โขดน้ำแข็งอะไรกันเล่า
โลงศพน้ำแข็งชัดๆ!
ทั้งในทั้งนอกโลงประหลาดถูกปิดผนึก
สิ่งที่เรียกว่าโลงนั้น ด้านนอกคือโลงส่วนนอก ด้านในคือโลงส่วนใน
โลงภายนอกเอาไว้ปกป้องโลงภายใน ส่วนโลงภายในใช้ห่อหุ้มศพ
โลงศพน้ำแข็งประหลาดนี้ ส่วนนอกโปร่งใส ลวดลายทำขึ้นอย่างหยาบๆ เหมือนโขดหินตามธรรมชาติ ไม่เรียบเสมอกัน มีรอยแตกร้าวละเอียดอยู่ส่วนหนึ่ง ทว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น พื้นผิวปกคลุมด้วยของคล้ายหิมะบางๆ มองแวบแรกประหนึ่งโขดน้ำแข็งทั่วไป ภายในว่างเปล่า เมื่อมองผ่านรูโหว่ลวดลายของหิมะบางๆ นั่นเข้าไป ก็สามารถเห็นโลงศพส่วนที่โปร่งแสงได้แล้ว
ส่วนโปร่งแสงน่าจะยาวประมาณสามสี่จ้าง กว้างสองจ้าง ฝีมือการทำประณีตมาก คงมีปรมาจารย์ลงมือเอง ภายนอกแกะสลักเป็หลังคาทรงโค้ง ัเก้าตนประดับมุก งดงามเพริศแพร้ว แท่นหยกกระเบื้องมีสีเขียวคราม ลายเมฆาโค้งเว้า ้ามีสี่มุม แต่ละมุมล้วนมีขาตั้งสวยรองรับอย่างมั่นคง มันเป็โลงระดับเจ็ดดาวขนาดใหญ่ มีกระดิ่งแขวนประดับ มีหลายชั้นลดหลั่นกัน มองแวบแรกจะนึกว่างามล้ำประหนึ่งราชวังหยกขาวตามฉบับฮั่น ซึ่งทั้งขนาดเล็กและโปร่งแสง
โลงส่วนในเล็กๆ นี้เหมือนจะสร้างจากวัสดุจำพวกจะน้ำแข็งก็ไม่ใช่ จะหยกก็ไม่เชิง
เ่ิูสำรวจภายนอกโลงน้ำแข็ง จนแล้วจนรอดเขาก็มองไม่ออกว่าทำจากอะไร
แน่นอนว่า นี่มิใช่สิ่งที่ทำให้เ่ิูตื่นตระหนก
สิ่งที่ทำให้เ่ิูสมองขาวโพลนนั้น เป็เพราะในโลงนั้นมีร่างของอิสตรีนางหนึ่งนอนอยู่ต่างหาก
แม้ว่าโลงจะโปร่งแสง แต่สายตาของเ่ิูสามารถมองเห็นร่างอันงดงามของสตรีนางนั้นได้
นางเอนศีรษะไปทางทิศใต้ปลายเท้าสู่ทิศเหนือ เงยหน้าสู่เบื้องบนโลง สวมอาภรณ์ยาวสีขาวหิมะ ผมดำงามหนาราวกับปุยเมฆสยายอยู่เื้ั เหมือนหมึกสีดำที่เบ่งบาน เส้นผมแต่ละเส้นล้วนเปล่งประกายแวววาว สตรีนางนี้ดวงหน้าชัดเจนแยกแยะได้ งดงามเป็เอก ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท เช่นเดียวกับขนตาดำขลับ รูปร่างสูงโปร่ง อาภรณ์แบบเซียนสีขาวบดบังขาทั้งสองข้างไว้ สองมือวางทาบบนท้องน้อย มือซ้ายจับมือขวา มือเปล่งปลั่ง นิ้วเรียวงาม เล็บสีชมพูอ่อน ข้อมือขาวราวกับหิมะ บนข้อมือข้างขวาสวมกำไลหยกสีเขียววงหนึ่ง...
ยิ่งพินิจ เ่ิูก็ยิ่งรู้สึกถึงดวงหน้างดงามเป็เอกของสตรีนางนี้ เป็หญิงโฉมสะคราญที่สุดเท่าที่ชีวิตเขาเคยพบพาน
แม้ว่านางจะนอนแน่นิ่งในโลงน้ำแข็ง ทว่าความรู้สึกที่ให้แก่เ่ิูนั้น กลับประหนึ่งกำลังมองม้วนภาพสดสวยของโลกหล้า ั์ตาเคลื่อนไปทางไหนไม่ได้อีกเลย
“ใต้หล้านี้ มีแม่นางที่งดงามไร้ที่ติ ไม่มีใครเสมอเหมือนเช่นนี้อยู่ด้วย!”
