บทที่ 5: ขุมทรัพย์จากป่า
เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมในยามค่ำคืน ไอเย็นจากชายเขาพัดโชยเข้ามาในกระท่อมที่เริ่มมีสภาพดีขึ้นเล็กน้อย ไป๋หรูซิน นอนอยู่ข้าง ชุนฮวา ที่หลับไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องลอดช่องโหว่บนหลังคาที่ยังซ่อมไม่เสร็จดี ส่องต้องใบหน้าซีดเซียวของน้องสาว ดวงตาของไป๋หรูซินจับจ้องไปที่ร่างเล็กๆ นั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แม้จะพ้นจากความหิวโหยด้วยมันเทศป่าและเครื่องปรุงรสที่เธอคิดค้นขึ้น แต่เธอก็รู้ดีว่านั่นยังไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ ในโลกยุคปัจจุบัน เธอเข้าใจดีถึงหลักโภชนาการที่จำเป็ต่อการเจริญเติบโตของเด็ก เธอเห็นสภาพร่างกายของชุนฮวาที่ผอมซูบ ตัวเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก และเธอเองก็รู้สึกว่าร่างกายนี้อ่อนแอจนน่าใจหาย ทั้งหมดนี้เป็ผลมาจากการขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีน
“เราต้องหาโปรตีนมาเสริม” ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ ไป๋หรูซินหันพลิกตัวไปมา ความจริงที่ว่าเธอและน้องสาวไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์มานานนับปีแล้ว ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นี้ มันเทศช่วยให้อิ่มท้อง แต่ไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อได้ เธอต้องหาแหล่งโปรตีนจากธรรมชาติให้ได้
รุ่งเช้าตรู่ เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มทาบทาขอบฟ้าสีทอง ไป๋หรูซินก็ปลุกชุนฮวาขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
"ชุนฮวา... วันนี้เราไปหาอาหารพิเศษกันดีไหม?" ไป๋หรูซินเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ชุนฮวาขยี้ตา พลางหาวหวอดๆ "อาหารพิเศษหรือเ้าคะพี่หรูซิน? อะไรหรือเ้าคะ?" แววตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"เราจะไปหาปลาในลำธารกันจ้ะ" ไป๋หรูซินตอบเพราะเมื่อวานเธอได้มองดูแล้วว่าในลำธารนั้นมีปลาอยู่หลายตัวพลางลุกขึ้นนั่ง "ก่อนอื่น เราต้องหาไม้ไผ่มาทำที่ดักปลาก่อน"
ชุนฮวาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ "หาปลาหรือเ้าคะ! พี่หรูซินจับปลาเป็ด้วยหรือเ้าคะ? แล้วจะจับอย่างไรเ้าคะ? ไม่มีเบ็ด ไม่มีตาข่ายนี่นา..." ใบหน้าเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความงุนงงอย่างถึงที่สุด
ไป๋หรูซินยิ้มอย่างอ่อนโยน "พี่มีวิธีจ้ะ ชุนฮวาไม่ต้องห่วงหรอก" เธอไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ชุนฮวาฟังมากนัก เพราะรู้ว่าน้องสาวยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเื่การสร้างกับดักปลาแบบง่ายๆ ที่เธอเคยเรียนรู้มาจากสารคดีเอาชีวิตรอด
สองพี่น้องออกเดินขึ้นเขาอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังดงไผ่ที่เคยพบระหว่างทางเมื่อวาน ไป๋หรูซินเลือกต้นไผ่ขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่จนเกินไป และไม่เล็กจนเกินไป เธอใช้ก้อนหินที่แหลมคมกว่าเดิม ค่อยๆ ฟันลำต้นไผ่ออกมาอย่างทุลักทุเล มันยากกว่าที่คิดไว้มาก เพราะร่างกายนี้ไม่ได้แข็งแรงเท่ากับร่างกายเดิมของเธอ
