เมื่อเกาจิ่วเห็นนางลังเลสงสัยเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่พอใจกับราคา จะว่าไปก็ถูกต้อง สูตรอาหารหนึ่งเดียวในราชวงศ์โจวย่อมมีราคาต่างออกไป ประจวบเหมาะใช้เื่นี้ในการโอนโฉนดให้แก่นาง
“ถูกต้อง อาหารเช่นนี้ของเ้าพวกข้าไม่เคยเห็น ข้าให้เ้าหนึ่งร้อยตำลึง เป็อย่างไร?”
ไม่ต้องเอ่ยถึงหลิวเต้าเซียง กระทั่งหลิวซานกุ้ยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เกือบทำจอกน้ำชาหล่นด้วยความใ
โชคดีที่เขายังมีปฏิกิริยารวดเร็วและจับไว้อย่างมั่นคงได้ทันเวลา เพียงแต่หัวใจดวงน้อยนั้นเต้นตึกตัก เขาได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ หนึ่งร้อยตำลึง
หากจะทำสวน เขาคงต้องรัดเข็มขัดอยู่หลายปี ไม่สิ หากไม่มีสวน ชาตินี้เขาก็ยังคงไม่มีทางที่จะได้มากมายเช่นนี้
“หนึ่งร้อยตำลึงนับว่าไม่น้อยทีเดียว” เกาจิ่วกลัวว่านางจะไม่ดีใจนัก จึงเอ่ยเสริมอีก
หลิวเต้าเซียงได้สติกลับมา ยิ้มแล้วตอบ “ไม่น้อยเ้าค่ะ” นางคิดไม่ถึงจริงๆ นางยังไม่ทันได้ขานราคาเต็มที่ แต่อีกฝ่ายกลับเพิ่มมูลค่าให้เอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความมีตัวตนของเกาจิ่วนั้นพุ่งทวีสูงขึ้น
หลิวเต้าเซียงได้ติดป้ายคนดีให้เขาอย่างเงียบๆ เป็ที่เรียบร้อย
“ท่านพ่อ มองว่าอย่างไร?”
หลิวซานกุ้ยมองไปที่บุตรสาวที่ดวงตากลมโตเป็ประกาย กะพริบตามองมายังตนเอง
เขาอยากจะพูดว่า ลูกรัก เ้าต้องคิดเองแล้วล่ะ พ่อเ้าชาตินี้ยังไม่เคยเห็นเงินมากมายเช่นนี้เลย
“ข้าว่าได้”
ใบหน้าของเขายังคงขึงขัง ดูไม่ออกสักนิดว่าหัวใจจะเต้นะโออกมาทางปากแล้ว
หลิวเต้าเซียงมองไปยังหลิวซานกุ้ยที่แสร้งทำตัวนิ่ง จึงอยากหัวเราะ
“เช่นนั้นเรามาแลกเปลี่ยนกัน ท่านให้เงิน ข้าให้ตำรับอาหาร ท่านป้า บ้านท่านมีพู่กันและหมึกหรือไม่?”
แม่เฒ่าจางก็ใเช่นกันก่อนที่นางจะได้สติกลับมา จึงรีบเอ่ย “มีๆๆ ข้าจะไปเอามาเดี๋ยวนี้”
เมื่อแม่เฒ่าจางหยิบปากกาและหมึกมา เกาจิ่วได้นับตั๋วเงินสิบตำลึงสิบใบวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อย
รอเพียงหลิวเต้าเซียงเขียนสูตรอาหาร เขาก็จะยื่นเงินให้แก่นาง
หลิวเต้าเซียงหยิบแปรงและเขียนตัวอักษรราวกับไก่เขี่ยออกมา และยื่นออกไปอย่างรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
อืม หากพอมีทาง นาง้ากดปุ่มย้อนกลับไปเพื่อฝึกเขียนพู่กันตอนอยู่ที่โลกปัจจุบันให้ดีกว่านี้
เกาจิ่วกลั้นยิ้มและหยิบสูตรนั้นขึ้นมา ก่อนจะยื่นตั๋วเงินให้
เมื่อเห็นว่า้ากระดาษเขียนคำว่าแป้งมัน เขาคิดอยู่นานครึ่งค่อนวันก็นึกไม่ออกว่ามันคือสิ่งใด
เขาถามหลิวเต้าเซียงว่าสิ่งนี้คืออะไร
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าตนเองนั้นได้ประดิษฐ์ของชิ้นใหม่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ
นางจึงบอกเกาจิ่วว่าแป้งมันทำออกมาอย่างไร
“เพียงแค่เอาผงข้าวโพดนวดและแช่น้ำ วางพักไว้หนึ่งคืน จากนั้นเทน้ำ้าออก ที่เหลือก็สามารถเรียกว่าแป้งมันได้แล้ว?”
