หลินเฟิงไม่คิดที่จะฝึกในอยู่หุบเขาเมฆพายุต่อ เขารีบขึ้นไปยัง้าของหุบเขา
หลังจากขึ้นมาแล้ว หลินเฟิงก็ก้มมองลงไปในหุบเขาอันกว้างใหญ่ เขาเห็นผู้คนนับพันกำลังฝึกฝน ไม่ก็ต่อสู้กันอยู่ด้านล่าง และตอนนี้เองหลินเฟิงก็ได้เห็นพื้นที่เปิดโล่งแห่งหนึ่ง ขนาดของมันกินพื้นที่ในหุบเขาถึง 1 ใน 10 มันน่าจะสามารถบรรจุคนได้นับพันคนหมื่นคน
หลินเฟิงเดินมาถึงรอบนอกของหุบเขา และหลินเฟิงได้ไปเจอกับคนรู้จัก นั่นก็คือหานหมานและจิ้งหยุน
“หลินเฟิง” พอจิ้งหยุนเห็นหลินเฟิง ก็ะโเรียกออกมาอย่างดีใจ
“จิ้งหยุน เ้าสวยกว่าครั้งก่อนอีกนะ” หลินเฟิงกล่าวชม จิ้งหยุนในตอนนี้มีเสน่ห์ยิ่งนัก หากเทียบกับเมื่อไม่กี่วันก่อน หลินเฟิงเดาว่านี่น่าจะเป็ผลลัพธ์ของเม็ดยาจู้เหยียน
จิ้งหยุนได้ยินคำพูดของหลินเฟิงก็หน้าแดงขึ้นมา แล้วก้มหัวลงเล็กน้อยอย่างเขินอาย “ตรงไหนกัน”
“ฮ่าฮ่า หลินเฟิง เ้าทำให้จิ้งหยุนเขินไปหมดแล้ว” หานหมานเดินเข้ามาหาพลางตบไหล่ของหลินเฟิงอย่างสนิทสนม “ทีแรกพวกข้าก็ว่าจะไปหาเ้า แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเ้าที่นี่”
“หาข้า? มีธุระอะไรหรือ?” หลินเฟิงถาม
“หลินเฟิง หลังจากที่ใช้เม็ดยากุยหยวน เ้าก็สามารถทะลวงระดับผ่านแล้วใช่ไหม?” หานหมานมองหลินเฟิงอย่างตั้งตารอ ตอนที่หลินเฟิงสังหารหมาป่านรก เขาก็เพิ่งอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 หลังจากทะลวงผ่านไปอีกขั้นแล้วจะน่าเกรงขามขนาดไหน
“ใช่ ข้าเพิ่งทะลวงผ่าน แล้วพวกเ้าล่ะ” หลินเฟิงกล่าวยิ้มๆ
“แน่นอน ข้าบอกเ้าแต่แรกแล้วว่าข้าทะลวงระดับได้แน่ๆ” หานหมานกล่าวขณะยิ้ม “จิ้งหยุนยังไม่สามารถทะลวงผ่านได้ในตอนนี้ อาจจะต้องใช้เวลาสักพักถึงจะบรรลุระดับต่อไปได้ ส่วนชิงอียังไม่ออกจากที่พัก แต่ข้าคิดว่าอีกไม่นานเขาคงสามารถบรรลุได้อย่างแน่นอน”
หลินเฟิงพยักหน้า ถึงแม้ว่าหานหมานจะเป็คนเอื่อยเฉื่อย แต่ว่าการบ่มเพาะของเขากลับแข็งแกร่งกว่าจิ้งหยุนและชิงอีเสียอีก ดังนั้นจึงเป็เื่ปกติที่เขาจะเลื่อนระดับก่อนใคร
“หานหมาน เ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่ามาหาข้ามีธุระอะไร?”
หานหมานเกาหัวเล็กน้อยคล้ายกับว่าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี หลินเฟิงยังคงอดทนรอให้อีกฝ่ายพูด
“หลินเฟิง ตอนนี้ข้าบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 แล้ว และข้าก็อยากไปที่หุบเขาเมฆพายุ แต่ข้าเกรงว่าจะถูกสังหารโดยผู้บ่มเพาะที่โเี้ ข้าจึงอยากรบกวนให้เ้าไปเป็เพื่อนข้าหน่อย ถ้าหากเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เหี้ยมโหดมาก เ้าไม่ต้องลงมือนะ ข้าจะเป็คนจัดการเอง”
หานหมานยิ้มกว้างขณะที่ขอร้องหลินเฟิง หลินเฟิงเข้าใจในสิ่งที่หานหมาน้า แน่นอนว่าเขาไม่คิดปฏิเสธคำข้อร้องของสหายอยู่แล้ว
“เมื่อไร?” หลินเฟิงถาม
“พรุ่งนี้ ข้าต้องเตรียมหน้ากากก่อน” หานหมานเห็นหลินเฟิงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ที่ในใจก็รู้สึกชื่นชมหลินเฟิงมากขึ้น ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ทว่าเขากลับไม่หยิ่งยโส มิหนำซ้ำยังเป็คนยุติธรรมและไม่เื่มากอีกด้วย เห็นได้ชัดจากตอนที่พวกเขาเข้าไปล่าสัตว์อสูรที่หุบเขาเฮยเฟิง ทั้งที่การจัดการสัตว์อสูรส่วนใหญ่เป็ฝืมือของหลินเฟิง แต่ทว่าหลินเฟิงกลับยืนยันที่จะแบ่งสมบัติที่ได้มาให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม
“ได้ พร้อมเมื่อไรก็เรียกข้าได้เลย” หลินเฟิงตอบกลับทันที ผู้คนมากมายที่เข้าไปยังหุบเขาเลือกที่จะสวมหน้ากากไว้ ไม่ใช่เป็เพราะกฎของนิกายหรืออะไร แต่เป็เพราะว่ายามที่พ่ายแพ้มาจะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้า ส่วนคนที่ชนะก็จะได้ไม่ถูกคนที่มีนิสัยขี้แพ้ชวนตีนำปัญหามาให้
“ข้าอยากไปด้วย หลินเฟิง เ้าปกป้องข้าหน่อยนะ” จิ้งหยุนพูดเสียงออดอ้อนออกมา ทำให้หลินเฟิงชะงัก ส่วนหานหมานมองจิ้งหยุนตาค้าง
“มองอะไรกัน?” จิ้งหยุนมองพวกเขาและกระทืบเท้าอย่างเขินอาย
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” หลินเฟิงยิ้มออกมาเมื่อเห็นจิ้งหยุนแสดงนิสัยผู้หญิงขี้อ้อนออกมา ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องมีมุมอ่อนแอของผู้หญิงอยู่บ้างสินะ แต่คนที่แปลกใจที่สุดคือหานหมาน หากเขามองไม่ผิด เหมือนจะเห็นสายตาหวานเชื่อมของจิ้งหยุน ขณะที่เอ่ยปากขอร้องหลินเฟิงให้ปกป้องนาง
“เ้าอยากไปก็ย่อมได้ แต่พวกเราจะต้องไม่ทำตัวให้กลายเป็จุดสนใจนะ” หลินเฟิงกล่าวออกมา ในหุบเขาเฮยเฟิงมียอดฝีมืออยู่มากมาย มีแม้กระทั่งศิษย์สายใน ด้วยความที่ศิษย์สายในค่อนข้างหยิ่งยโส ดังนั้นพวกเขาจึงชอบที่จะลงมือทำร้ายศิษย์สายนอกอยู่บ่อยครั้ง หลินเฟิงมั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา ถ้าหากไม่ไปเจอศิษย์สายในที่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อครู่ ก็ไม่น่าจะพบอุปสรรคอะไรในหุบเขาเฮยเฟิง
ความจริงแล้ว สถานการณ์ในวันนี้เป็เื่บังเอิญที่หาได้ยาก ดังนั้นหลินเฟิงจึงซวยไปพบกับ 1 ใน 10 อันดับแรกของศิษย์สายนอก และศิษย์สายในที่แข็งแกร่งคนนั้น
หลังจากที่ทั้งสามคนได้ปรึกษาหารือกันเรียบร้อย ก็พากันแยกย้ายกลับไป หลินเฟิงกลับไปที่ห้องพักของตัวเองเพื่อบ่มเพาะพลังต่อ เขามุ่งมั่นในการบ่มเพาะพลังจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้หลินเฟิงกระหายอยากจะแข็งแกร่งขึ้น
เช้าของวันที่สอง หานหมานมาหาหลินเฟิงก่อน จากนั้นก็พากันไปหาจิ้งหยุน
นิกายหยุนไห่นั้นกว้างใหญ่ ที่พักของศิษย์สายนอกจึงแบ่งออกเป็หลายพื้นที่
เมื่อหลินเฟิงกับหานหมานมาถึงสถานที่นัดพบของจิ้งหยุน ก็เห็นสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไรของจิ้งหยุน ข้างกายของนางมีเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งกำลังพูดคุยบางอย่างกับนาง
“จิ้งหยุน เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หลินเฟิงเดินเข้าไปถามจิ้งหยุน
“หลีกไปให้พ้นไอ้ขยะ ไม่เห็นหรือไงว่าข้ากำลังพูดกับจิ้งหยุนอยู่? เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดแทรก?” เด็กหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับจิ้งหยุนอยู่ก็หันมาตะคอกใส่หลินเฟิง เนื่องจากว่าเขากับหลินเหิงนั้นรู้จักกัน ดังนั้นจึงรู้จักหลินเฟิงไปด้วย
“หลินเฟิง เ้ามาแล้ว” จิ้งหยุนไม่สนใจเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าและยิ้มให้หลินเฟิง
“ใช่ พวกเราไปกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าวขณะที่กวาดสายตาเย็นะเืมองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น และพาจิ้งหยุนเดินออกไปทันที
“ช้าก่อนจิ้งหยุน” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับดึงแขนของจิ้งหยุน
“ไปให้พ้น!” หลินเฟิงสะบัดฝ่ามือออกไป แล้วปล่อยคลื่น์เก้ากระแทกใส่ร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กคนนั้นอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 ไม่มีทางที่จะสามารถต้านทานการโจมตีของหลินเฟิงได้ ร่างของเขากระเด็นออกไปพร้อมกระอักเืออกมา จากนั้นก็เงยหน้ามองหลินเฟิงด้วยสายตาตื่นตระหนก
“ไอ้ขยะ” หลินเฟิงกล่าวสองคำออกมาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มที่นอนกองอยู่ที่พื้นหน้าซีดเผือดขึ้นมา ั้แ่เมื่อไรกันที่เ้าขยะหลินเฟิงมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้?
“เ้าหมอนั่นไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? ถึงได้มากวนโมโหหลินเฟิง โอ๊ะ จริงสิจิ้งหยุน เ้าหมอนั่นเป็ใคร?” หานหมานที่เดินข้างๆ หลินเฟิงก็เอ่ยถามจิ้งหยุนอย่างสงสัย
เมื่อได้ยินคำพูดของหานหมาน จิ้งหยุนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปยังหลินเฟิงกับหานหมานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย “เขาบอกว่าพบศพของจิ่งเฟิงในหุบเขาเฮยเฟิง จากสภาพของศพมีรอยถูกฟันที่คอ ตอนนี้จิ่งฮ่าวพี่ชายของจิ่งเฟิงกำลังระดมคนตามหาจิ่งเฟิงอยู่ อีกไม่นานเขาคงมาเค้นถามกับเราแน่”
หานหมานใเล็กน้อย มิน่าเล่าสีหน้าของจิ้งหยุนถึงดูไม่ดีนัก
“อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดเถอะ” หลินเฟิงกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ถูกต้อง เขายังไม่ใช่ศิษย์สายใน และคงไม่กล้าลงมือทำอะไรพวกเราในนิกายหยุนไห่หรอก อาจจะต้องระมัดระวังตัวยามที่เข้าไปในหุบเขาเมฆพายุอยู่บ้าง แต่ที่นั่นคนก็มากมาย แถมพื้นที่ยังกว้างอีก พวกเราคงไม่ดวงซวยไปพบพวกนั้นหรอก” หานหมานกล่าว
ไม่นานนัก ร่างทั้งสามก็ทยอยกันไต่ลงมาตามโซ่ เมื่อเท้ากระทบกับพื้นก็มีฝุ่นควันฟุ้งกระจายเล็กน้อย ทั้งสามคนล้วนสวมใส่หน้ากาก แน่นอนว่าสามคนนี้ก็คือพวกหลินเฟิงนั่นเอง
ภายในหุบเขามีป้อมปราการดินอยู่หลังหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่มากและครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง เทียบเท่ากับบ้านของคนธรรมดานับสิบครัวเรือน ถึงแม้ว่ามันจะทำมาจากดิน แต่กลับมีความแข็งแกร่งเป็อย่างมาก แม้แต่พายุที่บ้าคลั่งก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่มันได้
ในหุบเขาเมฆพายุมีปราการดินแบบนี้อีกเป็จำนวนมาก
หานหมานเอื้อมมือออกไปััป้อมปราการดิน แต่กลับไม่มีดินโคลนสีเหลืองเปื้อนติดมือมาสักนิด ไม่รู้ว่าป้อมปราการดินนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งพรวดพราดออกมาจากป้อมปราการดิน คนคนนี้สวมหน้ากากเหมือนพวกเขา และเมื่อเห็นพวกหลินเฟิงก็รีบเผ่นแน่บไปไกลยิ่งกว่าเดิม ทำให้พวกหลินเฟิงยืนอึ้งอยู่กับที่
ไม่ช้า หลินเฟิงและคนอื่นๆ ก็เข้าใจอาการของคนคนนั้น พวกเขาสบตากันแล้วหัวเราะออกมา คนที่เข้ามาในหุบเขาเมฆพายุ ไม่มีใครไม่แข็งแกร่ง ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 หรือ 8 บางทีอาจจะสูงกว่านั้น เมื่ออยู่ที่นี่จะไม่มีใครมองออกว่าอีกฝ่ายมีระดับการบ่มเพาะขั้นที่เท่าไร ดังนั้นภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เมื่อเห็นพวกหลินเฟิงยืนจับกลุ่มกันสามคน ทั้งยังดูไม่ธรรมดาไม่ว่าใครก็ต้องวิ่ง
ใครจะรู้ว่าสามคนนั้นอาจจะร่วมมือกันเพื่อหาคนกระทืบเล่น? แน่นอนว่าเื่แบบนี้มีให้เห็นในหุบเขาเมฆพายุบ่อยๆ
“ดูเหมือนว่าพวกเราต้องเว้นระยะห่างกันหน่อยแล้วล่ะ” หลินเฟิงหัวเราะเบาๆ ขณะที่ถอยหลังออกมา จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ก็เพื่อให้หานหมานหาประสบการณ์ในการต่อสู้ ดังนั้นหลินเฟิงเพียงแค่คอยมองอยู่ห่างๆ ก็พอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้