เช้าตรู่ คล้ายกับแสงตะวันจะถูกใบไม้บดบังอย่างมิดชิด กลิ่นความชื้นในป่าเขียวชอุ่มทำให้เก๋อจือกับโม่จ้านรู้สึกมิค่อยสบายนัก --- เก๋อจือมิมีภูมิต้านทานความชื้น มักรู้สึกว่าร่างกายชื้นจนมีหนอนไต่อยู่ ทางด้านโม่จ้านได้กลิ่นเน่าเปื่อยของกิ่งไม้และใบไม้จนคันจมูก เอาแต่จามออกมามิหยุด เมื่อเทียบกับคนทั้งสอง ปัญหาในใจของลาถีเท่อดูจะใหญ่กว่าสักหน่อย มักมองซ้ายแลขวามิต่างกับลูกนกกลัวคันธนู เมื่อมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็พลันกลัวจนทนมิไหว
มิว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกลุ่มคนป่วยสามคนที่เดินตัดป่าเพื่อไปหาหมอ ตลอดทางทั้งดึงทั้งลาก มิใช่เื่ง่ายกว่าจะมาถึงจุดที่ทำเครื่องหมายบนแผนที่
“ที่นี่...คือสถานที่ที่บอกในข้อมูล?”
มุมปากของเก๋อจือกระตุก ตนเงยหน้ามองผาสูงชันที่มุ่งหน้าสู่ท้องฟ้า ทันใดนั้นพลันมีความคิดบุ่มบ่ามนึกอยากจะกลับบ้านก่อนแล้วค่อยกลับมาอีกครา
โม่จ้านมองสำรวจโดยรอบ พบว่าตะไคร่น้ำขึ้นอุดมสมบูรณ์อย่างมาก อีกทั้งยังมีแอ่งน้ำจำนวนมิน้อย แสดงว่าต้องเป็ก้นหน้าผามิผิดแน่ ตนจำเครื่องหมายบนแผนที่ได้อย่างแม่นยำ มันเป็สัญลักษณ์คล้ายยอดเขาถูกแยกออกครึ่งหนึ่ง หรือจะหมายความว่า...
“ช้าก่อน เหมือนข้าจะได้ยินเสียงร้องของนกแล้ว”
ลาถีเท่อส่งสัญญาณเงียบเสียงให้คนทั้งสองตามด้วยเอามือป้องหู พยายามแยกแยะทิศทางที่มาของเสียง เพียงแต่หลังจากนั้นสีหน้าของลาถีเท่อกลับเริ่มมิน่ามองขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดชี้ไปยังหน้าผาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“ลี่----”
คล้าย้าตอบกลับการชี้นำของลาถีเท่อ เสียงร้องแหลมเล็กของอินทรีสายฟ้าดังขึ้นกลางอากาศ ทันใดนั้นพลันมีอินทรีสายฟ้าตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลังหินก้อนหนึ่งของกำแพงหิน ตามด้วยเสียงสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะ พุ่งไปยังส่วนลึกของป่ามิต่างกับลูกธนูหลุดคันศร
โม่จ้านหรี่ตา หากพยายามเพ่งมองก็ยังพอเห็นได้ว่าเป็ถ้ำสูงประมาณตึกสิบชั้น
“...มิได้บอกว่าอินทรีสายฟ้าชอบทำรังในถ้ำงั้นหรือ เหตุใดจึงมาอยู่บนหน้าผาเสียแล้วเล่า?!”
เก๋อจือทั้งโมโหทั้งหงุดหงิด ตนถึงกับโยนคทาสั้นลงบนพื้นอย่างแรง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าข่าวเช่นนี้มิมีทางได้มาง่ายดายถึงเพียงนั้น พวกเราโดนขุดหลุมฝังเสียแล้ว!”
“หากในหน้าผาก็คือถ้ำเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถหลบพวกมนุษย์ที่ยากคาดเดาจิตใจ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว มิเลวๆ”
โม่จ้านปรบมือก่อนมองไปทางเก๋อจืออย่างใช้ความคิด
“เช่นนั้น คุณชายน้อยเก๋อจือคิดจะทำอย่างไร?”