เ่ิูรู้สึกเหมือนสายตาของเขาจมดิ่งลงไปในโลงน้ำแข็งนั่น กระทั่งดวงิญญาก็ใกล้จะจมจ่อมลงไปอย่างลึกล้ำ
เขายืนนิ่ง มองยังร่างเซียนหญิงชุดขาวในโลงน้ำแข็ง ยากจะฟื้นตื่นจากภวังค์
ทันใดนั้นเอง
“โฮ่งๆๆ...บ๊อกๆ แง่ง!”
เสียงคำรามต่ำๆ ใสแจ๋วของเ้าเสียวจิ่วดังเข้าหู
เ่ิูส่ายหน้าทันที ความคิดความอ่านกลับเข้าตัวอีกครั้ง เขาเวียนหัวครู่หนึ่ง หมดเรี่ยวแรงเหมือนกรำศึกหนักมาสมรภูมิหนึ่ง
“โลงน้ำแข็งนั่นแปลก!”
เขาเข้าใจขึ้นมา
แม้ว่าเ่ิูจะเป็หนุ่มวัยกำลังเืร้อน ทว่าแม้จะเห็นหญิงงามล่มเมือง ก็ไม่มีทางเสียกิริยาขนาดนี้เป็แน่ คำอธิบายเดียวคือ ในโลงน้ำแข็งนั่นมีพลังงานพิสดารสั่นคลอนประสาทของคน เข้าบีบรัดจิตใจของเ่ิูโดยไม่รู้ตัว เขาเกือบถูกทำลายสติสัมปชัญญะ...เป็วิธีบังคับจิตใจที่น่าสะพรึงกลัวมาก
“ขอบใจเ้านะ เสียวจิ่ว” เ่ิูตบหัวเสียวจิ่วเบาๆ
เ้าหนุ่มน้อยะโอย่างดีใจ มันวิ่งเต้นรอบตัวเ่ิู
น่าแปลกมาก เสียงร้องของเ้านี่ปลุกเขาจากพลังงานพิสดารของโลงน้ำแข็งนั่นได้ในยามคับขัน ทำให้เ่ิูต้องมองเ้าตะกละนี้ใหม่อย่างช่วยไม่ได้
หลังปลอบขวัญเสียวจิ่วแล้ว เ่ิูก็ผินหน้าตรวจตราโลงศพน้ำแข็งนี้อีกคราหนึ่ง
เขารวบรวมสติ โคจรวิชาป้องกันตัว ไม่จับจ้องมองเซียนหญิงชุดขาวอีกแล้ว เพียงแต่มองด้านข้างโลงน้ำแข็ง เพื่อจะหาเบาะแสอะไรบางอย่าง
เพียงแค่ไม่มองนางเท่านั้น จิตใจก็จะไม่ถูกชักจูง
“ผนังโลงน้ำแข็งไม่มีอักษรหรือภาพอะไรอยู่เลย...ประหลาดนัก ทำไมในหลุมศพัหิมะแห่งนี้ถึงมีโลงศพมนุษย์อยู่ได้กัน!” เ่ิูคิดร้อยรอบก็ไม่เข้าใจ อย่างกับมีกลุ่มปริศนาขนาดั์ปกคลุมเขาอยู่ “อีกทั้งหญิงนางนี้มองยังไงก็น่าจะตายไปนานแล้ว ศพไม่เน่าเปื่อย ทำไมเป็เช่นนี้ได้ นางเป็ใครกันแน่? ใครนำนางมาไว้ที่หลุมศพัแห่งนี้กัน?”
