สามเดือนผ่านไป ความอื้อฉาวที่เคยสั่นะเืตระกูลฉินดูราวกับถูกกลบฝังไปแล้ว ห้องโถงอาหารกลับมาเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของบุตรหลาน ทว่าความสงบนี้เป็เพียงเปลือกที่ปกคลุมสิ่งหมักหมมฉินชิงหร่าน นั่งอยู่ด้วยท่าทีเรียบร้อย แต่เมื่อนางคีบอาหารเข้าปาก สีหน้าก็พลันบิดเบี้ยว ริมฝีปากสั่นสะท้าน “นี่มัน…เหม็นอะไรเช่นนี้!”
ฮูหยินใหญ่ซูเสียน รีบยิ้มอ่อนปลอบใจ พลางคีบอาหารใส่จานลูกสาว แต่เมื่ออาหารใกล้เข้ามา ชิงหร่านกลับอาเจียนออกมาอย่างรุนแรง ร่างโอนเอน สำลักจนเสียงดังสะท้อนทั่วห้อง แม่ทัพฉินเทียนหง จ้องลูกสาวแน่นิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความกังวล "ชิงหร่าน…เ้าเป็อะไร?"
คำตอบไม่มา มีเพียงเสียงอาเจียนถี่แรงจนร่างกายทรุดลงไปกับเก้าอี้ หมอประจำตระกูล ถูกเรียกเข้ามาตรวจสอบ ห้องโถงเงียบกริบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ หมอชราแตะชีพจรด้วยความพิถีพิถัน แต่ไม่นานสีหน้าก็ซีดเผือด มือที่แตะข้อมือถึงกับสั่นเสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาอย่างหนักอึ้ง: “คุณหนู…นางตั้งครรภ์ ขอรับ”
คำพูดนั้นดังประหนึ่ง ฟ้าผ่าลงกลางห้อง ทุกสายตาเบิกกว้าง ฉินชิงหร่านราวถูกตรึงร่าง นางอ้าปากค้าง ก่อนกรีดร้องอย่างเสียสติ “ไม่จริง! ไม่จริง! ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กต่ำช้าเกิดมาเด็ดขาด!” นางะโทั้งน้ำตา มือสั่นไหว ทุบลงบนหน้าท้องตนเองอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งร่างบางทรุดสิ้นสติไปต่อหน้าทุกคน
แม่ทัพฉินเทียนหง กำหมัดแน่น ใบหน้ามืดทะมึนราวพายุคลั่ง แววตาเต็มไปด้วยความอับอายและเดือดดาล “ท่านหมอ! ข้าจะไม่ยอมให้สายเืสกปรกนี้ลืมตาดูโลก เ้าจงหาวิธีจัดการเสีย!” น้ำเสียงเยียบเย็นเฉียบคมไร้ความลังเล
หมอชราก้มศีรษะ สีหน้าเจื่อนลงอย่างลำบากใจ แต่ก็ฝืนเปล่งเสียงออกมา “นายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจะหาทางสุดกำลัง”
ใต้เงาแสงตะเกียงที่ส่องสลัว ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วเรือนใหญ่ หมอชราก้มหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด เขาได้พยายามทุกวิถีทางใช้ยาขับสารพัดตำรับเพื่อทำลายสายใยแห่งชีวิต แต่เวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งเดือน เด็กในครรภ์กลับยังคงเติบโตอย่างดื้อรั้นไม่ยอมสูญสลาย มีเพียงร่างกายของมารดาที่อ่อนแรงลงทีละวัน
ในห้องโถงกว้าง เสียงเก้าอี้ไม้ขยับครืดดังก้องเมื่อ แม่ทัพฉินเทียนหง ลุกขึ้นยืน ดวงตาคมกริบราวคมดาบหันมาจับจ้องหมอชรา ใบหน้าของเขามืดทะมึนด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่เ้าจะบอกว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่สามารถกำจัดสายเืโสมมนี้ได้งั้นหรือ? ดูท้องของนางสิ…ใหญ่ขึ้นทุกวัน!”