เดาว่าเรียกแป้งมัน หลิวเต้าเซียงม้วนผมของตนเอง อันที่จริงมันสมควรเรียกว่าแป้งมันข้าวโพด
“นี่คือสิ่งที่ข้าทําออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าและพบว่า หลังจากผสมกับเนื้อแล้วนำไปผัดและคั่ว จะทำให้เนื้อนุ่มขึ้นมาก ไม่เคี้ยวยากเกินไป”
“ใช้เช่นนี้ได้ด้วยหรือ?” เกาจิ่วดวงตาเป็ประกาย เขาไม่ได้สงสัยหลิวเต้าเซียง
ใครใช้ให้ตระกูลหลิวนับว่าเป็บ้านที่มั่งมี แม้ว่าครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ยจะยากจน แต่ยังดีที่ไม่ได้แยกบ้าน ด้วยเหตุนี้คำพูดของหลิวเต้าเซียง เกาจิ่วจึงเลือกที่จะเชื่อ
หลิวเต้าเซียงเป็เด็กแก่นแก้วที่มีความคิดเป็ของตนเอง ย่อมไม่ค่อยเชื่อฟังคำผู้ใหญ่อยู่แล้ว
“ใช่แล้ว ข้าใช้สิ่งนี้เพื่อทําอาหารให้ครอบครัวของข้ามาก่อน” หลิวเต้าเซียงโกหกหน้าตายโดยเปลือกตาไม่กะพริบ
ในใจของเกาจิ่วดีใจยิ่งนัก เขานึกถึงเื่นี้ที่จำต้องรายงานให้แก่นายน้อย แล้วก็ััโฉนดในกระเป๋า
“เ้าชื่อเต้าเซียงใช่หรือไม่!” เขาไม่ได้รอให้หลิวเต้าเซียงตอบแล้วพูดต่อว่า “เมื่อวานนี้เ้าพูดถึงลุงรองของเ้ากับข้า พูดตามจริง เขาทำงานในโรงเตี๊ยมให้ข้า มือเท้าก็ไม่ได้สะอาดนัก ข้าไม่พอใจในตัวเขาอย่างยิ่ง เพียงแต่เห็นแก่ว่าเขาทำงานให้โรงเตี๊ยมมาหลายปี ไม่ได้ทำความดีความชอบแต่ก็ยังพอมีผลงานอยู่บ้าง ข้าจึงให้โอกาสเขาอีกหน หลังจากเมื่อวานข้าสงสัย จึงส่งคนไปสืบเื่ระหว่างเ้ากับลุงรองของเ้า”
เขากลัวว่าหลิวเต้าเซียงจะโกรธ เพราะถึงอย่างไรเื่นี้ก็ทำโดยพลการ จึงรีบเอ่ยต่อว่า “ข้าเองก็ไม่ได้มีความหมายใด เพียงแต่เห็นว่าเ้ากับลุงรองของเ้านั้นไม่ถูกกัน แล้วได้ยินมาว่าปู่กับย่าของเ้าก็ดูเหมือนไม่ได้ชื่นชอบในตัวพ่อเ้านัก วันนี้หากเ้าได้รับเงินมากมายในคราวเดียว เ้าเคยคิดหรือไม่ว่า สมควรซื้อบ้านสักหลังแล้วปล่อยเช่าออกไป ในตำบลของเรามีคนสัญจรมากมาย คนทำมาค้าขายก็มาก อย่างไรก็สามารถปล่อยเช่าได้”
หลิวเต้าเซียงคิดเพียงว่าเขาได้กำไรเื่แป้งมัน จึงได้นำเสนอเื่นี้ให้แก่นาง
ในความเป็จริงอีกแง่มุมหนึ่ง เกาจิ่วก็หมายความเช่นนี้จริงๆ
ดังนั้นนางจึงตอบโดยไม่มีแรงกดดันใดๆ “บ้านในตำบลเกรงว่าราคาคงไม่ใช่เพียงหนึ่งร้อยตำลึงหรอก”
แม้ว่านางจะไม่ทราบราคาที่เท่าใดนัก แต่ดูจากผู้คนที่สัญจรขวักไขว่ในตำบลเหลียนซาน ก็สามารถคาดเดาได้ว่าตำบลนี้น่าจะพอเป็ที่นิยมของผู้คน