ปริศนาผุดขึ้นในทะเลห้วงคิดเ่ิูมิได้หยุด
สิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือ อิสตรีนางนี้ต้องมีที่มาน่ากลัวยิ่งยวด
โลกของคนสามัญให้ความสำคัญกับลมและน้ำฉันใดในยุทธภพ ก็ให้ความสำคัญกับชะตาชีวิต พลังิญญา พลังปราณ พลังใต้หล้าอันไพศาลและลึกลับ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดยังยากจะทะลุทะลวงถึงความลับของพลังแห่งฟ้าดินนี้ได้ ทว่าท้ายสุดแล้วก็มักจะมีรุ่นที่สติปัญญาและจิตใจเหนือชั้น เข้าถึงความลับนั้นจนได้ เห็นปรากฏการณ์แห่งท้องฟ้าและดวงดาว เห็นชีพจรของแผ่นดิน ริ้วลายแห่งผืนน้ำ กลิ่นอายแห่งเมฆา ภูผาหรือนที เป็ต้น เห็นจุดพิเศษของสถานที่ ซึ่งอาจเป็แดนแห่งโชคชะตา หรือแดนแห่งความอับเฉา ฝึกวิชาในที่แห่งนี้หรือฝังตัวเองลงไป ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกัน
ผู้แข็งแกร่งวรยุทธ์บางคนร่างกายแกร่งกล้าทว่าอยากมีชีวิตเป็ะ แต่การฝึกวิชานั้นยากจะเข้าถึงจุดที่เรียกว่าะนิรันดร์ พวกเขาจึงต้องใช้ทางลัด
ทางลัดนั่นก็คือ การยืมแรง
ยืมพลังแห่งใต้หล้า
กล่าวกันว่าสมัยโบราณ มีนิกายที่เสาะหาความลับแห่งฟ้าดินโดยเฉพาะอยู่หลายกลุ่ม ในบรรดานิกายนั้นมีนิกายหนึ่งที่ทรงอิทธิพลที่สุด นามว่า นิกายอาจารย์ปฐี
เหล่าอาจารย์ของนิกายอาจารย์ปฐีเสาะหาความลับแห่งปฐี ใช้พลังของมนุษย์เป็ที่ตั้ง ยืมอำนาจปฐีสร้างเป็แดนแห่งโชคชะตาหรือแดนอับเฉา เปลี่ยนพลังปราณใต้หล้า กระทั่งสามารถพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ ยืมชะตาจากฟ้าดิน หากผู้แข็งแกร่งได้ถูกฝังลงไปในที่ๆ จัดเตรียมไว้ จะสามารถรักษาสภาพไม่เน่าเปื่อยไปแสนปี รักษาชีวิตไว้ส่วนหนึ่ง วันหน้าเมื่อชะตามา บางทีอาจฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มีชีวิตในโลกมนุษย์ใหม่อีกชาติ วิธีการขโมยจากฟ้าดิน ลึกลับและพิสดารเป็ที่สุด
หลายสมัยที่ผ่านมานี้ ผู้คนก็ยังยืนหยัดศึกษาเื่การฝึกวิชา ลิขิตฟ้าและภูมิประเทศอยู่เสมอ
บุคคลสำคัญทรงอำนาจขั้นสุดยอดหลายคน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้เฉิดฉายไร้ขีดจำกัด เมื่อสิ้นใจก็จะถูกฝังไว้ยังแดนแห่งโชคชะตา
กระทั่งถูกฝังทั้งเป็ ประคองเส้นด้ายชีวิตเอาไว้ รอคอยการกลับชาติมาเกิดใหม่เพื่อจุดประกายชีพอีกคราหนึ่ง
เช่นจักรพรรดิพระองค์ก่อนแห่งอาณาจักรเสวี่ย มีข่าวว่าถูกฝังทั้งเป็ แม้ว่าประกาศจากราชสำนักจะแถลงการณ์เื่จักรพรรดิชราว่าัหวนคืนสรวง์ ทว่ากลับมีข่าวอย่างแพร่หลายว่าจักรพรรดิชรายังไม่ต ตอนที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่นั้นได้ฝึกวิชาแก่กล้า เมื่อใกล้สิ้นอายุขัยจึงใช้ประโยชน์จากพลังของอาณาจักร สร้างแดนแห่งโชคชะตาขึ้นมา ฝังร่างตัวเองลงไป เก็บเส้นด้ายชีวิตเอาไว้ รอจนกลับชาติมาเกิด ฟื้นขึ้นมาอีกหน มีชีวิตปกครองอาณาจักรนี่ใหม่อีกครา
แต่ว่าเ่ิูคิดเอาว่า แม้จักรพรรดิของอาณาจักรเสวี่ยจะสูงส่งเป็ที่เคารพ แต่สุสานของพระองค์ย่อมไม่มีทางเลิศเลอไปกว่าสุสานัหิมะได้
ัหิมะเป็เผ่าพันธุ์แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจ แพร่พันธุ์มาหลายหมื่นปี ที่ๆ หลุมศพตั้งอยู่ย่อมต้องเป็แดนแห่งโชคชะตาอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งหลุมศพัหิมะแห่งนี้ก็มิใช่หลุมเล็กๆ จากที่เขาเดินตัวคนเดียวมาตลอดทางและเจอซากักลายเป็น้ำแข็ง เท่ากับรับรองได้แล้วว่า ที่แห่งนี้มีมาไม่ต่ำกว่าแสนปี เป็แดนแห่งโชคชะตาชั้นเอกที่เผ่าัหิมะค้นพบและพิทักษ์เอาไว้ ว่ากันโดยทั่วไป สถานที่เช่นนี้ คนนอกเข้าไม่ได้เป็ธรรมดา ทว่ามีคนเอาโลงศพน้ำแข็งนี้เข้ามาแท้ๆ เผ่าัหิมะทั้งเผ่ากลับไม่เจอเสียนี่...
