ได้ยินว่าครอบครัวนี้มีเพียงปู่และหลานอยู่กันสองคน ท่านผู้าุโเคยทำงานเป็พ่อบ้านให้แก่ครอบครัวชนชั้นสูงที่ร่ำรวยครอบครัวหนึ่งในซีจิง ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว เ้านายของเขาจึงให้เงินจำนวนไม่น้อยเพื่อกลับบ้านและเลี้ยงดูเขาในวัยเกษียณ ปรากฏว่า เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณนี้ นายน้อยเกิดป่วยหนักและไม่สามารถเดินทางต่อได้ ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนจะพักรักษาตัวอยู่ที่นี่สักปีสองปี ท่านผู้าุโมีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังเป็คนใจกว้าง เขาจ่ายค่าแรงสูงๆ ให้กับชาวบ้าน แม้แต่อาหารกลางวันก็ยังอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น แม้พวกเขายังไม่ทันย้ายเข้ามาอยู่ ก็ได้รับความโปรดปรานจากคนทั้งหมู่บ้านไปเรียบร้อยแล้ว
……
ฝีมือของพี่รองสกุลติงค่อนข้างประณีต ไม่ว่าจะเป็การออกแบบประตู หน้าต่าง หรือของใช้ในครัวเรือน หากเทียบกับผู้อื่นแล้วเขามีความรู้ความเข้าใจมากกว่า ทว่าครอบครัวสกุลติงมีธรรมเนียมที่เข้มงวดคือ แม่นางหลี่ว์ไม่อนุญาตให้ลูกสะใภ้ทั้งสองของนางขี้นินทาเหมือนฮูหยินคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน แต่ถึงอย่างนั้นในบ้านสกุลติงกลับไม่เคยเงียบสงบเลย
แม้ประตูบ้านสกุลติงยังปิดอยู่และไม่มีการเคลื่อนไหวจากคนในบ้าน ก็ไม่อาจขัดขวางการมาเยือนของแขกได้
วันนี้แม่นางหลี่ว์ยุ่งอยู่ในร้านตลอดทั้ง่เช้า เมื่อเห็นว่าไม่มีงานอะไรแล้ว ก็ปล่อยให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเฝ้าร้าน หลังจากนั้นรีบกลับมาบ้าน เอาเสื้อคลุมและผ้าห่มของบุตรสาวออกมาตากแดด แต่ต้าเป่ากลับดื้อมาก วิ่งเข้าออกผ้าห่มไปมาจนเกือบจะคว่ำกระด้งที่ใส่ถั่วลิสงไว้
แม่นางหลี่ว์ยื่นมือจะตีเขาสักทีสองที แต่สุดท้ายก็ทำใจตีไม่ลง ทำให้เหว่ยเอ๋อร์ยิ้มออกมา “ลูกชายคนโตและหลานชายคนโตเป็ดั่งชีวิตจิตใจของท่านปู่กับท่านย่า ท่านแม่ ท่านลำเอียงกับต้าเป่าเกินไปแล้ว!”
แม่นางหลี่ว์จ้องลูกสาวที่กำลังหัวเราะคิกคัก และพูดด้วยความโกรธว่า "ใครจะพูดจาเช่นนี้ถ้าไม่ใช่เ้า ทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้ว่าข้าเข้าข้างเ้ามากที่สุด!”
ติงเหว่ยรีบเข้าไปหาท่านแม่ แล้วพูดจาออดอ้อนด้วยเสียงอ่อนหวานว่า "ท่านแม่เป็คนดีที่สุด ท่านแม่รักข้าที่สุดแล้ว"
แม่นางหลี่ว์ค่อยๆ ผละออกจากตัวบุตรสาว นางเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "ท่าทางแบบนี้เ้าคงกำลังจะสร้างเื่อีกแล้วสินะ อย่าบอกนะว่าเ้าจะเข้าไปในเมือง ข้าไม่อนุญาต มีบ้านไหนบ้างที่ลูกสาวออกไปลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างนอกตลอด ช่วยอยู่บ้านเฉยๆ บ้างเถอะ"
แผนของติงเหว่ยถูกมารดามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง นางไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด ขณะที่นางกำลังจะตื๊อท่านแม่ต่อ ก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะจากนอกประตู “โอ๊ะ สาวๆ สกุลติง พวกเ้าสองแม่ลูกกำลังหยอกล้อกันอยู่หรือ?”
……
เมื่อเหว่ยเอ๋อร์ได้ยินก็ใมาก นางหันกลับไปมอง เห็นหญิงชราคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบปีสวมชุดลายดอกไม้เดินเข้ามาจากนอกบ้าน ลักษณะท่าทางปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง [1] หน้าตาแบบที่คนไม่ชมชอบ นางทาแป้งจนขาวไปทั้งใบหน้า ทาปากสีแดง และยังทัดหูด้วยดอกไม้กำมะหยี่สีแดง ไม่ว่ามองอย่างไรก็แปลกเสียจริง
แม่นางหลี่ว์จำท่านแม่เฒ่าผู้นี้ได้ นางคือแม่นางเฉิน แม่สื่อที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บ้านข้างๆ นางมีฉายาว่า “หนี่ว์เยว่เหล่า” [2] หากไม่นับว่านางชอบพูดจาเรื่อยเปื่อย ชื่อเสียงของนางนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นไกล งานแต่งของพี่ใหญ่กับแม่นางหลิวก็ได้นางเป็ผู้ช่วยจูงเส้นแดง [3] ให้ ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่กลมเกลียวอยู่ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็เพราะฝีมือนาง แม่นางหลี่ว์รีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “อ้าว ท่านพี่ วันนี้ลมหอม [4] อะไรพัดมา เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ล่ะ?”
“ข้าได้ยินคนพูดกันว่าครอบครัวของน้องหญิงร่ำรวยแล้ว ร้านที่เปิดก็ได้รับความนิยมเป็อย่างมาก หลังจากคิดไปคิดมา ข้าเกรงว่าสินเดิมของเหว่ยเอ๋อร์น่าจะเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว พอดีกันกับที่ข้ารู้จักชายหนุ่มดีๆ อยู่คนหนึ่ง ข้าจึงมาคุยเื่นี้” ไม่รู้ว่าแม่นางเฉินใจร้อน หรือแม่นางหลี่ว์ไม่ค่อยเป็กันเอง ท่านแม่เฒ่าจับมือแม่นางหลี่ว์เดินไปทางห้องโถงพร้อมยิ้มคิกคักและพูดจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้
เมื่อแม่นางหลี่ว์ได้ยินดังนั้น นางก็เร่งฝีเท้าและปิดประตูใหญ่ในห้องโถง ติงเหว่ยอุ้มฝูเอ๋อร์กลับไปที่ห้องฝั่งตะวันตก ตบก้นกล่อมสองสามทีให้นางหลับ และะโเรียกให้ต้าเป่าช่วยเฝ้าสักพัก หลังจากนั้นก็วิ่งไปห้องครัวเพื่อชงชา
นางไม่ใช่ลูกสาวชาวนาทั่วไปที่พอได้ยินเื่การแต่งงานของตนเองแล้วมัวแต่เขินอาย เอาแต่หลบเหมือนหนูที่อยู่ในรู เื่สำคัญในชีวิตเช่นนี้จะปล่อยให้ท่านแม่ตัดสินใจตามใจชอบได้อย่างไรกัน
ในเวลานี้แม่นางหลี่ว์นับว่าสามารถยอมรับท่าทางที่เปลี่ยนไปครั้งใหญ่ของลูกสาวได้ เมื่อเห็นนางเข้ามาพร้อมกับกาน้ำชาและถ้วยชา ก็ได้แต่มองนางอย่างเข้มงวดสักทีแล้วปล่อยไป กลับกันในสายตาของแม่นางเฉินกลับจ้องมองติงเหว่ยราวกับมีตะขอเล็กๆ นับไม่ถ้วนออกมาจากั์ตาแล้วจับติงเหว่ยตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกอย่างละเอียด บางครั้งดูราวกับแม่ค้าที่กำลังประเมินน้ำหนักของหมูอย่างไรอย่างนั้น
