนนี้เริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาของที่อยู่ในรายชื่อยาวๆ นี่ล้วนเป็วัตถุดิบที่มีมูลค่าค่อนข้างสูงแต่ละรายการล้วนมีหน่วยเป็หลักตัน มูลค่าที่คำนวณออกมาได้นั้นสูงจนน่าใจหายและที่สำคัญคือแต่ละอย่างล้วนเป็วัตถุดิบที่ตระกูลเวินจำเป็ต้องใช้อย่างเร่งด่วนทั้งนั้นเป็ข้อเสนอที่น่าดึงดูดมาก
ยังมีอีก!
ถังหงอ่านไปถึงชื่อสุดท้ายในรายชื่อนั้นก็ถึงกับตาค้างไปเลย
“พิมพ์เขียวของอาวุธิญญาขั้นต่ำหนึ่งร้อยฉบับ...ขั้นกลางสิบฉบับและขั้นสูงอีกสามฉบับ!”
ประโยคสุดท้ายที่ว่าพิมพ์เขียวของอาวุธิญญาขั้นสูงสามฉบับ ถึงกับทำให้เวินติ่งเทียนตาโต
“หึหึพี่น้องเวิน ข้ารู้ว่าอีกครึ่งปีหลังจากนี้ จะมีการจัดเทศกาล ‘ขุมทรัพย์สมบัติิญญา’ เมื่อถึงตอนนี้แล้วถ้าตระกูลเวินยังไม่สามารถสร้างอาวุธิญญาดีๆ ได้อีกก็จะพ่ายแพ้ให้กับนักการช่างท่านนั้นของตระกูลเฉินแล้ว ข้าจำได้นะว่าท่านให้คำสัตย์สาบานกับท่านหวังจากราชสำนักว่า-ถ้าท่านแพ้ให้กับตระกูลเฉินท่านก็จะต้องแบ่งโรงงานช่างครึ่งหนึ่งให้กับตระกูลเฉินด้วยอีกทั้งช่องทางการค้าขายกับทางราชสำนักก็จะถูกตระกูลเฉินยึดไปด้วย...การแข่งครั้งนี้ตระกูลเวินของท่านจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด...ดังนั้น พิมพ์เขียวของอาวุธิญญาขั้นสูงสามฉบับนี้แค่ท่านใช้เวลาสักหน่อย ตั้งใจศึกษามัน รวมกับวัตถุดิบต่างๆ ที่ข้าเสนอให้เมื่อถึงเวลานั้นแล้วท่านจะต้องสามารถสร้างอาวุธิญญาระดับสูงที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมจนทุกคนต้องใได้และสามารถเอาชนะตระกูลเฉินได้แน่นอน ข้อเสนอดีๆ แบบนี้ท่านยังจะลังเลอยู่อีกหรือ?”
โอวหยางกงมองไปยังใบหน้าของเวินติ่งเทียนพร้อมกับพูดกดดันเพิ่มขึ้นไปอีก
“ตระกูลโอวหยางของข้าหลอมยามาหลายชั่วอายุคนแต่เดิมเื่นี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะเฟิงเอ๋อร์ของเรามีความรู้สึกดีๆกับคุณหนูชิงชิงแล้วละก็ ข้าไม่มีทางเปลืองแรงไปหาวัตถุดิบเหล่านี้มาหรอก แต่...”
เมื่อโอวหยางกงพูดมาถึงตรงนี้แววตาพลันแปรเปลี่ยนเป็อำมหิต “ถ้าหากว่าท่านยังคงปฏิเสธความหวังดีของข้าอยู่อีกข้าก็คงเสียใจแล้ว เฉินเย่เซิงจากตระกูลเฉินกับข้าก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวนักไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นข้าอาจจะเอาของเหล่านี้ไปขายให้ตระกูลเฉินข้าเชื่อว่าเฉินเย่เซิงจะต้องรีบซื้อไว้ด้วยความยินดีแน่นอน...”
“โอวหยางกงเ้าข่มขู่พวกเรารึ!!” ถังหงที่อยู่ด้านข้างโมโหขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ข่มขู่มันคือการต่อรอง...” โอวหยางกงมั่นใจว่าตระกูลเวินต้องตกอยู่ในมือเขาแน่นอน“พิมพ์เขียวของอาวุธิญญาขั้นสูงทั้งหมดในอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นล้วนอยู่ในกำมือพวกเราสามตระกูลใหญ่แล้วต่อให้ท่านจะใช้เงินจำนวนมหาศาลไปซื้อมาจากอาณาจักรอื่น ไปมาก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำหลายเดือนแถมท่านยังต้องเตรียมวัตถุดิบต่างๆ อีก แถมยังต้องเอามาทดสอบก่อนด้วยไม่มีทางทันเวลาแน่นอน...ข้อเสนอที่ข้ามอบให้ในวันนี้เป็โอกาสสุดท้ายของตระกูลท่านแล้ว!”