เพียงแต่นางระมัดระวังตัวจนเคยชิน จึงไม่ทราบว่าเกาจิ่วกำลังมีแผนอะไรหรือไม่
“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่หนึ่งร้อยตำลึง สูตรอาหารนี้ของเ้าอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยตำลึง”
เกาจิ่วเป็ใคร เขาสามารถเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยของหลิวเต้าเซียงหมด
เมื่อเกาจิ่วเห็นว่านางดูเหมือนจะตั้งกำแพงต่อเขา จึงเอ่ย “เดิมทีข้าไม่ได้คิดมาก แต่เมื่อวานหลังจากได้ฟังเื่ราวของครอบครัวเ้า ประจวบเหมาะกับหลายวันก่อนหน้านี้ ข้ามีสหายผู้หนึ่งในตำบล้าย้ายกลับถิ่นแดนใต้ บอกว่าอายุมากแล้ว้าหาที่ไว้อยู่ยามแก่เฒ่า การจากไปครานี้เขาคงไม่ได้กลับมาอีก จึงไหว้วานให้ข้าช่วยขายบ้านหลังนั้นเสีย เขารีบร้อนจะกลับแดนใต้ ด้วยเหตุนี้ราคาจึงลดลงไม่น้อย”
หลิวเต้าเซียงวิเคราะห์ในใจเบื้องต้น จึงเอ่ย “ข้ามีเพียงหนึ่งร้อยตำลึง เห็นทีคงไม่มีทางซื้อไว้ได้”
“ดูเ้าสิ เหตุใดจึงความจำสั้นเพียงนี้ ข้าบอกแล้วนี่นา สูตรแป้งมันอะไรของเ้านี่น่ะ คงมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งร้อยตำลึง นี่ก็ประจวบเหมาะพอดีไม่ใช่หรือ ครอบครัวของเ้าได้เงินมา แน่นอนก็ต้องซื้อที่ดินหรือไม่ก็บ้านเพื่อปล่อยเช่า ข้าเองจึงเห็นว่าทุกอย่างช่างบังเอิญและโชคดีเหลือเกิน”
ว่ากันว่าเวลาฟังคำพูดให้ฟังหางเสียง หลิวเต้าเซียงครุ่นคิดในใจ จากการพูดของเกาจิ่วก็นับว่าบังเอิญอย่างแท้จริง
เพียงแต่ก็ยังกังวลว่าบ้านหลังนี้จะมีปัญหาอะไรแอบซ่อนไว้หรือไม่
“บ้านหลังนั้นมีโฉนดที่ดินหรือไม่ หากว่าข้าซื้อ จำต้องขอเป็โฉนดสีแดงกับทางราชการ อีกอย่าง แป้งมันของข้า ท่านออกราคาให้เท่าไร”
โฉนดสีขาวหมายถึงการแลกเปลี่ยนโดยเลี่ยงภาษี ซึ่งไม่เป็ที่ยอมรับของราชวงศ์โจว
เพื่อความปลอดภัยหลิวเต้าเซียงเสนอให้ขอโฉนดสีแดง อย่างมากก็ออกเงินเพิ่มเล็กน้อย ส่วนสูตรแป้งมันของนางก็เอ่ยออกมาหยั่งเชิง
เกาจิ่วได้รับคําแนะนําของซูจื่อเยี่ย ย่อมไม่มีทางเล็งเงินของนางเป็แน่
เขาตอบว่า “หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง นี่คือขั้นต่ำ บ้านของสหายข้ามีมูลค่าสามร้อยตำลึง ด้วยสาเหตุที่ว่าต้องรีบเปลี่ยนมือ จึงขายในราคาต่ำ ข้าจะไปช่วยเ้าคุย ดูสิว่าจะสามารถลดลงเหลือสองร้อยตำลึงหรือไม่”