ติงเหว่ยถูกแม่นางเฉินจ้องจนนางเดินราวกับคนที่ต้องใช้ไม้ค้ำยัน ทันใดนั้นแม่นางเฉินก็เรียกสติกลับมา แววตาแห่งความสงสัยปรากฏขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้านางกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง
ไม่ง่ายเลยที่ติงเหว่ยจะเดินไปถึงโต๊ะด้านหน้า รินชาด้วยรอยยิ้มและส่งให้ท่านแม่เฒ่าเฉิน “ท่านป้าดื่มชาเสียก่อน ท่านแม่มักพูดเื่ท่านบ่อยๆ ที่บ้าน ไม่นึกเลยว่าวันนี้ท่านป้าจะมาเยือนถึงหน้าประตู”
เแม่นางเฉินสะบัดมือทั้งสองข้างด้วยความเคยชิน "โธ่ ใครๆ ก็บอกว่าหญิงสาวอายุครบ18 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลง เหว่ยเอ๋อร์ยิ่งโตยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ"
ติงเหว่ยกำลังจะพูดถ่อมตนสักประโยคสองประโยค ทว่าพอเปิดปากกลับได้กลิ่นหอมฉุนที่รุนแรงอย่างมาก และไม่รู้ว่าเหตุใดในท้องนางจึงรู้สึกเหมือนบางสิ่งกำลังจะออกมา ภายใต้ความในั้นนางทำได้เพียงผละออกจากโต๊ะ แล้วอาเจียนลงบนพื้น
“ไอ๊หยา เหว่ยเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป? ไม่สบายตรงไหนรีบบอกแม่มานะ เหตุใดเ้าถึงได้อาเจียนล่ะ?” แม่นางหลี่ว์กอดบุตรสาวไว้แน่น ใบหน้าของนางซีดเผือดด้วยความใ
ติงเหว่ยอาเจียนออกมาสองครั้งจึงรู้สึกดีขึ้น และกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง นางรีบปลอบมารดาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ ข้าไม่เป็ไร เพียงแต่ได้กลิ่นน้ำหอมจากผ้าคลุมหน้าของท่านป้าแล้วรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย ข้ากลับห้องไปนอนสักพักก็ดีขึ้นแล้ว"
“เ้าเด็กคนนี้นี่” แม่นางหลี่ว์ตบที่หน้าอกของตน ตอนนี้จึงนึกขึ้นได้ว่าในบ้านยังมีคนอื่นอยู่ นางหันกลับมายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่ อย่าใไปเลย ลูกสาวของข้านางป่วยมาั้แ่เกิด การกินอาหารไม่ค่อยดี ก่อนจะขึ้นปีใหม่ก็ไม่สบายไปทีหนึ่ง นางท้องไส้ไม่ค่อยดี เกรงว่าจะไม่สบายอีกแล้ว ท่านพี่นั่งรอข้าสักครู่ ข้าจะพยุงนางกลับห้องไปนอนสักหน่อย”
แต่จู่ๆ แม่นางเฉินพลันลุกขึ้นและพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ไม่ ไม่ได้การล่ะ! ที่บ้านของข้ายังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน ไว้ค่อยมาใหม่วันหลัง!”
