ขอโทษรึ?
พจนานุกรมของจี้หย่าไม่เคยมีคำนี้มาก่อน
แม้ตอนอยู่อเมริกาเธอจะพูดคำว่า ‘Sorry’ อยู่บ่อยครั้ง แต่นี่คือคำที่ใช้เอ่ยตามมารยาทเท่านั้น เธอไม่เคยรู้สึกผิดจากใจจริงเลยสักครั้งน่ะสิ
ทำไมเธอถึงไม่กลับบ้านแต่มาอยู่ที่โรงแรมน่ะหรือ นั่นก็เพราะลึกๆ แล้วเธอรู้สึกกลัว
พอตั้งสติคิดให้ดี แม้แต่หนิงเยี่ยนฝานก็ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือ สถานการณ์เช่นนี้ยังอธิบายถึงความร้ายแรงของเื่ราวไม่ได้อีกหรือ?
ทังหงเอินเก่งกาจแค่ไหน ตอนนี้ตนเพิ่งรับรู้ หนิงเยี่ยนฝานไม่เห็นด้วยที่ตระกูลจี้จะปะทะกับทังหงเอินตรงๆ เพราะแม้จี้หลินจะเป็ข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศ แต่การที่จี้หย่ากับจี้เจียงหยวนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าทังหงเอินมีเส้นสาย
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนตอนที่จี้หย่าขอหย่าร้าง ตอนนั้นทังหงเอินตกอยู่ในสภาวะตกต่ำที่สุดของชีวิต จี้หย่ารู้สึกกลัว เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าวันเวลาที่ยากลำบากจะสิ้นสุดลงเมื่อไร สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเป็ทหารหนีทัพ!
ตอนนี้พอฟังคำพูดของจี้หลินจบ จี้หย่าก็รู้สึกเหลือเชื่อยิ่งนัก
ไม่ใช่แค่ต้องประนีประนอมกับทังหงเอิน แต่เธอทั้งยังต้องขอโทษเซี่ยเสี่ยวหลานอีกด้วยหรือ?
“ไม่มีทาง!”
จี้หย่าโพล่งออกไป
เธอจะขอโทษนักศึกษาคนหนึ่งได้อย่างไร
จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำผิด ไม่ว่าจะเป็ครั้งแรกที่ไปข่มขู่เซี่ยเสี่ยวหลาน หรือวันนี้ที่ไปดักรอเซี่ยวเสี่ยวหลานที่หน้ามหาวิทยาลัยก็ตาม
จี้หลินนั่งอยู่บนโซฟา กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าอย่างนั้นเธอก็เลิกคิดที่จะไปอยู่ที่อื่นได้เลย อยู่ที่จีนต่อไปนี่แล แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้”
จี้หย่าไม่อยากจะเชื่อ พี่ใหญ่ที่เคยตามใจเธอมาตลอดถึงกับใช้น้ำเสียงเข้มงวดเช่นนี้กับเธอ
เธอหันศีรษะไปหาจี้เจียงหยวน
“แม่ทำผิดอย่างนั้นหรือ? แม่ก็แค่อยากพาลูกกลับอเมริกาให้เร็วขึ้น...”
เธออยากขอแรงสนับสนุนจากจี้เจียงหยวน แต่จี้เจียงหยวนไม่สามารถทรยศต่อความรู้สึกของตัวเองด้วยการบอกว่าจี้หย่าพูดถูกต้องได้
“วางใจเถอะครับแม่ ผมจะกลับอเมริกากับแม่”
ั์ตาของจี้หย่าเปล่งประกายขึ้นมาในชั่วพริบตา
แต่จี้เจียงหยวนกลับหลบสายตาเธอ
วันนี้จี้หย่าไปอาละวาดที่มหาวิทยาลัยคงมีนักศึกษามุงดูอยู่ไม่น้อย และจี้หย่าไม่แม้แต่จะคิดปิดบังสถานะของตน แน่นอนว่าจี้เจียงหยวนจะมีหน้าเรียนที่หัวชิงต่อได้อย่างไร
“แต่แม่ต้องขอโทษเซี่ยเสี่ยวหลานครับ”
ประโยคหลังของจี้เจียงหยวนกระแทกจิตใจของจี้หย่าเข้าอย่างจัง
เธอไม่มีวันขอโทษ ทว่าตอนนี้จี้หลินกับจี้เจียงหยวนไม่มีใครยืนอยู่ข้างเธอเลย จี้หย่าตัดสินใจหยิบแก้วกับขวดไวน์ที่หัวเตียงมาปาลงพื้นจนแตกละเอียด วิธีนี้ใช้ได้ผลทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับมีเพียงจอร์จที่ตื่นตระหนก
จี้เจียงหยวนรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องนั้นตึงเครียดเกินไป เขาจึงเปิดประตูเดินออกไปข้างนอก ไม่สนใจเสียงร้องะโไล่หลังของจี้หย่าแม้แต่น้อย เขาลงไปชั้นล่าง ก่อนจะเดินเข้าสู่ค่ำคืนอันมืดมิด
ค่ำคืนในเดือนธันวาคมของกรุงปักกิ่งช่างหนาวเหน็บเหลือเกิน
จี้เจียงหยวนไม่รู้ว่าตนเดินมานานแค่ไหนแล้ว สายลมยามราตรีพัดพาเกล็ดหิมะมาปะทะลำคอของเขาอยู่ตลอดเวลา จี้เจียงหยวนไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเื่ราวถึงได้บานปลายมาจนถึงขั้นนี้ได้
หรือว่าเขาไม่ควรพบเจอกับพ่อบังเกิดเกล้า?
วันนั้นหากเขาไม่อยากรู้อยากเห็นจนตามเซี่ยเสี่ยวหลานไปโรงพยาบาล เขาก็จะสามารถรักษาความสงบสุขเอาไว้ได้ใช่หรือเปล่า!
กว่าจี้เจียงหยวนจะตั้งสติได้อีกครั้ง เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าบ้านพักข้าราชการเผิงเฉิงประจำกรุงปักกิ่งเสียแล้ว
ทังหงเอินเข้านอนไปนานแล้ว แต่จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเคาะ พนักงานกล่าวเสียงประหม่าว่า
“ท่านครับ ด้านนอกมีสหายท่านหนึ่งบอกว่าเป็ลูกชายของท่านครับ”
ทังหงเอินลุกจากเตียงขึ้นมาทันที “รีบให้เขาเข้ามา”
เขาคว้านาฬิกาข้อมือจากหัวเตียงมาดู 00:39 น. เวลานี้เจียงหยวนมาได้อย่างไรกัน?
ทังหงเอินรีบสวมเสื้อผ้าและเปิดประตูห้อง จี้เจียงหยวนยืนอยู่หน้าประตู ขนคิ้วมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่ ทังหงเอินแตะมือและใบหน้าของลูกชายตามสัญชาตญาณ เย็นเยียบจนน่าใจหาย
“ลูกมาได้อย่างไร รีบเข้ามาก่อน!”
ความจริงสองพ่อลูกนั้นยังไม่สนิทกัน แม้จะนับรวมครั้งแรกที่เจอที่สนามกีฬา ทว่านี่ก็เป็เพียงครั้งที่สี่หลังพบหน้ากันอีกครั้งในรอบ 12 ปี อย่างไรสัญชาตญาณความเป็พ่อสามารถเอาชนะความเหินห่างได้ จี้เจียงหยวนมีปฏิกิริยาตอบสนองช้า กว่าจะรู้สึกตัวทังหงเอินก็จูงเขาเข้ามาในห้องเสียแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านพักข้าราชการไม่เลวนัก ห้องที่ทังหงเอินอาศัยอยู่มีห้องน้ำส่วนตัว ทังหงเอินหยิบเสื้อผ้าสะอาดของตนออกมาชุดหนึ่ง ก่อนจะดันตัวจี้เจียงหยวนเข้าไปในห้องน้ำ
“อาบน้ำอุ่นก่อน อาบนานๆ หน่อยล่ะ”
ตระกูลจี้ต้องเกิดเื่อะไรขึ้นแน่ มิเช่นนั้นจี้เจียงหยวนคงไม่ถ่อมาถึงบ้านพักราชการกลางดึกแบบนี้
ที่จริงทังหงเอินยังไม่ได้ลงมือทำอะไรตระกูลจี้ด้วยซ้ำ เขาเพียงข่มขู่เท่านั้น หลายวันที่อยู่ในปักกิ่ง เขาอาศัยโอกาสนี้สะสางงาน เยี่ยมเยือนคนใหญ่คนโตของที่นี่เพื่อปรึกษาหารือเื่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งสิ้น แต่คนนอกไม่รู้เื่เหล่านี้ ดังนั้นย่อมมีข่าวลือออกไปว่าเขากำลังเล่นงานตระกูลจี้
ตอนจี้เจียงหยวนกำลังอาบน้ำอยู่นั้น ทังหงเอินคลำหาบุหรี่ตามความเคยชิน และพบว่าตู้หัวเตียงนั้นว่างเปล่า เขาคิดได้ว่าหลังผ่าตัดเสร็จหมอบอกให้เขาเลิกบุหรี่ ตอนอยู่เผิงเฉิงมีเลขาเผิงคอยจับตามอง พอมาถึงปักกิ่งเซี่ยเสี่ยวหลานก็เตือนสติเขาไว้สองครั้ง ตอนนี้เขาจึงไม่พกบุหรี่อีกแล้ว
ขณะยิ้มขันกับตัวเอง จี้เจียงหยวนออกมาจากห้องน้ำทันทีที่อาบน้ำเสร็จ
เขามีรูปร่างสูงกว่าทังหงเอิน ดังนั้นเสื้อคลุมที่ใส่จึงดูเล็กไปบ้าง
“ตรงนี้อยู่ใกล้กับเครื่องทำความร้อน ลูกนั่งลงอบอุ่นร่างกายเสียหน่อย ตัวอุ่นแล้วค่อยเล่าว่าไปเจอเื่อะไรมา”
จี้เจียงหยวนหนาวจนตัวแข็ง ตอนเดินอย่างไร้จุดหมายนั้นเขาไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย ทว่าพอน้ำอุ่นกระทบกับผิวกาย เขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมายันอวัยวะภายใน
“วันนี้แม่ของผมเธอไปหาเซี่ยเสี่ยวหลานอีกแล้วครับ เธอไปกับอาจอร์จ บอกว่าจะส่งเซี่ยเสี่ยวหลานไปต่างประเทศพร้อมผม คุณคิดว่าหากเธออยู่ที่จีน ทุกคนจะมีชีวิตสงบสุขได้หรือเปล่า”
เลือกทางเดินของตัวเองอะไรกัน มีแม่บังเกิดเกล้าเช่นนี้ จี้เจียงหยวนรู้สึกว่าตนไม่มีทางได้เลือกชีวิตของตัวเองอย่างแน่นอน
ไปหาเสี่ยวหลานอีกแล้ว แถมยังบอกว่าจะส่งเสี่ยวหลานไปต่างประเทศพร้อมเจียงหยวนอีกด้วย?
ทังหงเอินรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมาะสม แต่เขาอยากหัวเราะออกมาจริงๆ จี้หย่าไม่เปลี่ยนไปเลย เธอยังคงเหมือนเมื่อก่อน
ทำอะไรไร้เดียงสา และมักจะทำตามความคิดของตัวเองเสมอ
สมัยสาวๆ ความไร้เดียงสาเช่นนี้ดูน่ารัก เอาแต่ใจหน่อยก็ไม่เป็ไร
แต่นี่อายุตั้งเท่าไรแล้ว เธอยังใช้ชีวิตอยู่ใน ‘ความไร้เดียงสา’ ดั่งเด็กสาวอายุยี่สิบต้นๆ อยู่เลย รอยยิ้มของทังหงเอินค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้า คนตระกูลจี้ไม่กลัวเขาเลยจริงๆ โดยเฉพาะจี้หย่า
—-----------------------------------------------
ไม่ทันไรสุดสัปดาห์ก็มาถึง กวนฮุ่ยเอ๋อบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปที่บ้านตระกูลโจว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงตื่นแต่เช้าตรูเพื่อเดินทางมาที่สถานีรถไฟ
หลังยืนรออยู่สักพัก รถไฟจากซางตูมายังปักกิ่งก็เทียบที่ชานชาลา เซี่ยเสี่ยวหลานเดินไปหาพนักงานรถไฟที่ช่วยนำสินค้ามาให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นพัสดุห่อใหญ่ให้กับเธอ
“ขอบคุณค่ะ!”
ความจริงนี่ไม่ใช่เื่ลำบากอะไร ช่วยขนส่งสินค้าย่อมได้รับค่าตอบแทน และพนักงานรถไฟ้ารายได้เสริมเช่นนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานวางพัสดุไว้ที่หลังรถจักรยาน ก่อนจะขี่มันตรงไปที่บ้านตระกูลโจว
กวนฮุ่ยเอ๋อรออยู่ที่บ้านมาโดยตลอด เมื่อพี่เจิงบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมาถึงแล้ว กวนฮุ่ยเอ๋อจึงค่อยๆ เดินลงมาชั้นล่าง และเธอพบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานหิ้วถุงใบใหญ่มาด้วย
“เธอเอาอะไรมารึ”
เธอไปช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานถึงมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพราะ้าให้เซี่ยเสี่ยวหลานเอาของมาให้เสียหน่อย
เซี่ยเสี่ยวหลานหยิบเสื้อขนเป็ดสีม่วงอ่อนจากถุงมาตัวหนึ่ง “คุณน้า ปีนี้ร้านของฉันขายเสื้อประเภทนี้เป็หลัก ใส่แล้วกันหนาวได้ดีมากค่ะ ระหว่างเนื้อผ้าก็ยัดขนเป็ดเอาไว้ด้วย เสื้อนี่ไม่ใช่ของมีมูลค่าอะไร ฉันจึงสั่งให้คนส่งมาให้สี่ตัว สำหรับคุณน้า คุณอาโจว แล้วก็คุณปู่กับคุณย่า ถ้าใส่แล้วถูกใจฉันจะให้คนส่งมาให้อีกค่ะ”
ก็แค่เสื้อขนเป็ดมิใช่หรือ
คนอื่นอาจจะทำใจซื้อไม่ได้ แต่กวนฮุ่ยเอ๋อไม่ขาดแคลนเงินแค่นี้แน่นอน
เธอไม่ชอบเสื้อขนเป็ดตัวพองหนาที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า อีกทั้งยังมีแต่แบบสั้น หลังสวมแล้วก็ยังรู้สึกหนาวที่ขา อุ่นสู้เสื้อโค้ทตัวใหญ่ไม่ได้แม้แต่น้อย
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังยืนจ้องตาปริบๆ อยู่ด้านข้าง พี่เจิงเองก็รบเร้าให้ลองใส่ กวนฮุ่ยเอ๋อไม่อาจหักหน้าอีกฝ่ายได้จึงลองสวมดู เสื้อตัวนี้ไม่ค่อยเหมือนกับเสื้อขนเป็ดที่วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ความยาวเลยหัวเข่า ห่มต้นขาที่หนาวได้ง่ายเอาไว้อย่างแ่า