“แน่นอนว่ากลับไปหากลุ่มคน...”
เก๋อจือพูดได้ครึ่งประโยค ทันใดนั้นพลันรู้สึกเย็นเยียบบนแผ่นหลัง ครั้นหันกลับไปจึงพบเข้ากับสายตาเย็นะเืของโม่จ้าน
“เพียงเท่านี้ก็ปอดแหกแล้วรึ? จอมเวทระดับกลางก็เท่านี้เองสินะ”
โม่จ้านแค่นหัวเราะเสียงเย็น ภายในน้ำเสียงเจือความเย้ยหยัน
“ธาตุลมกับไฟพร์น้อยนิด กระทั่งลองดูยังมิกล้า เอาแต่จะพุ่งกลับบ้านเก่า พ่อบ้านหวาเอ่อร์ทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเ้าถึงเพียงนี้ มิเท่ากับเสียแรงเปล่างั้นหรือ?”
“เ้า เ้าหุบปาก!”
ใบหน้าของเก๋อจือแดงเถือกด้วยความโมโห เขาตรงเข้าไปดึงคอเสื้อของโม่จ้าน
“ผู้ใดพูดจาตัดกำลังใจมิเป็กันบ้าง เช่นนั้นเ้าก็ไปจับเสียสิ!”
ลาถีเท่อรีบเข้าไปดึงเก๋อจือเอาไว้ “โม่เจ๋อเอ่อร์เ้าพูดเช่นนี้เกินไปแล้ว การจับอินทรีสายฟ้าบนหน้าผานับว่ายากนัก อีกทั้งยังเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง”
“...อันตราย?” โม่จ้านแค่นหัวเราะเยาะ “ขอเพียงเ้าส่งข้าขึ้นไป ข้ามิเพียงแต่จับได้ ยังจะจับเป็ได้อีกด้วย มาเดิมพันกันดีหรือไม่?”
เก๋อจือลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันเอ่ย “เดิมพันก็เดิมพัน! หากเ้าแพ้เดิมพันข้า เ้าจะต้องเป็ข้ารับใช้ของข้า!”
“ได้ หากข้าจับอินทรีสายฟ้าได้ เ้าต้องมาเป็ข้ารับใช้ของข้า”
โม่จ้านส่งสายตาให้ลาถีเท่อที่อยากจะพูดบางสิ่งพร้อมกับพยักหน้า
เก๋อจือเริ่มร่ายคาถา กลุ่มลมค่อยๆ รวมตัวใต้ฝ่าเท้าของโม่จ้าน ทว่าโม่จ้านกลับโบกมือกะทันหันแล้วยกเท้าะโลงมา เก๋อจือหยุดร่ายคาถา สีหน้าฉายแววดุดันขณะมองบุรุษตรงหน้า
“ยามนี้เ้านึกเสียใจภายหลังก็สายเกินไปแล้ว!”
“รีบร้อนอันใดกัน ข้ามิได้บอกว่าจะขึ้นไปตอนนี้เสียหน่อย” โม่จ้านอ้าปากหาว “ข้าจะงีบเสียก่อน รอกระทั่งเที่ยงวันพรุ่งนี้ค่อยจับ”
ลาถีเท่อทั้งดันเก๋อจือที่โมโหให้เดินออกไปพร้อมกับมองโม่จ้านด้วยสายตาฉายแววสงสัย
กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น เก๋อจือกับโม่จ้านยังคงอยู่ในสภาวะาเย็น ผู้หนึ่งในใจมีเพลิงโทสะ หลังวางชามข้าวก็มุดเข้ากระโจม อีกผู้หนึ่งลูบไล้กริชในมือของตนด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด อีกทั้งยังลูบกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลัง
ลาถีเท่อที่อยู่ตรงกลางกระอักกระอ่วนอย่างมาก ตนลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน คิดว่าควรเริ่มพูดกับโม่จ้านก่อนจะเป็การดี
“เอ่อ อะแฮ่ม คือว่า โม่เจ๋อเอ่อร์ วันพรุ่งเ้ามั่นใจว่าจะจับอินทรีสายฟ้าได้จริงหรือ?”
โม่เจ๋อเอ่อร์หยักยกมุมปาก เลิกคิ้วไปทางลาถีเท่อ “เ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ถึงแม้ข้าจะมิรู้ว่าเ้าถนัดอันใด ทว่าเก๋อจือเคยบอกข้าว่าเ้ามิรู้วิชาเวท”
ลาถีเท่อกลืนอาหารที่เหลือลงคอ มองบุรุษเอ้อระเหยสบายใจด้วยความงงงวยอยู่บ้าง
“ต่อให้เ้าสืบค้นเวลาผสมพันธุ์ของอินทรีสายฟ้าอย่างแม่นยำ อีกทั้งยังจับตาดูเวลาออกไปหาอาหารของอินทรีสายฟ้าหนุ่ม กระนั้นพวกตัวละอ่อนที่มีพร์เวทสายฟ้าก็มิใช่ว่าจะเย้าแหย่ได้โดยง่าย”
“จิ๊ เห็นทีเ้าจะเข้าใจดีทีเดียว”
โม่จ้านหัวเราะเสียแล้ว เห็นทีลาถีเท่อจะเตรียมตัวล่วงหน้าเอาไว้มิน้อย
“รู้วิชาเวทหรือไม่กับจับอินทรีสายฟ้าได้หรือไม่มิเกี่ยวข้องกัน คนล่าสัตว์เ่าั้ก็มิรู้วิชาเวทเช่นกัน ในตลาดยังมีเนื้ออินทรีสายฟ้าวางขายมิใช่รึ”
“ถ้ำแคบถึงเพียงนั้นมิอาจโปรยเหยื่อล่อ ต่อให้เ้าโยนม้วนคัมภีร์เวทเข้าไปก็จะทำให้ตนเองาเ็เช่นกัน”
ลาถีเท่อเบะปาก สายตาปรายมองกระเป๋าใบเก่าในอ้อมกอดของโม่จ้าน
“...นอกจากนั้น ข้ามิคิดว่าเ้าจะหาซื้อตาข่ายป้องกันพลังเวทได้”
“ฮ่าๆ วันพรุ่งนี้เ้าเพียงรอดูเื่น่าสนุกเป็พอ”
โม่จ้านเผยรอยยิ้มออกมา ลอบคิดในใจว่ากลลวงเช่นนี้มินับว่าเป็การทดสอบเสียด้วยซ้ำ
“...เหตุใดเ้าจึงมิบอกกับเก๋อจือตรงๆ ให้เขาลองพยายามดูสักหน่อย?”
ลาถีเท่อเม้มปาก ท้ายที่สุดยังคงอดถามออกไปมิได้
“คุณชายน้อยเช่นนั้น หากมิยั่วยุเขาสักหน่อย เขาจะต้องวิ่งกลับไปหาแหล่งข่าวใหม่อย่างแน่นอน มนุษย์อาจฉกฉวยผลประโยชน์หลีกหนีภัยพิบัตินับเป็เื่ปกติ เพียงแต่ เพราะถูกไหว้วานจากหวาเอ่อร์ผู้าุโในตระกูลของเขา สิ่งที่พวกเราต้องทำให้สำเร็จในครั้งนี้มิใช่เพียงภารกิจจบการศึกษาของเก๋อจือเท่านั้น”
โม่จ้านดีดนิ้วก่อนหันหน้าไปมองลาถีเท่อที่เผยสีหน้าใ
“ใช่ว่าเด็กน้อยอย่างเ้าจะมิรู้เื่แย่ๆ ในครอบครัวของเขา เหตุที่เ้าออกมาครั้งนี้ คาดว่าคงเตรียมพร้อมทางใจแล้วกระมัง มิแน่ว่าอาจจะติดต่อกับท่านลุงหวาเอ่อร์แล้ว ตลอดการเดินทางในครั้งนี้มาคอยจับตาดูข้าอันใดทำนองนั้น”
ลาถีเท่อตกตะลึง มองโม่จ้านด้วยสายตามิหวาดหวั่น ทว่าหมัดที่กำแน่นยังคงเผยถึงความลังเลในใจ
“ข้าเป็คนพูดสิ่งใดเชื่อถือได้ ทำงานรับเงินคิดบัญชีชัดเจน เ้ามิจำเป็ต้องตึงเครียดมากเกินไปนัก กลับเป็เ้า หากติดต่อกับหวาเอ่อร์แล้วถูกพ่อของเก๋อจือดักโจมตี ผู้ที่ต้องโชคร้ายก็คือพวกเราสี่คน”
โม่จ้านเอ่ยวาจาข่มขู่ผู้อื่นด้วยสีหน้าผ่อนคลาย น้ำเสียงราวกับกำลังหยอกล้อ
ลาถีเท่อรู้สึกราวกับมีหนามทิ่มแผ่นหลังและเริ่มนั่งมิติดที่ โม่จ้านยักไหล่ จากนั้นวกกลับเข้าหัวข้อสนทนา
“เ้าเก๋อจือผู้นั้น เดิมทีก็ถูกใจวิชาหมัดมวยของข้าจึงได้ตัดสินใจติดตามข้า หากข้ามิเผยฝีมือให้เขาดูสักหน่อย เขาคงจะนึกว่าข้าเป็พี่เลี้ยงเด็กคอยซักชั้นในให้เขาทุกวันเสียแล้ว”
คำเปรียบเทียบที่แสนน่าเกลียดนี้ทำเอาสีหน้าของลาถีเท่อพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง มิต่างกับสุภาพบุรุษผู้สง่างามกินอาหารรสชาติประหลาดเข้าไปเต็มคำ ทว่ามิอาจคายออกมายามอยู่กลางโถงใหญ่ต่อหน้าบรรดาผู้คน ยิ่งมิมีทางอยากจะกลืนมันลงไปอย่างแน่นอน กระนั้นก็มิรู้ว่าควรจะตอบกลับความคาดหวังของผู้ทำอาหารอย่างไร
“...ช่างเถิด มิเอ่ยถึงเื่นี้แล้ว” โม่จ้านเกาหัว เอ่ยถามหนึ่งคำถามอย่างมิใส่ใจราวกับ้าเปลี่ยนเื่ “จักรวรรดิอันปู้เอ่อร์มีสถาบันเวทมนตร์ทั้งหมดกี่แห่ง?”
“ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกสองแห่ง ทางฝั่งตะวันตกอยู่ใกล้เมืองหลวง เก๋อจือคือผู้เรียนเตรียมจบการศึกษาของฝั่งตะวันออก” ลาถีเท่อขมวดคิ้ว “เก๋อจือบอกว่าเ้าเป็มือสังหาร คงมิใช่เื่จริงกระมัง กระทั่งเื่พื้นฐานเช่นนี้เ้ายังมิรู้?”
“หากข้าบอกว่าจริง เ้าจะเชื่อหรือไม่?” โม่จ้านมิตอบรับหรือปฏิเสธ
“ดูจากยามนี้กลับน่าเชื่ออยู่บ้าง ฝึกอาวุธระยะประชิดได้คล่องแคล่วถึงเพียงนั้นทว่ากลับมิสวมชุดเกราะเหล็ก หากจะบอกว่าเ้าเป็อัศวินหรือนักรบก็ดูจะเกินจริงไป”
ลาถีเท่อหยัดกายลุกขึ้น สายตาฉายแววซับซ้อนกวาดมองโม่จ้านมิกี่ครั้งก่อนจะเดินไปทางกระโจม
โม่จ้านยักไหล่ โยนคำพูดของลาถีเท่อทิ้งไว้ข้างหลัง จากนั้นเริ่มวางแผนการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปอยู่ในใจ
คล้ายกับข้าจะมีคนคุ้นเคยในสถาบันเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกถึงสองคนทีเดียว...