หลินกู๋หยู่ก้มหน้าลงด้วยรอยยิ้ม นางเอื้อมมืออุ้มโต้ซาขึ้น
ในความเป็จริง นางค่อนข้างอาลัยอาวรณ์ที่จะแยกทางกับเ้าก้อนซาลาเปาที่เป็เด็กดีเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงโน้มจูบพวงแก้มของเด็กน้อย
“ง่วงนอนแล้ว” โต้ซายกมือขึ้นขยี้ตา มองหลินกู๋หยู่อย่างไร้เดียงสา
“ข้าจะอุ้มเ้าไปนอน” หลินกู๋หยู่ยื่นมือออกบีบใบหน้าเล็กๆ ของโต้ซา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นให้โต้ซา หลินกู๋หยู่ก็วางโต้ซาลงบนเตียง ห่มผ้านวมให้เขาแล้วลุกขึ้น
ทันทีที่เด็กสาวหันกลับมา เห็นฉือหางยืนอยู่ข้างโต๊ะพร้อมกับทำท่าจะล้างจาน
“ข้าจะทำสิ่งเหล่านี้เอง” หลินกู๋หยู่เดินไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือไปหยิบชามในมือของฉือหาง
เมื่อฉือหางรู้สึกได้ว่ามือของหลินกู๋หยู่ัักับมือของเขา เขารู้สึกว่ามือของตนเองร้อนมาก เขาสับสนทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
ได้แต่เฝ้าดูหลินกู๋หยู่เดินออกไปพร้อมกับชามและตะเกียบอย่างหมดหนทาง
ในอดีตหลินนางชอบดูทีวีและภาพยนตร์ใน่เวลาพักผ่อน แต่ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูเลย
หลังจากจัดการสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ออกไปดูสมุนไพรที่ตากแห้ง พลิกสมุนไพรเ่าั้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับฉือหางที่อยู่ข้างๆ ว่า "ข้าอยากจะขึ้นเขาเพื่อไปเก็บสมุนไพร ยาที่บ้านใช้ไปเกือบจะหมดแล้ว”
“ข้าจะไปกับเ้า” ฉือหางก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว “เ้าขึ้นเขาคนเดียวมันอันตรายเกินไป”
“โต้ซายังหลับอยู่” หลินกู๋หยู่มองไปในห้อง แล้วลดเสียงลง “ถ้าเ้าไปด้วย จะไม่มีใครเฝ้าดูเขา เช่นนั้นจะดีได้อย่างไร?”
ฉือหางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า มองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างเป็กังวล "แต่บนเขาอันตรายมาก"
“ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยไปมาก่อน ไม่เป็ไร” หลินกู๋หยู่เดินไปที่ด้านข้างตะกร้าไม้ไผ่ ก้มลงหยิบสมุนไพรข้างในออกมา
ฉือเย่กำลังคิดว่าหลินกู๋หยู่ยังไม่คืนหนังสือของเขา สงสัยว่าหลินกู๋หยู่จะเข้าใจในสิ่งที่เขาหมายความถึงหรือไม่?
ตอนนี้ร่างกายของเขาฟื้นตัวดีพอสมควรแล้ว ฉือเย่ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกในขณะที่โจวซื่อไม่ได้อยู่ในลานบ้าน
เมื่อเดินไปที่ลานบ้านของพี่ชายสาม เขาก็เห็นพี่ชายสามเดินตามหลังหลินกู๋หยู่ และดูเหมือนทั้งสองคนกำลังสนทนาถึงเื่บางอย่าง
"น้องชายสี่ ตอนนี้เ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่?" เมื่อฉือหางเห็นฉือเย่เดินเข้ามา เขาก็หันมองไปด้วยรอยยิ้ม
ฉือเย่พยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่กล้ามองหน้าของฉือหางอยู่หลายส่วน สายตาของเขาฉายแววความสับสน
"พี่สาม" ฉือเย่ชะงัก เขาไม่ได้เอ่ยทัก ‘กู๋หยู่’ "พวกพี่กำลังทำอะไรอยู่หรือ?"
เมื่อพูดเช่นนี้ ดวงตาของฉือหางเป็ประกายวับหนึ่ง มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะโค้งขึ้น "น้องสี่ เ้ามีเวลาว่างหรือไม่?"
ฉือเย่รู้สึกเขินอายเมื่อถูกฉือหางมอง เขาพยักหน้า จากนั้นเอ่ยถามด้วยความงงงวย "เกิดอะไรขึ้น?"
