แปลนบ้านที่ซอยหนานหลัวกู่เป็ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส
บ้านที่สือช่าไห่วิวสวยมากจริงๆ เดินออกจากบ้านเพียงไม่กี่ก้าวก็เจอทะเลสาบ หลิวหย่งเพิ่งเดินทางมาจากเผิงเฉิง โปรดยกโทษให้เขาที่ไม่สามารถเรียกทะเลสาบว่าทะเล [1] ได้ สือช่าไห่ความจริงก็คือทะเลสาบ เมืองปักกิ่งจะมีทะเลได้อย่างไร ตอนแมนจูบุกเข้ามายึดแผ่นดินและได้ทำการก่อตั้งเป็ราชวงศ์ชิง พวกเขาเรียกผืนน้ำทั้งหลายว่า ‘ไหจื่อ [2] ’ ดังนั้นปัจจุบันถึงได้เรียกสถานที่แห่งนี้ว่าสือช่าไห่
ตอนอยู่เผิงเฉิง หลิวหย่งเห็นทะเลเป็ประจำ เกลียวคลื่นขนาดใหญ่ ผืนน้ำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าทะเล
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือผืนน้ำที่นิ่งสงบ ซึ่งก็คือทะเลสาบ
แต่ทะเลสาบก็สวยเช่นกัน สือช่าไห่เป็สถานที่ท่องเที่ยวของชาวปักกิ่งเสมอมา ทิวทัศน์ใน่ปี 1984 ก็ไม่เลวเลยทีเดียว หลิวหย่งบอกว่าเรือนสี่ประสานแห่งนี้ช่างเหมาะกับหลานสาวของเขายิ่งนัก
หลานสาวเขาหน้าตาสวยหยาดเยิ้ม ย่อมสมควรอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้มิใช่หรือ?
“ซื้อ ซื้อหลังนี้นี่แหละ เื่เงินถ้าหลานมีไม่พอ ลุงจะช่วยออกส่วนที่เหลือให้”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเอือมเล็กน้อย โชคดีที่พวกเธอสองลุงหลานแอบมาดูบ้านกันเอง หากเ้าของบ้านอยู่ด้วยแล้วได้ยินเข้า มีหรือที่เขาจะยอมลดราคาให้ เธออยากซื้อบ้านหลังนี้ก็จริง แต่ราคาหนึ่งแสนหยวนนั้นแพงเกินไป เซี่ยเสี่ยวหลานยืนกรานว่าจะซื้อในราคาแปดหมื่น อย่างไรเธอก็สามารถเพิ่มราคาให้ได้ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าทางเ้าของบ้านลดให้ได้มากน้อยแค่ไหน
บ้านหลังนี้ดีกว่าบ้านของหลิวหย่ง จำนวนห้องเล็กๆ ที่ถูกต่อเติมเพิ่มนั้นมีไม่มากนัก ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานซื้อนั่นก็หมายความว่าแทบไม่จำเป็ต้องปรับปรุงใหม่เลย ซื้อเครื่องเรือนมาเพิ่มอีกนิดหน่อยก็สามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้ทันที ส่วนหอพักที่หัวชิงเธอคงไม่คืนห้อง แต่ตอนปิดเทอมเธอจะมาค้างที่บ้านหลังนี้สักไม่กี่คืน ถือเป็การพักผ่อนไปในตัว
หลังดูบ้านที่สือช่าไห่เสร็จเรียบร้อย เซี่ยเสี่ยวหลานก็นัดคังเหว่ยมาทานข้าวด้วยกัน
คังเหว่ยกลับมาที่ปักกิ่งได้หนึ่งอาทิตย์กว่าแล้ว แต่ยังไม่เคยได้นัดทานข้าวกับเซี่ยเสี่ยวหลานเสียที แต่ในเมื่อหลิวหย่งมาที่ปักกิ่ง คังเหว่ยจึงบอกว่าจะต้องทำหน้าที่เ้าถิ่นให้จงได้
สภาพอากาศของปักกิ่งหนาวเย็นค่อนข้างไว ปลายเดือนสิบก็ถึงแก่เวลาที่ทุกคนจะกินหม้อไฟเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายแล้ว หลิวหย่งเลี้ยงอาหารผู้จัดการใหญ่อู่ด้วยการกินหม้อไฟเนื้อแพะ คังเหว่ยเองก็เลี้ยงอาหารเขาด้วยหม้อไฟเนื้อแพะเช่นกัน ที่มาด้วยยังมีเส้ากวงหรง ซึ่งเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เจอมาเดือนสองเดือนแล้ว
สองคนนี้สนิทสนมกับหลิวหย่งมากขึ้นั้แ่ตอนเตรียมก่อตั้ง ‘อันเจียวัสดุ’ พวกเขาเรียกลุงหลิวๆ กันอย่างสนิทปาก
เมื่อก่อนเส้ากวงหรงเห็นแก่เซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิง เขาถึงยอมเรียกหลิวหย่งว่าลุง แต่หลังได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นก็พบว่าหลิวหย่งเป็คนมีความสามารถคนหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ทุกคนก็ทำธุรกิจด้วยกัน แล้วเหตุใดเขาจะไม่เคารพหลิวหย่งกันเล่า
เส้ากวงหรงรู้ว่าตนไม่มีครอบครัวคอยหนุนหลังเหมือนดั่งคังเหว่ย เขาจึงทำได้แค่หาสินค้ามาให้เท่านั้น กอปรกับที่เขามีใบหน้าหนากว่าคนทั่วไป มิเช่นนั้นคนอย่างเขาจะมีคุณสมบัติอะไรมาเป็หนึ่งในผู้ถือหุ้น?
หลิวหย่งนั้นต่างออกไป หนึ่งปีก่อนเขายังเป็แค่ชาวไร่เท่านั้น แต่ในปัจจุบันเขาได้กลายเป็เถ้าแก่เต็มตัว
ชายสามคนดื่มกันจนเมาได้ที คังเหว่ยก็เริ่มเล่าเื่ตลกออกมา “พี่สะใภ้ยังจำต่งลี่ลี่ได้ไหม คนที่แอบชอบพี่เฉิงของผมคนนั้นน่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากลืมก็คงลืมไม่ลง ตอนกินอาหารญี่ปุ่นอยู่เธอคนนั้นได้พาคนกลุ่มหนึ่งมาล้อมราวกับเมียหลวงจับเมียน้อย และบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่คู่ควรกับโจวเฉิง มีเพียงตนกับโจวเฉิงเท่านั้นที่เหมาะสมกัน
วันนั้นหลังออกจากร้านอาหาร เซี่ยเสี่ยวหลานกับโจวเฉิงยังทะเลาะกันอีกด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ดูออกว่า ต่งลี่ลี่ชอบโจวเฉิงฝ่ายเดียว ไม่อย่างนั้นเื่นี้คงไม่ผ่านไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
“เล่าต่อสิ ฉันยังจำเธอได้ เธอดูสนิทกับพี่สาวของโจวเฉิงมากทีเดียว”
ความจู้จี้จับผิดของโจวอี๋เกิดขึ้นเพราะต่งลี่ลี่ไม่ใช่หรือ แต่ใครจะไปคิดว่าตอนนัดเจอคนตระกูลโจวครั้งแรก การกระทำของโจวอี๋กลับมีส่วนช่วยสนับสนุนเซี่ยเสี่ยวหลานโดยไม่ได้ตั้งใจ
คังเหว่ยหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นพี่สะใภ้คงไม่รู้ว่า ต่งลี่ลี่กับแม่ของเธอเคยไปที่บ้านตระกูลโจวด้วย เพราะทางตระกูลต่ง้าให้ต่งลี่ลี่แต่งงานกับพี่เฉิงเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลต่างตบปากรับคำเสียดิบดี เื่นี้เกิดขึ้นก่อนหน้าวันที่พี่เฉิงจื่อพาพี่สะใภ้กลับไปเจอคนที่บ้านวันเดียวเท่านั้น! สุดท้ายพอพี่เฉิงจื่อบอกว่าจะพาพี่สะใภ้มาที่บ้าน ต่งลี่ลี่กับแม่ของเธอเลยต้องล่าถอยกลับไป... แน่นอนว่าพวกเขาสองคนยังคงไม่ยอมแพ้ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังวางแผนร้ายกันอยู่เลย”
เดิมทีโจวเฉิง้าพาเซี่ยเสี่ยวหลานกลับบ้านไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเท่านั้น แต่ภายหลังกลับมาถึงบ้านก็เจอกับญาติพี่น้องที่อยู่กันพร้อมหน้า
ตอนนั้นเขานึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
กอปรกับตอนเจอกับคนตระกูลโจวเซี่ยเสี่ยวหลานก็ทำได้ดีมาก โจวเฉิงจึงไม่ได้เอะใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เื่เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะสองแม่ลูกตระกูลต่ง พวกเธอบอกให้โจวอี๋ช่วยเรียกคนตระกูลโจวมารวมตัวกันเพื่อจับผิดเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่ใครจะไปคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะใช้ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทำคนตระกูลโจวตกตะลึงและยอมรับ ไม่ว่าจะมองมุมไหน คุณสมบัติของเซี่ยเสี่ยวหลานก็ดีเยี่ยม นอกจากพื้นเพครอบครัว เื่อื่นเธอก็ไม่ด้อยไปกว่าใครเลยสักนิด
อีกทั้งคนตระกูลโจวก็ไม่ใช่พวกให้ความสำคัญกับประวัติครอบครัวขนาดนั้น
โจวเฉิงเลือกคู่ครองที่เหมาะสม ถือเป็การประดับบารมี แต่หากเลือกคนที่มีพื้นเพครอบครัวธรรมดา คนตระกูลโจวก็คงว่าอะไรไม่ได้ ขอเพียงคู่ครองที่เขาเลือกไม่ใช่พวกน่าอับอายขายขี้หน้า
สองแม่ลูกตระกูลต่งคราวนี้เหมือนยกหินทับเท้าตัวเองไม่มีผิด
“เธอเป็เพื่อนสนิทกับโจวอี๋ หลังจากพี่สะใภ้สร้างความประทับใจให้ผู้าุโของตระกูลโจวขนาดนั้น โจวอี๋คงรู้ว่าต่งลี่ลี่หมดหวังแล้ว ผู้าุโของตระกูลโจวไม่คัดค้านเื่ของพี่สะใภ้กับพี่เฉิงจื่ออย่างแน่นอน แถมพี่เฉิงจื่อเองก็ถูกใจพี่สะใภ้มากอีกด้วย แล้วต่งลี่ลี่จะแทรกกลางเข้ามาได้อย่างไร แต่ต่งลี่ลี่ไม่ยอมรามือ โจวอี๋พยายามเตือนให้ตัดใจ เธอยังทะเลาะกับโจวอี๋อีก จนกระทั่งวันที่พี่สะใภ้ออกทีวีในพิธีเฉลิมฉลองที่เทียนอันเหมิน ตระกูลต่งถึงกับบอกให้ต่งลี่ลี่ตัดใจเลย”
ไม่ว่าบ้านไหน เวลาเลือกลูกสะใภ้ย่อมอยากได้คนที่ดีที่สุด
เมื่อเอาต่งลี่ลี่กับเซี่ยเสี่ยวหลานมาเทียบกันแล้วนั้น หากไม่ติดเื่พื้นเพครอบครัว ใครก็คงไม่อาจปฏิเสธเซี่ยเสี่ยวหลานผู้มีความทะเยอทะยาน ใครบ้างจะอยากเลือกต่งลี่ลี่ที่เอาแต่ลอยชายไปวันๆ
ประจวบเหมาะกับการที่ตระกูลโจวไม่ได้ให้ความสำคัญกับเื่พื้นเพครอบครัว ข้อได้เปรียบของต่งลี่ลี่จึงหายวับไปในพริบตา
ตระกูลต่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าต่งลี่ลี่ยังไม่ตัดใจจนอายุมากขึ้นทุกที ถึงตอนนั้นจะยิ่งหาคู่ครองยากขึ้นแน่นอน ตระกูลต่งจึงจัดการดูตัวให้กับต่งลี่ลี่ คังเหว่ยชี้หน้าเส้ากวงหรงแล้วหัวเราะก๊ากออกมา
“พวกเขาแนะนำคุณหนูต่งให้กับคุณชายเส้า เหมาะสมมาก ช่างเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยก!”
อย่าให้บอกเลยว่าสีหน้าของเส้ากวงหรงนั้นมีความเอือมระอาแค่ไหน
“ฉันเนี่ยนะจะถูกใจเธอ?”
คนทั้งบางรู้ดีว่าต่งลี่ลี่คลั่งรักโจวเฉิงขนาดไหน ต่อให้เส้ากวงหรงหาเมียไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงที่หัวใจมีคนอื่นอยู่แล้วเด็ดขาด
แต่ตระกูลเส้าดันไม่ติดใจ ต่งลี่ลี่มีคนที่ถูกใจแล้วก็จริง แต่เส้ากวงหรงก็ไม่ได้ดีเด่มาไปกว่ากัน เขาเริ่มมีแฟนั้แ่สมัยมัธยม เปลี่ยนแฟนมาหลายต่อหลายคน ไม่มีทีท่าว่าจะลงหลักปักฐานกับใคร หากเขาแต่งงานเมื่อไร ไม่แน่ว่าอาจจะเก็บเขี้ยวเล็บได้บ้าง
สรุปคือหากเส้ากวงหรงยังไม่เป็ฝั่งเป็ฝา เขากับต่งลี่ลี่ก็อย่ารังเกียจกันเลย ที่คังเหว่ยหัวเราะก็เพราะรู้สึกว่า การกระทำของตระกูลต่งช่างแสบสันเสียจริง แน่นอนว่าตระกูลเส้าก็ใช่ย่อย ทั้งสองตระกูลต่างก็ไม่ถือสากันและกัน
เส้ากวงหรงใจนเกือบทิ้งงานทุกอย่างแล้วหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ทางใต้
อีกสาเหตุหนึ่งที่คังเหว่ยหัวเราะเยาะเขา ก็เพราะเส้ากวงหรงไม่กล้ากลับบ้านน่ะสิ
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับไม่หัวเราะตาม เห็นได้ชัดว่าเส้ากวงหรงรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไร หากเธอหัวเราะด้วยคงจะใจร้ายเกินไป “แล้วเธอคิดยังไง ถ้ารู้สึกไม่เหมาะสมกันจริงๆ ก็ลองคุยกับที่บ้านดีๆ สักครั้งสิ เธอต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมาพูด เื่ต่งลี่ลี่ชอบโจวเฉิงอย่าพูดอีกเลย ครอบครัวเธอคงไม่สนใจแน่ๆ ”
เส้ากวงหรงถลึงตาใส่คังเหว่ย พี่สะใภ้ต่างหากที่สามารถให้คำปรึกษากับเขาได้ ผิดกับคังเหว่ยที่เอาแต่รอดูเื่สนุก
่นี้เส้ากวงหรงเกิดความคิดหนึ่ง ความคิดนี้ได้มาจากตอนไปส่งเซี่ยเสี่ยวหลานที่มหาวิทยาลัย และนับวันความคิดที่ว่าก็เริ่มลุกโชนขึ้นทุกที
“พี่สะใภ้ พี่ว่าหากฉันอยากยกระดับการศึกษาของตัวเอง ฉันควรเรียนมหาวิทยาลัยไหนดี”
เชิงอรรถ
[1]คำว่า ‘ไห่’ (海) ในภาษาจีนหมายถึง “ทะเล”
[2]คำว่า ‘ไหจื่อ’ (海子) ประกอบด้วยคำว่า “ไห่” และ “จื่อ” ตามกฎการออกเสียงตามหลักพินอินในภาษาจีน เมื่อเสียงสามเจอเสียงสาม พยางค์หน้าจะต้องอ่านเป็เสียงสอง คำดังกล่าวจึงอ่านว่า “ไหจื่อ” ไม่ใช่ “ไห่จื่อ” แต่ใช้ตัวอักษรเดียวกันกับคำว่า “ไห่” ที่แปลว่า “ทะเล” ตามเชิงอรรถที่ 1
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้