"พี่หรูซิน... ระวังนะเ้าคะ" ชุนฮวาเอ่ยอย่างเป็ห่วง มองพี่สาวด้วยความกังวล
ไป๋หรูซินยิ้มให้น้องสาว "ไม่เป็ไรจ้ะ พี่ทำได้" เธอใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะตัดไม้ไผ่ได้หลายลำ ก่อนจะลากมันกลับมายังลำธารใกล้กระท่อม
ริมลำธาร ไป๋หรูซินนั่งลงบนโขดหิน เธอนำไม้ไผ่ที่ได้มาวางลงแล้วทุบให้แตกแล้วใช้มีดที่ทำจากหินคมๆ ค่อยๆ เหลาไม้ไผ่ให้เป็ซี่เล็กๆ แล้วนำมาสานเข้าด้วยกันเป็รูปทรงกรวยขนาดใหญ่ ปลายกรวยเล็กเรียวเข้าไปด้านใน เพื่อให้ปลาเข้าได้แต่ว่ายออกไม่ได้
"นี่คืออะไรหรือเ้าคะพี่หรูซิน?" ชุนฮวาถามอย่างใสซื่อ ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่การทำงานของพี่สาวด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม
"นี่คือที่ดักปลาจ้ะ เมื่อปลาว่ายเข้าไปแล้ว ก็จะออกมาไม่ได้" ไป๋หรูซินอธิบายอย่างง่ายๆ "เราจะเอาไปวางไว้ในลำธารนะ"
ชุนฮวาพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็ยังคงงุนงงไม่หาย เด็กน้อยไม่เคยเห็นวิธีการจับปลาแบบนี้มาก่อน
หลังจากทำที่ดักปลาเสร็จแล้ว ไป๋หรูซินก็ยังไม่หยุด เธอหันไปหาไม้เล็กๆ ที่พอจะงอได้ แล้วนำมาเหลาปลายให้แหลม ก่อนจะผูกด้วยเถาวัลย์บางๆ ที่มีความเหนียวแน่น เธอเริ่มทำ 'บ่วง' หรือกับดักสัตว์ขนาดเล็กที่ใช้สำหรับดักไก่ป่า หรือสัตว์เล็กๆ ที่วิ่งผ่านไปมา เธอเคยเห็นวิธีการทำกับดักเหล่านี้ในสารคดีเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในป่า
"แล้วนี่อะไรหรือเ้าคะพี่หรูซิน?" ชุนฮวาถามอีกครั้งเมื่อเห็นพี่สาวกำลังทำสิ่งแปลกๆ
"อันนี้เอาไว้ดักไก่ป่าจ้ะ หรืออาจจะได้กระต่ายตัวเล็กๆ ด้วย" ไป๋หรูซินตอบพลางสาธิตวิธีการวางกับดักแบบคร่าวๆ "เราจะเอาไปวางไว้ตามทางเดินของสัตว์นะ"
ชุนฮวาทำตาโต "จับไก่ป่าได้ด้วยหรือเ้าคะ! เยี่ยมไปเลยเ้าค่ะพี่หรูซิน! ถ้ามีไก่ เราก็จะได้กินไข่ด้วยใช่ไหมเ้าคะ!" ความคิดเื่ไข่ทำให้เด็กน้อยตื่นเต้นยิ่งกว่าการจะได้กินปลาเสียอีก
ไป๋หรูซินยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของน้องสาว "ใช่จ้ะ ถ้าเราจับไก่ได้ เราก็จะได้กินไข่ด้วย"
่บ่ายแก่ๆ เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง คราวนี้พวกเขาแบกที่ดักปลาและบ่วงกับดักขึ้นไปยังลำธารบนเขา ไป๋หรูซินเลือกจุดที่กระแสน้ำไหลไม่แรงมากนัก มีกอหญ้าและโขดหินกำบัง เธอจมที่ดักปลาลงไปในน้ำอย่างระมัดระวัง ใช้ก้อนหินทับไว้ไม่ให้ลอยไปตามน้ำ และไม่ลืมที่จะใส่หนอนตัวอ้วนๆ เป็เหยื่อล่อเข้าไปข้างในที่ดักปลาด้วย
"เราจะวางไว้ตรงนี้นะชุนฮวา พรุ่งนี้เช้าเราค่อยมาดู" ไป๋หรูซินบอกน้องสาว
จากนั้น พวกเขาก็เดินเลียบไปตามทางเดินของสัตว์ป่าที่ไป๋หรูซินสังเกตเห็นเมื่อวาน เธอเลือกจุดที่เหมาะสม มีพุ่มไม้กำบัง และเป็เส้นทางที่สัตว์มักจะเดินผ่าน ก่อนจะวางบ่วงกับดักที่ทำจากเถาวัลย์ลงไป
ขณะที่กำลังเดินเลียบไปตามริมฝั่งลำธาร สายตาของไป๋หรูซินก็เหลือบไปเห็นพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ มันมีลักษณะคล้ายขิง แต่มีสีม่วงเข้มอมดำ และมีกลิ่นหอมเย็นะเืแปลกๆ ไป๋หรูซินจำได้ทันที!