ที่มาของอิสตรีนางนี้ น่ากลัวว่าจะน่าใน่ะซี่
หรือว่านางจะเคยเป็ผู้แข็งแกร่งวรยุทธ์ตอนมีชีวิตอยู่?!
เ่ิูสงสัยนัก เสียดายที่บนโลงน้ำแข็งนี้ไม่มีร่องรอยอะไรเลย
“ไข่ัฟองนี้เ้าได้มาจากในโลงนี้แน่ใช่ไหม?” เ่ิูถามเสียวจิ่ว
เสียวจิ่วเคยบอกว่ามันเจอไข่ัหิมะที่นี่
“ที่นี่ ที่นี่แหละท่าน...” เสียวจิ่วกระโจนลงมาจากบ่าเ่ิู มันก้มหน้าหาส่วนล่างของโลงน้ำแข็งด้วยหัวอ้วนๆ นั่น
เ่ิูมอง พลันก็อึ้งอย่างไม่อาจห้าม
ส่วนล่างของโลงน้ำแข็งมีรูโหว่รูหนึ่ง กว้างเท่าฝ่ามือ ยาวหกฝ่ามือ เหมือนถูกอาวุธหนักบางอย่างทุบจนแตก ส่วนขอบยังมีรอยแตกสีขาวแยกไปเป็สายแน่นขนัด ราวกับใยแมงมุมที่ลุกลามไปทั่วส่วนล่างของโลงน้ำแข็ง ด้านหลังรูโหว่เหล่านี้ ตรงส่วนว่างเปล่าของโลงศพมีรังน้ำแข็งทรวดทรงเหมือนรังนก น้ำแข็งตัดขวางกันเป็กากบาท รังนกน้ำแข็งสดใหม่ไม่มีผิด
ในรังนกน้ำแข็งนั้นว่างเปล่า
“โฮ่งๆ ที่นี่แหละท่าน” เสียวจิ่วใช้หัวชี้รังนกน้ำแข็งนั่นอย่างร่าเริง จากนั้นจึงมองไข่ัหิมะในมือเ่ิูอีกครั้ง
ที่แท้ไข่ัหิมะฟองนี้ก็ได้มาจากในโลงน้ำแข็งนี้เอง
ไม่...ไม่น่าใช่ไข่ัหิมะ
เ่ิูมองไข่ขาวทรงรีราวกับหยกขาวในมือ ตอนนี้เขาเองก็ไม่กล้ารับรองว่ามันจะเป็ไข่ัหิมะจริงหรือไม่ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าัชนิดนี้จะไปวางไข่ไว้ในรังนก อีกทั้งโลงน้ำแข็งนี้ก็ลึกลับเหลือเกิน ของที่ได้จากมันคงลึกลับยิ่งกว่า บางทีไข่ฟองนี้อาจข้องเกี่ยวกับเซียนหญิงชุดขาวในโลงนั้นก็เป็ไปได้เหมือนกัน
ทว่าสิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ ในรังนกน้ำแข็งนี้มีไข่ฟองเดียวเท่านั้นเอง
ความคิดที่อยากจะหาทรัพยากรไข่เพิ่มของเ่ิู เป็อันต้องถูกระงับ
เขาละสายตาจากบนโลงน้ำแข็ง แล้วชำเลืองไปยังยอดเขาน้ำแข็งเดียวดายตรงหน้าดังเดิม
ยิ่งใกล้เท่าไร ก็ยิ่งััได้ถึงจิตสังหารแรงกล้าที่ฟุ้งออกมาบางๆ มากขึ้น
ในรังัหิมะมียอดเขาสูงชะลูดนี้อยู่จริงๆ ก็ว่าแปลกพอแล้ว แต่ยอดเขาที่มีความดุร้ายแทรกมาด้วยนี่ซิแปลกกว่า อีกทั้งนิสัยของัหิมะก็ไม่มีทางยอมรับของจำพวกจิตสังหารรุนแรงพวกนี้ให้มาแปดเปื้อนในหลุมศพัหิมะอันกว้างใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเผ่าพันธุ์ด้วย...
โลงศพน้ำแข็ง
ศพเซียนหญิงชุดขาว
รังนกน้ำแข็ง
ไข่ปริศนาสีขาว
ยอดเขาจิตสังหาร
เื่ที่หาคำอธิบายไม่ได้มาเกิดขึ้นพร้อมๆ กันเช่นนี้ มันช่างขบคิดไม่ออกอย่างปาฏิหาริย์
ต่อให้เขาฉลาดเป็กรดก็ยังคิดหาเหตุผลของเื่พวกนี้ไม่ออก
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดถึงมันอีก
เพราะเสียงเรียกร้องหาเขาเหมือนกับครอบครัวกำลังร้องหากำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง มาจากส่วนยอดของยอดเขาเดียวดาย เด็กหนุ่มเห็นเปลวเพลิงสีเงินลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง