สัปดาห์นี้เชฟอาเฉียงจงใจสอนบทเรียนให้กับอี้สี่ทุกวัน โดยมักจะหยิบสิ่งที่เธอหั่นขึ้นมาแล้วพูดต่อหน้าทุกคนว่า “อันนี้ใช้ไม่ได้” หรือพูดว่า “ใครเป็คนหั่น” มันแย่มาก เขาไม่เคยใจดีกับเธอเลย อีกทั้งคำที่ใช้ก็หยาบคายมาก ทว่าอี้สี่ก็ยังคงยืนปล่อยให้เขาดุด่าเธออยู่เสมอ เธอไม่เคยหันหลังจากไปเพราะความน้อยอกน้อยใจเลยสักครั้ง เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะมานั่งน้อยใจ และการพยายามไม่พอของเธอก็ทำให้ความคืบหน้างานในครัวของทุกคนช้าลงไปจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เื่เกินเลยที่จะถูกต่อว่าสักประโยคสองประโยค อี้สี่รู้สึกผิดทุกครั้งที่เธอถูกดุ เธอรู้สึกว่าเธอกำลังเพิ่มภาระงานให้ทุกคนเสมอ ดังนั้นเวลามีงานที่เหน็ดเหนื่อยหรืองานที่สกปรก อี้สี่จะรีบแย่งมาทำ เช่น ทำความสะอาดถังแยกน้ำมันและน้ำ โดยถังแยกน้ำมันและน้ำเป็ที่สำหรับรวบรวมสิ่งปฏิกูลในครัวลงในถังเก็บด้านใต้ กากอาหารที่มีน้ำมันมากที่สุดจะถูกดักจับโดยถังแยก มีเพียงน้ำเสียเท่านั้นที่สามารถระบายลงท่อระบายน้ำได้ การทำความสะอาดถังแยกเป็งานที่ใครๆ ก็คิดว่าเป็งานที่หนักและน่ารำคาญ ทั้งอับชื้นและมีกลิ่นเหม็น แต่อี้สี่กลับอาสาทำมันอย่างไม่นึกรังเกียจ
ส่วนซ่งจื่อฉีก็มักจะคอยยืนอยู่ข้างๆ เฝ้าดูอยู่เงียบๆ โดยไม่ห้ามเชฟอาเฉียงที่ดุด่าเธอเลยสักครั้ง และก็ยังไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ กับเธอเลยเช่นกัน แต่เขารู้ว่าหญิงสาวคนนี้กำลังก้าวหน้า เขายังมองเห็นความกระตือรือร้นและความอ่อนน้อมถ่อมตนของเธอด้วย แม้ว่าเชฟอาเฉียงมักจะคอยดุด่าต่อว่าอี้สี่ทุกวัน แต่จริงๆ แล้วของที่เขาทิ้งก็น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้พูดเลยด้วยซ้ำ ทำเพียงแค่ขมวดคิ้วและพยายามใช้ส่วนผสมที่หั่นได้ไม่ดีอย่างไม่เต็มใจไป
วันนี้คือวันอาทิตย์ ั้แ่สัปดาห์นี้เป็ต้นไปภัตตาคารฉือเซ่อได้ตัดสินใจให้วันจันทร์เป็วันหยุดของร้าน ซึ่งการประชุมหัวหน้างานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วล้วนหารือเกี่ยวกับเื่นี้เป็หลัก และเนื่องจากภัตตาคารจะปิดทำการในวันพรุ่งนี้ ทุกคนในภัตตาคารต่างก็รู้สึกคึกครื้นเป็พิเศษใน่บ่าย อีกทั้งใน่เย็นวันหยุดมักจะมีลูกค้าน้อยมาก กลิ่นอายบรรยากาศวันหยุดอบอวลไปทั่วทั้งภัตตาคาร โดยใน่เวลาว่างหลังมื้ออาหารกลางวัน หลายๆ คนก็มักแอบออกไปข้างนอกกันอยู่แล้ว แม้แต่เฉินเจี้ยนฉวินก็ไม่ได้อยู่ในครัวและไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนเช่นกัน
“มานี่หน่อย” ซ่งจื่อฉีเรียกอี้สี่ไปที่ห้องครัว ภายในห้องครัวใหญ่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น “ไปหยิบมีดมาหั่น” เขาวางหัวหอมบนเขียงแล้วสั่งให้เธอหั่นมัน
อี้สี่หยิบมีดขึ้นมาด้วยความรู้สึกเขินอาย ซ่งจื่อฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ ราวกับเป็กำแพงมนุษย์ใหญ่โตที่สามารถทำให้เกิดความกดดันที่อธิบายไม่ได้ เธอเกร็งกล้ามเนื้อตั้งสมาธิหั่นลงไปสองครั้ง ตอนนี้หัวหอมที่เธอหั่นดูดีมากกว่าเดิม มีเพียงแค่หนาเกินไปนิดหน่อย
“คุณดูนี่นะ ก่อนอื่นต้องยืนให้นิ่งก่อน ยืนตัวตรงพักขาโดยให้เข่าขาซ้ายแตะเคาน์เตอร์เล็กน้อย แล้วลากเท้าขวาไปด้านหลัง เราอยู่ในอุตสาหกรรมที่ต้องยืนเป็เวลานาน การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถหั่นผักได้ง่ายขึ้นและไม่ทำให้เป็เส้นเืขอดเร็วเกินไป” ซ่งจื่อฉีปรับท่าทางของเธอและตบที่ต้นขาของเธอเบาๆ ด้วยฝ่ามือใหญ่เพื่อแนะนำวิธียืนที่ถูกต้องให้เธอ “จากนั้นก็ควรจะถือมีดไว้อย่างนี้ ถือมีดให้มั่นคงเพื่อไม่ให้บาดมือ” เวลาที่มีดอยู่ในมือของเขา การเคลื่อนไหวของซ่งจื่อฉีมันช่างดูง่ายดายมากราวกับว่ามีดเป็ส่วนหนึ่งในร่างกาย แต่เดิมอี้สี่คิดว่าการถือมีดไว้ให้มั่นคงนั้นหมายถึงการจับมีดไว้แน่นๆ
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา อี้สี่รู้สึกว่าข้อมือของตัวเองเจ็บ ง่ามมือระหว่างนิ้วโป้ง และนิ้วชี้เองก็เจ็บ “อย่างงี้เหรอคะ?” เธอถือมีดในมือทำท่าทางให้ซ่งจื่อฉีดู อันที่จริงแล้วเธอมองไม่ออกว่าตัวเธอทำผิดที่ตรงไหน ด้วยด้ามมีดที่อยู่ไกลเกินไป ซ่งจื่อฉีจึงจับมือของเธอแบออกแล้วจับมือเธอไปจับด้ามมีดตรงตำแหน่งใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับที่พ่อสอนลูกถือตะเกียบ เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนจับดินสอเมื่อคุณยังเป็เด็ก มือใหญ่ที่หยาบกร้านและอบอุ่นของเขากางออกกอบกุมรอบมือเธอ อี้สี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนขึ้น หัวใจก็เริ่มรัวเต้นเร็วขึ้นอย่างเงียบๆ และซ่งจื่อฉีก็สามารถสังเกตเห็นความเขินอายเล็กๆ ของเธอได้อย่างชัดเจน
“เวลาจะหั่นอะไรอย่ากดแรงๆ ให้ขาด หากมือของคุณรู้สึกเจ็บก็เป็เพราะว่าคุณออกแรงในการหั่นที่มากเกินไป อันที่จริงมีดนั้นมีความคมเพียงพออยู่แล้ว เพียงเฉือนใบมีดเลื่อนลงมาเบาๆ ก็พอที่จะหั่นผักได้แล้ว” ซ่งจื่อฉีหยิบหัวหอมที่เหลือครึ่งหนึ่งขึ้นมาแล้วหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ อย่างง่ายดายเป็จังหวะ เขาใช้เวลาประมาณสิบห้าวินาทีก็สามารถหั่นหัวหอมเสร็จเรียบร้อยโดยที่หัวหอมมีขนาดเท่ากันทุกชิ้น
อี้สี่เฝ้ามองดูอย่างตั้งใจอยู่ข้างๆ
เขาสอนอย่างละเอียดมาก หลังจากต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัวมานานหลายวัน ในที่สุดอี้สี่ก็รู้สึกว่าได้รับการดูแล นอกเหนือจากการสัมภาษณ์แล้ว นี่เป็ครั้งเดียวที่ซ่งจื่อฉีพูดกับเธอมากขึ้น และเป็ครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดเขาจริงๆ อีกด้วย อี้สี่ลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา และรู้สึกว่าสันจมูกของเขาโด่งมาก และขนตาภายใต้แว่นกรอบสีดำก็ยาวมาก จริงๆ แล้วซ่งจื่อฉีจัดได้ว่าเป็หนุ่มหล่อแบบหวานๆ ไม่ได้ดูเป็ผู้ชายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ดูหวานมากเกินไปเช่นกัน ผมของเขาเป็สีดำยาว ถูกรวบเอาไว้เป็หางม้าอย่างเรียบร้อยและไม่มีปอยผมหลุดออกมาเลย สามารถพูดได้ว่าเป็คนพิถีพิถัน อีกทั้งยังมีกลิ่นมินต์อบอวนจางๆ บนกาย เธอไม่ใช่คนที่มีจมูกดีมากนัก แต่ในเวลานี้เธอกลับรู้สึกว่าเธอถูกรายล้อมไปด้วยกลิ่นมินต์ และมันก็เป็กลิ่นที่ทำให้ภายในใจเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
อี้สี่พยายามแก้ไขท่าทางการจับมีดให้ถูกต้องอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่คุ้นเคยนัก เธอมองเขาด้วยดวงตากลมโต ทว่าเขากลับพูดว่า “เื่บางเื่ คุณก็ต้องปล่อยให้ร่างกายได้ััมันเอง”
ซ่งจื่อฉีไม่ได้สอนหลักการที่ยากอะไรเลย เพียงแค่พูดสั่งสอนเธอสามประโยคเท่านั้น จากนั้นอี้สี่ก็เห็นเขาเปิดตู้เย็นแล้วดึงท้องปลาแซลมอนออกมาวางบนเคาน์เตอร์ ซึ่งท้องปลาแซลมอนนั้นเป็เนื้อส่วนที่มีมันเยอะที่สุด ใบมีดของซ่งจื่อฉีหั่นลงไปเบาๆ สองครั้งก็ได้เนื้อปลาแซลมอนที่บางและสวยงามราวกับกลีบดอกไม้ เขานำเนื้อปลาแซลมอนมาม้วนห่อหัวหอม โดยม้วนหนึ่งคือม้วนหัวหอมฝอยที่เขาหั่น และอีกม้วนคือหัวหอมที่อี้สี่หั่นไว้ แซลมอนโรลจัดวางอย่างประณีตอยู่บนจานเซรามิกสีดำ เขาหยิบถ้วยซอสออกมาแล้วเติมซีอิ๊วขาวตราเสี่ยวหนงลงไป เขายื่นตะเกียบให้อี้สี่แล้วพูดว่า “คุณต้องทิ้งอาหารไว้บนลิ้นเพื่อที่จะได้ััว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ดูคล้ายกันนั้นมันแตกต่างกัน” การเคลื่อนไหวของเขาไหลลื่นราวกับสายน้ำ เมื่อเขาพูดถึงเื่อาหารและงาน ใบหน้าของเขาก็ดูเ็าน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจดจ่อ
ซ่งจื่อฉีไม่จำเป็ต้องพูดอะไรมากมายก็ได้จุดประกายความรู้สึกเคารพนับถือของอี้สี่อย่างเปี่ยมล้น
“ตอนที่อยู่ที่บ้านก็ฝึกซ้อมให้เยอะๆ” หลังจากพูดเสร็จเขาก็เดินจากไป อี้สี่หยิบม้วนปลาแซลมอนมากิน หัวหอมที่หั่นโดยซ่งจื่อซีฉีทำให้เธอรู้สึกเผ็ดและหวานเล็กน้อยซึ่งกลบความมันของท้องปลาแซลมอนได้เป็อย่างดี ส่วนหัวหอมที่อี้สี่หั่นด้วยตัวเองนั้นมีรสเผ็ดและขมมากเพราะมันมีความหนามากกว่า ในความเป็จริงแล้วเขาแนะนำเธอเพียงไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น ทว่าอี้สี่กลับรู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างมาก มันไม่ใช่แค่บทเรียนธรรมๆ แต่ยังรวมไปถึงความรู้เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับรสชาติอาหารอร่อยๆ ที่อยู่ที่ปลายอีกลิ้นด้วย
่เวลามื้อเย็นผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเชฟอาเฉียงแทบจะผิวปากขณะที่กำลังทำอาหาร ซ่งจื่อฉีไม่ได้ควบคุมออเดอร์ภายในครัวเนื่องจากจำนวนออเดอร์มีไม่มากนัก และเชฟคนอื่นๆ ก็จัดการได้ ทุกคนในครัวกำลังพูดคุยนัดกันไปร้องเพลงคืนนี้ และยังลากเฉินเจี้ยนฉวินไปด้วย เหมือนว่าเพื่อนร่วมงานหลายๆ คนอยากออกไปเที่ยวด้วยกันหลังเลิกงาน แต่พวกเขามองข้ามอี้สี่ไปอย่างสิ้นเชิง อาจเป็เพราะยังไม่คุ้นเคยมั้ง! อี้สี่คิดแบบนั้นก่อนจะใช้่เวลาพักทานอาหารของเธอเพื่อส่งข้อความถึงเพื่อนสองสามคน “พรุ่งนี้เป็วันหยุด อยากออกไปสังสรรค์ตอนกลางคืนกันไหม?” ผลคือเพื่อนๆ ทุกคนต่างตอบเป็เสียงเดียวกันว่า “พรุ่งนี้วันจันทร์ต้องไปทำงาน!” “หลังสี่ทุ่มก็ดึกเกินไปนะ!” ซึ่งสิ่งนี้ทำให้อี้สี่รู้สึกเหงาเล็กน้อยเพราะมีความคิดมากมายและเื่ราวหลายเื่ที่เธออยากจะเล่าให้เพื่อนฟัง แต่กลับไม่มีใครว่างให้ความร่วมมือเลย
หลังจากเลิกงาน เพื่อนร่วมงานหลายคนก็มารวมตัวกันอยู่รอบๆ ตู้ล็อกเกอร์พลางพูดคุยกันว่าใครบ้างที่จะขี่มอเตอร์ไซค์และใครบ้างที่จะนั่งแท็กซี่ไป KTV ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นอี้สี่เดินใกล้เข้ามา พวกเขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจนเบาเสียงพูดคุยกันลง ซึ่งสิ่งนี้กลับทำให้อี้สี่รู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม เธอหอบเสื้อผ้าของเธอเดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อผลัดเปลี่ยนชุดแล้วนั่งลงบนโถส้วมพลางเล่นโทรศัพท์ รอจนกระทั่งเสียงข้างนอกเงียบลงจึงเดินออกจากห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยู่ที่ตู้ล็อกเกอร์แล้ว ดูเหมือนทุกคนจะออกไปแล้ว อี้สี่จึงหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นมาและเตรียมไปตอกบัตรที่สำนักงาน
สำนักงานของภัตตาคารส่วนใหญ่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ขนาดประมาณโต๊ะหนึ่งตัวที่พอมีพื้นที่เล็กน้อยประมาณสองตารางเมตรและมีนาฬิกาแขวนอยู่บนผนังด้านใน โดยปกติแล้วมีเพียงหัวหน้างานเท่านั้นที่จะนั่งอยู่ในสำนักงานและจัดการเื่การบริหาร ทว่าในขณะที่เดินอยู่ไกลๆ ก็เห็นว่าประตูห้องทำงานแง้มอยู่และดูเหมือนจะมีคนอยู่ข้างใน
อี้สี่เดินเข้าไปเงียบๆ และในขณะที่เธอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นซ่งจื่อฉีนั่งอยู่บนโต๊ะผ่านรอยแยกประตูลางๆ โดยกำลังนั่งหันหลังให้ประตู และมีผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลอ่อนคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงหว่างขาของเขา มีเสียงดูดอะไรบางอย่างปะปนกับเสียงน้ำลายดังออกมาอย่างลามก เขารวบจับผมยาวของหญิงสาวคนนั้นไว้แน่น ใบหน้าของหญิงสาวกดฝังจมอยู่ตรงระหว่างขาของเขาจึงไม่อาจมองเห็นได้ว่าเป็ใคร มองเห็นแค่เพียงว่าเธอสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงส้นแหลมและกระโปรงแคบรัดรูปเท่านั้น แม้ว่าซ่งจื่อฉีจะไม่หันกลับมามอง แต่เขาก็ััได้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงเหยียดมือเอื้อมไปด้านหลังเพื่อล็อกประตูสำนักงาน
อี้สี่ตัวแข็งทื่อกลายเป็หินและใบหน้าแดงก่ำไปทันที เธอก้มหน้าลงหันหลังเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก็บังเอิญชนเข้ากับหลัวจ้งซีที่กำลังเดินมาหาเธอเข้าพอดี หลัวจ้งซีมีรอยยิ้มบนใบหน้า เขาคว้าข้อมือของอี้สี่ไว้แล้วดึงเธอให้เดินไปที่ประตูสำนักงาน พิงประตูแล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงอันดังอย่างจงใจว่า “ดึกมากแล้ว ผมจะไปส่งคุณที่บ้านเอง รอผมแป๊บหนึ่ง ผมเข้าสำนักงานไปเอากุญแจรถก่อน” เขาคว้าลูกบิดประตูแล้วดึงให้เปิดออกอย่างแรง ซึ่งแน่นอนว่าลูกบิดประตูถูกล็อกจนเกิดเสียงดังออกมา
“หือ ใครล็อกประตู? คุณเห็นว่ามีใครอยู่ข้างในไหม?” หลัวจ้งซีคว้าลูกบิดประตูด้วยมือข้างเดียว พยายามดึงต่อไปโดยที่มืออีกข้างก็ยังไม่ยอมปล่อยอี้สี่ไป เป็การบังคับให้อี้สี่ร่วมเล่นสนุกไปกับเขาด้วย
“ไม่มี ฉันไม่เห็นใครอยู่ข้างในเลย” อี้สี่เป็คนจริงจังง่ายมาก แม้ว่าจะรู้ว่าหลัวจ้งซีกำลังล้อเล่น แต่ก็รีบเอ่ยปฏิเสธทันที
ประตูบานนี้เป็เพียงประตูไม้อัดที่มีกลอนล็อกจึงสามารถได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในได้ชัดเจน ทั้งอี้สี่และหลัวจ้งซีต่างก็ได้ยินเสียงบานประตูถูกกระแทกอย่างแรง ราวกับว่ามีคนเอนพิงบานประตูอยู่ และได้ยินเสียงพึมพำของผู้หญิงอย่างชัดเจน “อ่า…อืม...ใหญ่จัง...จะได้เหรอ? ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ...ไม่งั้นฉันคงจะเหนื่อยมาก...”
หลัวจ้งซีกลั้นยิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้วันหยุด ผมไม่มีรถไม่ได้ ผมจะไปหาซ่งจื่อฉี เขาน่าจะมีกุญแจสำนักงานติดตัว” อี้สี่ไม่กล้าพูดอะไรพลางส่ายหน้าไปมาให้หลัวจ้งซี
“อะ อืม...โอ้...เข้าไปแล้ว ลึกจัง...” หญิงสาวคราง “อ่า...เหมือนจะมีคนอยู่ข้างนอก...อืม...”
“แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าเป็หลัวจ้งซี หลัวจ้งซีมันจงใจ” เป็เสียงของซ่งจื่อฉีซึ่งฟังดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมีอารมณ์กับมุกตลกของหลัวจ้งซีมากนัก แต่กลับได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นเอ่ยพูดเสียงสั่นว่า “อย่าทำแบบนี้สิ มันน่าตื่นเต้นเกินไป อ๊า...” เสียงหวีดร้องแหลมแ่เบาราวกับถูกััที่ไหนสักแห่งและก็เ็ปมาก
หลัวจ้งซีเอนตัวพิงประตูแล้วพูดเสียงดังอีกครั้ง “นี่คือกลอนล็อก มันน่าจะเปิดได้ด้วยเงินห้าหยวน ในตัวคุณมีเศษเหรียญไหม?” เขาจงใจเอ่ยถามอี้สี่อีกครั้ง
“พวกเขากำลังจะเปิดประตู...อะ...ทำยังไงดี...พวกเขาจะเข้ามาแล้ว” เสียงของผู้หญิงละล่ำละลัก ทั้งหายใจไม่ออกและวิตกกังวลมาก “อย่าเปิดประตูนะ...อย่าเปิดประตู...ไม่เอาแบบนี้” หญิงสาวเอ่ยพูดจาสะเปะสะปะ
การที่ได้รู้เห็นเื่ส่วนตัวของคนอื่นและน่าตื่นเต้นเช่นนี้ทำให้อี้สี่รู้สึกว่าหัวใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วขึ้น อีกทั้งใจกลางหว่างขาก็รู้สึกร้อนรุ่ม ในตอนแรกเธอรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้าของหลัวจ้งซี เธอก็เริ่มพบว่ามันน่าสนุกและน่าสนใจ “คุณจะเปิดประตูจริงๆ เหรอ? ถ้าเล่นแรงเกินไป เชฟจะโกรธเอาได้นะ!” อี้สี่เอ่ยพูดกับหลัวจ้งซีด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ทว่าเธอก็ยังหยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋า
หลัวจ้งซีรู้สึกว่ามันตลกดี เขาจึงแกล้งเอ่ยตอบเธอด้วยน้ำเสียงสั่นๆ คืนไปว่า “แน่นอนว่าต้องรีบหนีไปก่อนที่พวกเขาจะเสร็จ” เขาจงใจดึงล็อกอีกสองสามครั้ง
“เราควรรีบวิ่งหนีไปเลยไหม?” อี้สี่เอ่ยถามเสียงเบา
“ไม่จำเป็ ข้างในเดาว่าเราอยู่ข้างนอกคงเข้าไปไม่ได้ พวกเขาจะต้องซ่อนตัวอยู่ข้างในไปสักพักก่อนจะออกมาอย่างแน่นอน” หลัวจ้งซีพูดอย่างใจเย็น
เมื่อทั้งสองเดินออกไปนอกร้านก็อดที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้ อี้สี่เป็เด็กดีมาโดยตลอดั้แ่ยังเป็เด็ก ไม่เคยเล่นตลกอย่างการแอบกดกริ่งของคนอื่นด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแอบฟังเื่ของคนอื่นแบบนี้เลย ใบหน้าของเธอแดงซ่านจากการหัวเราะและมีเหงื่ออยู่บนหน้าผากเล็กน้อย และเพราะถุงใต้ตาเล็กๆ ของหญิงสาวทำให้เมื่อยามที่เธอหัวเราะจึงดูค่อนข้างอ่อนเยาว์ชวนมอง
หลัวจ้งซีทำงานมาตลอดทั้งวันจนดึกก่อนมาเจอเื่ตลกร้ายกาจขนาดนี้ แม้เขาจะพบว่ามันตลกดี แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามันตลกมากนัก เขายิ้มพลางสังเกตอี้สี่ไปพลาง แล้วเขาก็พบว่าผู้หญิงคนนี้น่ามองและดูมีนิสัยตรงไปตรงมา ถึงจะไม่ได้ดูสะดุดตามากนัก แต่เมื่อสังเกตเห็นเธอแล้วก็ให้ความรู้สึกดีไม่น้อย ทั้งยังค่อนข้างจริงจังและซื่อตรง แต่ก็มีอารมณ์ขัน
“อา! ฉันยังไม่ได้ไม่ตอกบัตรเลย” อี้สี่หยุดหัวเราะ รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
“ผมจะช่วยลงระบบให้คุณเอง” หลัวจ้งซีพูด “คนอื่นๆ ไปร้องเพลงกันหมดแล้ว ถ้าไม่เหนื่อยจะไปหาอะไรกินกับผมไหม?”
“เอาสิ ฉันกำลังหาเพื่อนไปเที่ยวด้วยไม่ได้อยู่พอดีเลย” อี้สี่ตอบตกลงทันที
“แต่เราต้องเดินนะ กุญแจรถของผมอยู่ที่ออฟฟิศจริงๆ” เขากล่าว
หลังจากพูดจบทั้งคู่ก็ต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้