หมอชราพยายามหาคำอธิบาย เสียงพร่าเอื้อนเอ่ยตะกุกตะกัก “นายท่าน…ร่างกายคุณหนูอ่อนแอเกินไป หากข้าใช้ยาที่แรงกว่านี้ เกรงว่านางจะสิ้นชีวิตไปพร้อมกับเด็ก”
เพียงถ้อยคำนั้นยิ่งเป็เชื้อเพลิงให้ไฟโทสะลุกโชนในดวงตาแม่ทัพ เขาถลึงตามองหมอชราที่ล้มเหลว “พอแล้ว! ไอ้หมอไร้ค่า! เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก!” สิ้นเสียงคำตวาด คำสั่งปะาถูกเปล่งออกโดยไม่ลังเล ทหารองครักษ์รีบก้าวเข้ามา ในพริบตา เสียงร้องอุทานของหมอชราก็ถูกกลืนหายไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย
หลังจากความโกรธสงบลงเล็กน้อย ฮูหยินใหญ่ซูเสียน ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระวนกระวาย “ท่านพี่ การที่ท่านดับลมหายใจของหมอผู้นี้แล้ว ลูกสาวของเราจะทำอย่างไร!”
“ฮูหยิน! นี่เ้าไม่เห็นเหรอว่าไอ้แก่ผู้นี้เป็สิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่า!” แม่ทัพตวาด แต่เมื่อเห็นน้ำตาของภรรยา เขาก็ผ่อนลมหายใจสะท้าน “แล้วเช่นนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
ท่านแม่ทัพใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน “ข้าอดทนมานานเกินพอแล้ว ข้าจะไม่ยอมอับอายขายหน้าไปมากกว่านี้เป็อันขาด” เขาจ้องมองท้องของผู้เป็บุตรสาวที่กำลังจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งท้องนางใหญ่ก็ยิ่งเป็เป้าสายตาผู้คนวิธีที่แก้ปัญหาได้ง่ายดายและรวดเร็วที่สุดคือการ... จับคู่แต่งงานให้นาง! การหาชายที่เหมาะสมมารับผิดชอบเด็กในครรภ์เป็ทางเดียวที่จะกลบฝังความอัปยศนี้ได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้ ผ้าคลุมแห่งการสมรส ที่จัดฉากขึ้น
ในมุมที่ห่างไกลจากความโกลาหลและความสิ้นหวัง ฉินเซียนหรู ยืนนิ่ง สีหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มที่เ็าและเหยียดหยามต่อชะตาชีวิตที่น่าสมเพชของพี่สาวต่างมารดานางเป็ถึง ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาและหลอมโอสถ ผู้ซึ่งได้รับการสืบทอดความรู้จาก ท่านหมอไป๋อี้เซิน หมอเทวดาผู้เก่งกาจแห่งยุค ตำรับยาสำหรับการขับเด็กที่ไม่ทำลายชีวิตของมารดามีหรือที่นางจะไม่ล่วงรู้แต่ฉินเซียนหรู่เลือกที่จะนิ่งเฉย
"หากจะโทษก็จงโทษที่ตัวเ้าเอง" ในความคิดของฉินเซียนหรู นางไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปช่วยเหลือผู้ที่เคยคิดจะทำร้ายนางอย่างสาหัส สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็เพราะ ฉินชิงหร่านทำตัวเองทั้งสิ้น ทั้งการวางแผนชั่วร้ายและการพลาดพลั้งใช้โอสถที่ตนเองเตรียมไว้ การที่เด็กในครรภ์เติบโตอย่างดื้อรั้นแม้ต้องพิษยารุนแรง จึงเป็เพียงการตอกย้ำถึง ผลกรรมที่ต้องชดใช้
การจะจับคู่ให้กับ ฉินชิงหร่าน นั้น ยากเย็นและสาหัสกว่าที่แม่ทัพฉินเทียนหงคาดคิดเอาไว้มากในตอนแรกเขาคิดจะจับนางคู่กับบุตรหลานขุนนางคนสนิท เพื่อใช้ฐานะทางทหารและอำนาจบารมีของตนบีบบังคับให้การแต่งงานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่า เมื่อข่าวลือและร่องรอยของเหตุการณ์ที่ศาลาริมน้ำแพร่สะพัดออกไปอย่างเงียบ ๆ ความจริงที่ว่าเรือนร่างของนางได้กลายเป็สิ่งของที่มีตำหนิไปแล้ว ก็เผยออกมาผู้ใดไหนเลยที่คิดจะเกี่ยวดองด้วย?
แม้ว่าฉินชิงหร่านจะเป็สตรีที่มีพร์มากมาย แต่เหล่าผู้มีอำนาจในเมืองหลวงต่างก็้า สตรีที่ไร้ตำหนิและคู่ควร กับบุตรชายของตนเองมากที่สุด ไม่ใช่หญิงสาวผู้แบกรับความอัปยศของทาสต่ำต้อยไว้ในครรภ์
ท่านแม่ทัพพยายามปิดบังข่าวลือที่นางถูกย่ำยี พยายามปิดบังเื่ฉาวโฉ่ด้วยอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด แต่ข่าวเ่าั้ก็ ไม่รอดพ้นสายตาอันเฉียบคม ของคนพวกนี้ ที่พวกเขาไม่เปิดปากพูดเป็เพราะยังคง เกรงใจในอำนาจบารมี ของท่านแม่ทัพผู้นี้เท่านั้น
ฉินเทียนหงนั่งมองรายชื่อบุตรหลานขุนนางที่เคยแสดงความสนใจในตัวบุตรสาวอย่างสิ้นหวัง บัดนี้รายชื่อเ่าั้กลับกลายเป็ ความว่างเปล่า ไม่มีใครกล้าตอบรับคำเชิญ ไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะรับเอา ความมัวหมอง นี้เข้าสู่ตระกูลของตนเอง ความอัปยศที่ใหญ่เกินกว่าอำนาจจะกลบฝังได้ กำลังบีบคั้นคอหอยของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้อย่างเงียบ ๆ
ท่ามกลางบรรยากาศที่สิ้นหวังและอับจนหนทางของตระกูลฉิน เช้าวันถัดมา ขบวนรถม้าโอ่อ่าคันหนึ่งก็มาเยือนที่จวนของท่านแม่ทัพ การมาของมันไม่ได้นำพาความยินดี แต่กลับเต็มไปด้วย กลิ่นอายของการเย้ยหยัน แผ่ซ่านออกมาแม่ทัพฉินเทียนหง ยืนตระหง่านอยู่ที่โถงต้อนรับ ใบหน้าแข็งกร้าวราวกับหินผา เตรียมพร้อมรับมือกับทุกสายตาดูแคลน
เมื่อบุรุษผู้นั้นก้าวลงจากรถม้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูเ้าเล่ห์และถือดี เขาไม่รีรอที่จะคารวะตามธรรมเนียม แต่กลับยิงคำถามที่แทงใจดำที่สุดออกมาทันที น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจที่มาพร้อมกับความไม่ให้เกียรติ
"ข้าได้ยินข่าวว่าตัวของท่านนั้นเปิดรับสมัครบุตรเขย ท่านจะว่าเช่นไรถ้าหากข้าอยากที่จะเป็บุตรเขยของท่าน?"
ถ้อยคำที่อ้างถึงการรับสมัคร นั้นเปรียบเสมือนการประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่า ฉินชิงหร่านไม่ได้มีค่าคู่ควรแก่การสู่ขอตามปกติอีกต่อไป แต่เป็เพียงสินค้าที่มีตำหนิที่ต้องประกาศขาย