"โต้ซาหลับไปแล้ว แต่ไม่มีใครคอยเฝ้า เ้าช่วยดูโต้ซาสักพักได้หรือไม่?" ฉือหางมองไปยังด้านในห้องปราดหนึ่งแล้วพูดกับฉือเย่
"อืม" ฉือเย่ผงกศีรษะ
หลินกู๋หยู่เก็บข้าวของใส่ตะกร้าไม้ไผ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็เห็นฉือเย่ยืนอยู่ข้างๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "น้องชายสี่ ตอนนี้เ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?"
ความกระอักกระอ่วนใจบนใบหน้าของฉือเย่ปรากฏแวบผ่านไปในชั่วพริบตา "เกือบจะหายเป็ปกติแล้ว"
"เ้าไม่มาที่นี่ ข้าก็เกือบลืมไปแล้ว ข้ายังมีหนังสือของเ้าอยู่ที่นี่ ข้าลืมคืนให้เ้า" ในระหว่างที่หลินกู๋หยู่พูด นางก็เดินไปที่อ่างไม้ ล้างมือ จากนั้นเดินไปด้านในห้อง
ฉือหางเดินไปที่ด้านข้างตะกร้าไม้ไผ่ ก่อนที่จะเริ่มจัดกระบอกใส่ธนูที่ไม่ได้ใช้เป็เวลานาน
เมื่อเห็นว่าฉือหางกำลังง่วนอยู่กับงานในมือ ฉือเย่จึงตามหลินกู๋หยู่เข้าไปในบ้านอย่างมีเลศนัย
ผ้าเช็ดมือผืนหนึ่งแขวนอยู่บนผนังข้างโต๊ะ มองดูหลินกู๋หยู่เช็ดมือที่ผ้าเช็ดมือ แล้วเดินไปที่ด้านข้างกล่องไม้ เมื่อเปิดกล่องก็หยิบหนังสือข้างในส่งให้ฉือเย่
"หนังสือเล่มนี้น่าสนใจเลยทีเดียว" ริมฝีปากของหลินกู๋หยู่โค้งขึ้นเล็กน้อย มองไปที่ฉือเย่ด้วยสายตาที่อ่อนโยน "ขอบคุณ"
ฉือเย่รับหนังสือจากมือของหลินกู๋หยู่ด้วยความผิดหวัง ทอดถอนหายใจอย่างเศร้าโศก บางทีนางอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาหมายความถึงเ่าั้แม้แต่เศษเสี้ยว
“น้องชายสี่มีคนที่หมายปองแล้วหรือยัง?”
ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นไม่เป็จังหวะ ฉือเย่เงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจ ดวงตาหลุบลงมองหนังสือในมือ เม้มริมฝีปากเล็กน้อย
"ข้าแค่พูดพล่ามไปก็เท่านั้น" เมื่อหลินกู๋หยู่มองไปที่รูปลักษณ์ของฉือเย่ นางไม่สามารถเข้าใจได้ว่าฉือเย่กำลังคิดอะไรอยู่ "เ้าอย่าคิดมาก ข้าแค่เห็นเ้าเขียนว่า 'สาวงามแสนดีเอย เ้าเป็ที่หมายปองของชายหนุ่ม' "
ฉือเย่ถือหนังสือไว้ในมือแน่น เงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่ น้ำเสียงของเขาแ่เบา "เ้าเข้าใจประโยคนี้หรือ?"
"ถ้าเ้าชอบสตรีบ้านใด ก็สามารถไปสู่ขอนางแต่งงานได้" หลินกู๋หยู่มองที่ฉือเย่ด้วยรอยยิ้ม
ปีนี้ฉือเย่อายุสิบห้า อายุสิบห้านับว่าถึงวัยเหมาะสมที่จะแต่งงานแล้วในยุคนี้
“น้องชายสี่มีคนที่หมายปองแล้วงั้นหรือ?” จู่ๆ เสียงของฉือหางก็ลอดดังมาจากข้างนอก
ฉือเย่หันศีรษะของเขาอย่างกะทันหัน เห็นฉือหางยืนอยู่ที่ประตูมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน
เขาก้าวถอยหลัง บังเอิญชนเข้ากับเสาด้านข้าง
"ไม่มี" ฉือเย่พิงกำแพง ส่ายศีรษะเล็กน้อย "บอกว่ามีงานจะต้องทำไม่ใช่หรือ ข้าจะรอพวกพี่กลับมาที่นี่"
"ขอบคุณ" ฉือหางกล่าว เขาเดินไปอยู่ข้างหลินกู๋หยู่อย่างรวดเร็ว คว้าจับมือของนางไว้
ฝ่ามือร้อนผ่าว หลินกู๋หยู่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“พวกเราขอตัวก่อน เ้าตั้งใจอ่านหนังสือละ” ฉือหางหันศีรษะไปมองหลินกู๋หยู่ “ข้าจะพาเ้าขึ้นเขา”
"ดี" หลินกู๋หยู่้าที่จะดึงมือกลับ เพียงแต่ฉือหางกระชับมือแน่นขึ้น
นางเดินตามเขาไปโดยที่เขาไม่แม้แต่จะมองมาที่นาง ฝ่ามือของเขาก็ยังคงจับมือนางไว้แน่น
นี่นางกำลังถูกแต๊ะอั๋งอยู่หรือเปล่านะ?
พวกเขาทั้งสองคนจับมือกัน คนหนึ่งเดินด้านหน้า อีกคนหนึ่งเดินตามหลัง
หลังจากไปถึงลานบ้าน ฉือหางก็ปล่อยมือของหลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่รีบเดินไปที่ตะกร้าไม้ไผ่ แบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง
“ข้าพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ” หลังจากหลินกู๋หยู่พูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้น
นางเห็นเขาสวมเสื้อคลุมแขนสั้นเนื้อหยาบ เปิดเผยเรียวแขนแข็งแรง มือถือคันธนู คาดเอวด้วยเชือกป่าน ผูกกระบอกธนูไว้ข้างหลัง ดูแตกต่างไปจากผู้ชายที่อ่อนโยนและดูซื่อๆ ในวันปกติทั่วไปอย่างมาก
ราวกับเป็คนที่มีความสามารถและความชำนาญ ร่างกายของเขาแผ่กลิ่นอายความเฉยเมยออกมาอย่างคลุมเครือ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะอยู่ห่างจากเขา
ทว่านี่คือฉือหางที่แท้จริง
"ไปกัน" เขาสะพายคันธนูในมือไว้ที่ด้านข้างของร่างกาย
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกัน ฉือหางหันศีรษะไปมองตะกร้าด้านหลังของหลินกู๋หยู่ "ให้ข้าช่วยถือตะกร้าไม้ไผ่ให้หรือไม่?"
หลินกู๋หยู่ส่ายศีรษะ "ข้างในนี้ไม่ได้ใส่อะไรเลย มันไม่หนักเลย"
เดิมทีฉือหางก็ไม่ใช่คนที่ช่างพูดช่างเจรจา เมื่อได้ยินหลินกู๋หยู่พูดดังนั้น เขาก็ตอบรับ และเดินเคียงข้างนางไปอย่างเงียบๆ
จากนั้นทั้งสองจึงเดินขึ้นไปบนูเา
เมื่อเข้าไปในเขตป่า เด็กสาวขมวดคิ้วมองไปที่สมุนไพรอย่างหมดหนทาง
บางทีอาจจะมีผู้คนขึ้นเขาเพื่อเก็บสมุนไพรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนในชนบทไม่มีเงินซื้อยา หลายคนจึงขึ้นเขาเก็บสมุนไพรที่คุ้นเคย ด้วยเหตุนี้สมุนไพรที่นี่จึงมีเหลือไม่มากนัก
เมื่อเห็นว่าหลินกู๋หยู่ไม่ได้เก็บสมุนไพรบริเวณรอบนอก ฉือหางก็เหลือบมองหลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจ กำคันธนูไว้ในมือแน่น เขาดึงลูกศรจากด้านหลังด้วยมือซ้ายอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นวางมันลงบนคันธนูพร้อมมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาสงบนิ่ง
ฉือหางมองไปรอบๆ อย่างจริงจัง โดยไม่แม้แต่จะมองหลินกู๋หยู่ที่อยู่ข้างๆ เขา "ถ้าเข้าไปข้างใน อาจจะอันตรายได้"
“แต่รอบนอกมีสมุนไพรไม่มากนัก” หลินกู๋หยู่มองไปที่สมุนไพรที่กระจัดกระจายเล็กน้อยอยู่บนพื้น หว่างคิ้วขมวดแน่น “สมุนไพรเหล่านี้เป็สมุนไพรที่พบเห็นได้ทั่วไป ข้าคิดว่าหลายคนน่าจะมียาสมุนไพรเหล่านี้แล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินกู๋หยู่พูด ฉือหางเหลือบมองไปที่สมุนไพรบนพื้นก่อนพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว หากเ้าเข้าไปข้างใน เ้าเดินตามหลังข้ามา หากมีอันตรายใดๆ เ้าก็หนีไปเสีย"
หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหาง "ตราบใดที่พวกเราระมัดระวัง ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
อาจเป็เพราะมีคนขึ้นมาบนูเาลึกนี้น้อยลงเรื่อยๆ หลังจากเดินเป็เวลานาน หลินกู๋หยู่ก็เหนื่อยเล็กน้อย
มองขึ้นไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า คาดว่าจะต้องให้ผู้ใหญ่มากกว่าสิบคนโอบรอบต้นไม้นี้ถึงจะสามารถโอบรอบต้นไม้ต้นนี้ได้
ป่าเบื้องหน้าเขียวชอุ่ม เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง้า เห็นแสงประปรายลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้เท่านั้น
หลินกู๋หยู่ยืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ นางเพิ่งจะรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กมากเพียงใด
"มีหญิงสาวคนหนึ่งเฝ้ารอการกลับมาของชายคู่หมั้นที่เป็ทหาร เพื่อจะได้พบคู่หมั้นของนางให้เร็วขึ้น นางจึงปีนขึ้นไปบนูเา หลังจากนั้นไม่นานนางก็กลายเป็ต้นไม้ที่เติบใหญ่ต้นหนึ่ง และเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะสามารถมองเห็นได้ไกลขึ้น” ฉือหางพูดเสียงแหบพร่า
ลมกรรโชกพัดมา ใบไม้ปลิวว่อน เสียงนั้นเหมือนอยู่ในความฝัน เปี่ยมไปด้วยความอ้างว้างและเศร้าเสียใจ
“เพียงแต่หญิงสาวคนนั้นไม่มีทางรู้ว่า คู่หมั้นของนางเสียชีวิตในสนามรบไปนานแล้ว” ฉือหางพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำต่อว่า “เพราะคนในหมู่บ้านเห็นนางเป็เช่นนั้น จึงไม่มีใครกล้าพูด…”
“คนเช่นนี้มีน้อยมากจริงๆ” หลินกู๋หยู่ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นหันศีรษะไปมองฉือหางที่อยู่ข้างๆ เขา “พวกเราเดินไปดูข้างหน้ากัน”
ฉือหางพยักหน้าพลางเดินตามหลังหลินกู๋หยู่
ก้าวไปเพียงสองก้าว จู่ๆ ฉือหางก็คว้าแขนของหลินกู๋หยู่ ดึงนางมาปกป้องไว้ที่ด้านหลัง สายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
"อย่าขยับ!"
เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะออกอาการประหม่า
สายลมพัดโชยชายกระโปรง แสงตกกระทบบนพื้นกลายเป็แสงเงาระยิบระยับ
ขนลุกซู่ตามร่างกาย แม้ตอนนี้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่กระนั้นอากาศก็ยังค่อนข้างอบอุ่น
หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปจับแขนของฉือหาง นางมองไปยังสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างประหวั่นพรั่นพรึง นี่เป็ครั้งแรกนางรู้สึกหวาดกลัวอยู่หลายส่วน
“หรือว่า” หลินกู๋หยู่พูดเสียงเบา “พวกเรากลับกันเถอะ”
ที่นี่ดูแปลกนัก โดยรอบเต็มไปด้วยวัชพืชขนาดเท่าเอวปลิวไสวไปตามสายลม ดูเหมือนกำลังซ่อนอาวุธสำหรับการฆาตกรรมเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
สายตาของฉือหางจ้องมองไปยังด้านหน้าอย่างเย็นเยียบ ค่อยๆ วางลูกศรลงบนคันธนู เขาดึงคันธนูอย่างเป็ธรรมชาติ
หลินกู๋หยู่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง มองไปตามแนวสายตาของฉือหาง แต่นางไม่เห็นอะไรเลย
"หวือ!"
ลูกธนูที่ออกจากเชือกพุ่งไปที่หญ้าโดยไม่รีรอช้าแม้แต่เศษเสี้ยว
"ปึง!"
"ฉึบบ!"
เมื่อได้ยินเสียงนั้น หลินกู๋หยู่ก็ใกลัวสุดขีด สิ่งที่เห็นคือพุ่มหญ้าที่โบกสะบัดเ่าั้
ก่อนที่นางจะทันได้ตอบสนอง ฉือหางก็ยิงธนูดอกที่สองอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วไม่อืดอาดแม้แต่น้อย
หลังจากลูกศรดอกที่สองถูกยิงออกไป หลินกู๋หยู่ก็ได้ยินเสียงหอน
"อาวู๊ววว์!"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้