“เช่นนั้นจะเป็การดียิ่งนัก” หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็จริง ที่เกาจิ่วกล่าวว่าให้ซื้อบ้านเพื่อปล่อยเช่า เดิมทีนางเองก็ยังคิดไม่ถึง เพราะนางได้รับอิทธิพลมาจากนิยายข้ามมิติ เมื่อได้เงินมาแล้วก็มีความคิดแรกว่าจะซื้อเพียงอย่างเดียว แล้วก็ซื้อที่นามากมายแล้วค่อยปล่อยเช่า และรอเก็บค่าเช่า
เกาจิ่วพูดได้ตรงใจนาง หากซื้อที่ดิน นางยังต้องแอบหลิวฉีซื่อ แต่ที่นาหากว่าปล่อยเช่าไป เป้าหมายก็จะใหญ่เกินไป หลิวฉีซื่ออาจจะรู้ได้โดยง่าย
แต่การปล่อยเช่าบ้านนั้นต่างออกไป ขอเพียงอีกฝ่ายชอบแล้วจึงปล่อยเช่า อีกฝ่ายต้องจ่ายเงินประกันไม่กี่ตำลึง จากนั้นก็จ่ายค่าเช่ารายปีล่วงหน้า
ด้วยวิธีนี้นางและพ่อผู้แสนดีเพียงแค่ต้องปรากฏตัวปีละครั้ง เป้าหมายนี้เล็กกว่ามาก อีกทั้งหลิวฉีซื่อไม่เคยเข้ามาในตำบล ย่อมไม่มีทางเกิดความสนใจได้
หลังจากที่นางคิดอย่างถี่ถ้วนในใจ ก็คุยกับหลิวซานกุ้ยเงียบๆ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาตามตรงว่า เงินที่ครอบครัวเราหามาได้ไม่สามารถปล่อยให้ท่านย่าฮุบไปได้ เพราะฮุบไปมาสุดท้ายคงไปอยู่ในกระเป๋าของบรรดาท่านลุงท่านอาแทน
“ท่านพ่อ เราซื้อบ้านกันดีกว่า แค่เก็บค่าเช่า ก็เพียงพอแล้วสำหรับปากท้องของครอบครัวเรา”
เกาจิ่วยกระดับหลิวเต้าเซียงไปอีกขั้น แม่สาวน้อยคนนี้ชาญฉลาด ในเวลาอันรวดเร็วสามารถคิดทุกอย่างได้ชัดเจน
หลิวซานกุ้ยคิดว่าเงินนี้บุตรสาวเป็คนหามาได้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย นางยินดีที่จะเอาค่าเช่ามาใช้จ่ายในบ้าน นับว่าเป็บุญกุศลของเขาจากชาติที่แล้ว
“เ้ามีความสุขก็พอแล้ว การปล่อยเช่าบ้านก็ดีเช่นกันและไม่ต้องไปกังวล การซื้อที่นายังต้องกังวลว่าผู้เช่าจะไม่ตั้งใจดูแลที่นาให้ดี”
นี่เป็เื่ธรรมดา เกษตรกรบางคนขึ้นชื่อว่าี้เี เช่าที่นาไปดูแลเพียงแค่สองสามปี และไม่ต้องใส่ปุ๋ย พอใช้จนอิ่มหนำสองสามปี ที่ดินดีๆ จะกลายเป็ที่นาธรรมดาทั่วไป หากจะเลี้ยงดินให้ดีอีกครั้ง ก็ต้องลงปุ๋ยให้มากแล้วใช้เวลาดูแลอีกสองสามปี นับว่าลำบากตรากตรำยิ่งนัก
หลิวเต้าเซียงถามว่าบ้านหลังนี้สามารถเช่าได้เท่าไรในหนึ่งปี
หลังจากที่รู้ว่าสามารถปล่อยเช่าได้สิบห้าตำลึงต่อปี นางก็ยิ้มอย่างมีความสุข เพราะชีวิตครอบครัวของนางเริ่มดีขึ้น อีกทั้งการปล่อยเช่าบ้านนั้นสะดวกกว่ามาก
ส่วนหลิวซานกุ้ยก็คลี่ยิ้มเช่นเดียวกัน จะไม่ดีใจได้อย่างไร อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าหากวันใดจับปลาไม่ได้ จะต้องปล่อยให้ภรรยาและลูกๆ ต้องอดอยาก