"นี่มัน... รากบัวหิมะพันปี!" ไป๋หรูซินพึมพำเสียงแ่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด ดวงตาของเธอเบิกกว้างกว่าปกติ แสงแห่งความยินดีฉายชัดออกมาจากแววตาคู่นั้นอย่างไม่อาจเก็บงำได้ หัวใจของเธอเต้นระรัวราวกับกลองศึก เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เจอสมุนไพรหายากระดับนี้ในโลกแห่งความจริง ในโลกเดิม รากบัวหิมะพันปีเป็สมุนไพรในตำนานที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการฟื้นฟูร่างกาย บำรุงกำลัง และเป็ยาอายุวัฒนะที่หายากและมีราคาสูงลิบลิ่วจนแทบไม่มีใครเคยเห็นของจริง
ไป๋หรูซินทรุดตัวลงนั่งอย่างรวดเร็ว เธอใช้มือที่สั่นเทาค่อยๆ เขี่ยดินออกอย่างระมัดระวังราวกับกำลังขุดหาสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนและปราณีตที่สุด เธอกลัวว่ามันจะเสียหายหรือหักไปเสียก่อน ชุนฮวาที่ยืนอยู่ข้างๆ มองพี่สาวด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่สาวถึงตื่นเต้นกับรากไม้ธรรมดาๆ เช่นนี้
"พี่หรูซิน... นี่คืออะไรหรือเ้าคะ? ดูท่านพี่ดีใจเหลือเกิน" ชุนฮวาถามด้วยความสงสัย
ไป๋หรูซินเงยหน้าขึ้นมามองน้องสาวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม "นี่คือสมุนไพรวิเศษจ้ะชุนฮวา มันหายากมาก... หายากกว่าที่เราเจอเมื่อวานหลายเท่าเลยนะ"
เธอยังคงขุดต่อไปอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดก็สามารถขุดรากบัวหิมะพันปีขนาดเท่าฝ่ามือออกมาได้สำเร็จ มันมีลักษณะคล้ายหัวขิงอ้วนๆ สีม่วงเข้มอมดำ มีเส้นใยเล็กๆ แผ่กระจายออกไป ไป๋หรูซินใช้ใบไม้สดห่อหุ้มรากบัวหิมะพันปีอย่างระมัดระวังที่สุด ราวกับมันคือเพชรพลอยล้ำค่า แล้วเก็บซ่อนไว้ในสาบเสื้ออย่างมิดชิด เธอวางแผนแล้วว่า เธอจะนำมันไปขายที่ตลาดในเมือง เพื่อนำเงินมาใช้ในการปรับปรุงกระท่อม ซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็ และซื้อเมล็ดพันธุ์พืช การได้รากบัวหิมะพันปีในครั้งนี้ คือก้าวแรกที่สำคัญที่จะช่วยให้เธอและน้องสาวพลิกฟื้นชีวิตได้อย่างแท้จริง
เมื่อวางกับดักทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว แสงจันทร์เริ่มทอประกายออกมา ไป๋หรูซินและชุนฮวาเดินกลับกระท่อมด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในใจกลับเปี่ยมด้วยความหวัง ทั้งคู่กินมันเทศต้มคลุกเครื่องปรุงรสลับที่เหลืออยู่เป็อาหารค่ำ
"พี่หรูซิน... พรุ่งนี้เราจะได้กินปลาใช่ไหมเ้าคะ?" ชุนฮวาถามพลางเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ใบหน้าเล็กๆ ที่เคยซีดเซียวเริ่มมีเืฝาดขึ้นเล็กน้อย
ไป๋หรูซินยิ้มให้ "พี่ก็หวังว่าจะเป็อย่างนั้นนะจ้ะ ชุนฮวาจะได้แข็งแรงขึ้น"
"ข้าอยากกินเนื้อไก่ด้วยเ้าค่ะ! พี่หรูซินจับไก่ได้จริงๆ หรือเ้าคะ?" ชุนฮวาถามอย่างตื่นเต้น
ไป๋หรูซินหัวเราะเบาๆ "เราต้องรอดูพรุ่งนี้เช้านะจ้ะ"
สองพี่น้องคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จินตนาการถึงอาหารอร่อยๆ ที่กำลังจะได้กินในวันพรุ่งนี้ เสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นในกระท่อมอันเงียบสงัด เป็เสียงแห่งความสุขและความหวังที่เริ่มก่อตัวขึ้นในบ้านใหม่ริมชายเขาแห่งนี้
ในยามดึกสงัด เมื่อชุนฮวาหลับไปแล้ว ไป๋หรูซินค่อยๆ คลี่ผ้าที่ห่อหุ้มรากบัวหิมะพันปีออกมา เธอมองมันด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ นี่คือขุมทรัพย์ที่ธรรมชาติมอบให้ เป็โอกาสที่เธอจะใช้มันเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเธอและน้องสาวให้ดีขึ้น
“โลกใบนี้ยังคงมีสิ่งดีๆ มอบให้เราเสมอ ตราบใดที่เราไม่ยอมแพ้” ไป๋หรูซินคิดในใจ เธอกำชับรากบัวหิมะพันปีในมือแน่น ก่อนจะห่อมันกลับไปอย่างระมัดระวัง แล้วเก็บซ่อนไว้ใต้เสื่อของเธอและเธอก็นอนหลับไป