ในใจของเขาแต่ก่อนจะให้ความสำคัญกับคำพูดของหลิวต้าฟู่กับหลิวฉีซื่อเป็อันดับแรก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ภรรยา ลูกๆ และคั่งที่อบอุ่น
เกาจิ่วก็มีความสุขมาก ในที่สุดเขาก็ประสบความสําเร็จในการทํางาน เมื่อนึกถึงผลงานที่รวบรวมตอนสิ้นปี เงินรางวัลของตนเองคงจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะถึงอย่างไรแม่สาวน้อยผู้นี้ก็เข้าตานายน้อยของตนเป็ที่เรียบร้อย
ทั้งสามคนต่างรู้สึกดี เ้าดี ข้าดี เขาก็ดี กระนั้นเื่ราวหลังจากนั้นก็ตกลงกันง่ายดายขึ้น
เกาจิ่วขอให้คู่พ่อลูกรออยู่ตรงนี้ก่อน เขาแสร้งทำเป็ไปถามความจากสหายผู้นั้น จึงออกจากบ้านของแม่เฒ่าจางไป
หลังจากส่งเกาจิ่วออกไป หลิวเต้าเซียงก็นึกถึงเื่ที่ไหว้วานแม่เฒ่าจางให้หาอาจารย์
“อ้อ เ้า้าหาอาจารย์จริงหรือ?” แม่เฒ่าจางถามหลิวซานกุ้ย
หลิวซานกุ้ยพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ข้าเคยมีโอกาสได้ไปเรียนเมื่อนานมาแล้ว แต่ด้วยสาเหตุภายในครอบครัว จึงทำให้หยุดไปกลางคัน”
เมื่อเห็นว่าแม่เฒ่าจางและพ่อครัวจางมองดูเขาอย่างตื่นตะลึง จึงเอ่ย “ข้าเองไม่้าเกียรติคุณแต่อย่างใด เพียงแค่้าเล่าเรียนให้รอบรู้มากกว่านี้ จะได้เข้าใจหลักต่างๆ นี่คือเื่หลัก”
พ่อครัวจางอาจรู้สึกว่าตนเองแสดงออกชัดเจนเกินไป จึงเอ่ยตาม “หามิได้ หามิได้ ปฐมวัยในตอนนี้มิได้กำหนดอายุ ผู้ที่ครอบครัวพอมีฐานะย่อมเล่าเรียนเร็ว ส่วนที่ครอบครัวไม่ดี ต่อมาเมื่อเริ่มผันเปลี่ยนก็มีที่เล่าเรียนช้าไปบ้าง คราวที่แล้ว ได้ยินนายท่านจิ่วกล่าวว่า มีตาเฒ่าหัวหงอกผู้หนึ่งสอบได้จวี่เหริน เพียงแต่ว่า ขณะที่ประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่าน เมื่อเห็นว่ามีชื่อของตนเอง ด้วยความยินดีปรีดาถึงขีดสุด จึงเข้าเฝ้าเทพเซียนอยู่ข้างป้ายประกาศเสียอย่างนั้น”
หลิวซานกุ้ยถอนหายใจหนึ่งครั้งและพูดว่า “ข้าไม่อยากได้ชื่อเสียงอันใด เพียงแต่ตอนเด็กนั้นอยากเล่าเรียน ตอนนี้สถานการณ์ภายในบ้านเริ่มดี มีเงินมากพอจึง้าพยายามเล่าเรียนให้มากขึ้น”
แม้ว่าเขาจะ้าให้เกียรติแก่บรรพบุรุษในใจ แต่เขาก็พยายามอย่างหนักเพราะอยากให้หลิวฉีซื่อและหลิวต้าฟู่ให้ความสําคัญกับครอบครัวของเขาบ้าง เพียงแต่ความคิดนี้ เขายังไม่้าบอกกล่าวแก่คนนอก
จนถึงท้ายที่สุด หลิวซานกุ้ยเองก็ไม่อยากยอมแพ้
-----