พูดจบนางก็รีบวิ่งออกไปจนสุดฝีเท้า ราวกับนางเห็นผีร้ายก็ไม่ปาน ทั้งแม่นางหลี่ว์และติงเหว่ยต่างตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่แม่นางหลี่ว์ก็พึมพำว่า "ท่านแม่เฒ่าผู้นี้เหตุใดช่างทำอะไรไม่มีเหตุผล บางทีนางอาจนึกอะไรขึ้นมาได้อีกแล้ว" หลังจากพูดจบนางก็พยุงลูกสาวเดินไปทางห้องฝั่งตะวันตก สีหน้าของติงเหว่ยขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวา ปีนขึ้นไปบนเตียงก็อยากจะนอนสักตื่น แต่นางก็ยังเป็ห่วงหลานชายและหลานสาวตัวน้อย ดังนั้นนางจึงกำชับมารดาว่า "ท่านแม่ ท่านอย่าลืมนะ ต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์ยังอยู่ที่ห้องฝั่งตะวันตก"
“โอ้ ได้สิ แม่จะไปดูเอง เ้ารีบนอนลงเถอะ ชอบทำให้แม่เป็ห่วงเสียจริง ตอนพี่สะใภ้ทั้งสองของเ้าตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นจะเื่เยอะถึงเพียงนี้!” ในขณะที่แม่นางหลี่ว์กำลังพูดอยู่นั้นขาข้างหนึ่งอยู่ด้านในประตู ขาอีกข้างหนึ่งอยู่ด้านนอก ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็หันกลับไป ทำให้หัวโขกสันประตูอย่างแรงดัง “ตึง”
แต่นางเหมือนไม่รู้สึกถึงความเ็ปใดๆ นางพุ่งตัวไปที่ข้างเตียงอย่างรวดเร็ว คว้าตัวลูกสาวแล้วถามว่า "เ้า เดือนนี้เสี่ยวรื่อจึ [5] ของเ้ามาหรือยัง?”
“เสี่ยวรื่อจึงั้นหรือ?” ติงเหว่ยรู้สึกเ็ปขณะที่ช่วยท่านแม่นวดศีรษะไปด้วย นางถามด้วยความสับสนว่า “เสี่ยวรื่อจึคืออะไร?”
แม่นางหลี่ว์กังวลมากจนตีมือนางไปทีหนึ่ง แล้วถามอย่างเคร่งเครียดว่า "ก็คือกุ้ยสุ่ย [6] ยังไงล่ะ กุ้ยสุ่ยของเ้าที่ต้องมาทุกเดือน"
ติงเหว่ยเพิ่งจะเข้าใจ พลางรีบนับในใจอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างลังเลว่า "เอ่อ ดูเหมือนว่าหลังจากวันนั้นที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็ยังไม่เคยมาเลย?” พอพูดจบนางก็กลัวว่าท่านแม่จะเป็กังวล จึงพูดเสริมต่อว่า “ท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลย อาจมาช้าเพราะอาการป่วย่นี้ของข้า”
แต่เมื่อแม่นางหลี่ว์ได้ฟังใบหน้ากลับยิ่งซีดลง นางคิดแล้วคิดอีกและรีบวิ่งไปปิดประตู นางหันกลับมาคว้าตัวบุตรสาว แล้วถามว่า “เ้าจงบอกความจริงกับแม่มา ปกติได้อยู่กับชายคนไหนตามลำพัง…อืม หรือเจอกันตามลำพังบ้างหรือไม่?”
ติงเหว่ยรีบส่ายหัว “ข้าก็อยู่ใต้เปลือกตา [7] ท่านแม่ตลอดทั้งวัน ข้าไปเจอผู้ใดมาบ้างท่านแม่จะไม่รู้หรอกหรือ?”
แม่นางหลี่ว์คิดทบทวนอย่างรอบคอบ ที่บุตรสาวพูดก็มีเหตุผล นางจึงข่มความรู้สึกไม่สบายใจข้างในแล้วกำชับว่า "เ้าจำไว้นะ ่นี้ถ้ากุ้ยสุ่ยมาเ้าต้องบอกแม่ด้วย"
“ได้เลย ท่านแม่ ท่านรีบไปดูต้าเป่ากับปู้เตี่ยน [8] เถอะ ข้าไม่เป็ไร”
……
เมื่อเห็นท่านแม่ออกไป ติงเหว่ยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในโลกนี้มีเพียงท่านแม่ที่คอยรักและทะนุถนอมนาง ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือจู้จี้จุกจิก แต่นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็ดึงผ้าห่มขึ้นแล้วผล็อยหลับไป พอถึงตอนกลางคืนก็ตื่นขึ้นมา พี่สะใภ้ทั้งสองเริ่มจัดโต๊ะอาหารแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อและพี่ใหญ่ที่อยู่ที่ร้านตลอดจะกลับมากินอาหารเย็นด้วย
ผู้าุโติงรักบุตรสาวไม่น้อยไปกว่าภรรยา ดูสีหน้าลูกแล้วยังอาการไม่ค่อยดีจึงถามไปสองสามประโยค ติงเหว่ยยิ้มอย่างร่าเริงพร้อมตั้งหม้อต้มใบยาสูบให้ท่านพ่อ แล้วพูดว่า “ไม่มีกระดาษสำหรับจดบัญชีแล้ว” ตอนนี้มีเงินเข้าร้านทุกวัน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย พอเทียบกับเมื่อก่อนก็ถือว่าใช้ชีวิตได้สบายกว่าเดิมค่อนข้างมาก นับประสาอะไรกับของจำเป็ที่ลูกสาวต้องใช้อย่างกระดาษฟางและที่ฝนหมึก ผู้เฒ่าติงโถวเอ๋อร์แสดงอำนาจบาตรใหญ่ กำชับลูกชายคนรองว่า “พรุ่งนี้เ้าเข้าเมืองไปแล้วซื้อของทุกอย่างที่น้องสาวเ้า้ากลับมาด้วยล่ะ”
พี่รองสกุลติงรับปากเสียงดังและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จือเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่ามีร้านขนมเปิดใหม่ในเมือง พี่รองซื้อหลิงจุ่ยเอ๋อร์ [9] กลับมาให้เ้าดีหรือไม่?"
ไม่ต้องรอให้ติงเหว่ยตอบ ต้าเป่ากลับะโและะโว่า "ดีเลย ท่านพ่อ ข้าก็อยากได้เหมือนกัน ข้าก็อยากได้ด้วยเหมือนกัน!"
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา สกุลติงพากันมานั่งและเริ่มกินอาหาร น้ำแกงกระดูกหมู กะหล่ำปลีดองตุ๋นกับเต้าหู้แช่แข็ง พร้อมด้วยหมั่นโถวลูกใหญ่สีขาวที่เพิ่งทำใหม่ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารแสนอร่อย ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็น่ที่แม่นางหลิวและแม่นางหวังสบตากันไปมา ในสายตาซ่อนความกังวลและร้อนใจ
จนกระทั่งทุกคนกินอาหารเสร็จแล้ว ลมหนาวด้านนอกเริ่มพัดพาอีกครั้ง เป็เื่ยากที่ติงเหว่ยจะกินอาหารได้จนอิ่ม นางอารมณ์ดีอุ้มต้าเป่านั่งบนโต๊ะ ใช้นิ้วจุ่มน้ำชาและเขียนตัวอักษร พี่ใหญ่เป็ห่วงบิดาจึงไปเฝ้ายามที่ร้านเพียงลำพัง ปล่อยให้ผู้าุโติงเอามือไพล่หลังมองดูลูกหลานเล่นกันอย่างสนุกสนาน
……
แม่นางหลิวและแม่นางหวังหาข้ออ้างไปหาแม่สามีว่าจะไปหยิบเข็มกับด้าย จากนั้นทั้งสองจึงดึงนางไปที่มุมห้องแล้วกระซิบกระซาบบางอย่าง เมื่อแม่นางหลี่ว์ฟังจบก็ลุกขึ้นและด่าคำหยาบคายออกมาชุดใหญ่ “แม่เฒ่าเฉินสมควรตายจริงๆ ตอนเช้านางกินต้าเฟิ่น [10] มาหรือ ไม่เคยพูดอะไรดีๆ ออกจากปากเลย! ข้าจะไปหานางเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปถามว่าตกลงในท้องนางเต็มไปด้วยจิตใจอันดำมืดและตับเน่าเสีย [11] หรือยังไง?”
แม่นางหลิวและแม่นางหวังโผกอดนางจากทั้งทางซ้ายขวา แล้วรีบพูดกับนางว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งโกรธ แต่ไหนแต่ไรมาแม่เฒ่าเฉินก็เป็แค่คนปากเสียคนหนึ่ง ไม่มีค่าให้ท่านโกรธ อีกอย่างคนยืนตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียง [12] พวกเรารู้ดีว่าน้องหญิงของเราเป็ลูกสาวที่ดี”
ผู้าุโติงได้ยินไม่ชัดแต่คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับลูกสาวของเขา ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วและถามเสียงดังว่า “พวกเ้าพึมพำเื่อะไรกัน มีอะไรจะพูดก็พูดให้ชัดเจน!”
แม่นางหลี่ว์โกรธมากจนทุบลงบนหน้าอกของตนเอง ไม่รอให้ลูกสะใภ้พูด นางก็พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาราวกับเทถั่วผ่านกระบอกไม้ไผ่ [13]
“แม่เฒ่าเฉินมาที่บ้านเราเมื่อยามเที่ยง บางทีอาจมาเพื่อแนะนำใครสักคนให้รู้จักกับเหว่ยเอ๋อร์ แต่สองวันที่ผ่านมานี้เหว่ยเอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย เพียงได้กลิ่นแป้งหอมบนตัวของนางก็อาเจียนออกมา ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไร สื่อโผ่วเหนียง [14] นางนั้นก็รีบวิ่งออกไปราวกับโดนหมาป่าไล่ตาม ปรากฏว่าตอนที่ลูกสะใภ้ทั้งสองกำลังเดินทางกลับจากร้าน ขณะที่ผ่านทางเข้าหมู่บ้านกลับได้ยินนางพูดกับคนอื่นว่าเหว่ยเอ๋อร์ของพวกเรา…เหว่ยเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้ว!”
ขณะที่แม่นางหลี่ว์กำลังพูดอยู่ นางก็โมโหมากจนเริ่มก่นด่าออกมาอีกครั้ง “นางช่างเพ้อเจ้อเหลวไหล [15] เสียจริง! ลูกสาวที่แสนบริสุทธิ์ของข้า นางกล้าดียังไงมาพูดจาเหมือนถุยน้ำลายใส่ [16] พรุ่งนี้ข้าจะไปฉีกปากนางออกเป็ชิ้นๆ”
-----------------------------------------
[1] ปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง 尖嘴猴腮 หมายถึง คนที่หน้าตาอัปลักษณ์
[2] หนี่ว์เยว่เหล่า 女月老 หมายถึง ท่านแม่เฒ่าจันทรา เป็เทพเ้าตำนานด้ายแดงผู้กุมชะตาบุพเพสันนิวาสของคนหนุ่มสาว โดยเชื่อว่าหากไปขอด้ายแดงกับผู้เฒ่าจันทราก็จะสมหวังในความรักและจะได้พบเนื้อคู่
[3] จูงเส้นแดง 牵的红线 หมายถึง “เป็แม่สื่อ” หรือ “จับคู่” ให้
[4] ลมหอม 香风 หมายถึง บรรยากาศแห่งกามารมณ์และตัณหา
[5] เสี่ยวรื่อจึ 小日子 หมายถึง ประจำเดือน
[6] กุ้ยสุ่ย 葵水 หมายถึง ประจำเดือน
[7] อยู่ใต้เปลือกตา 眼皮底下 หมายถึง ต่อหน้าต่อหน้า การกระทำบางอย่างใกล้ตัวมากแต่ผู้กระทำกลับไม่รู้สึก
[8] ปู้เตี่ยน 不点儿 หมายถึง เ้าตัวน้อย
[9] หลิงจุ่ยเอ๋อร์ 零嘴儿 หมายถึง ของกินเล่น
[10] ต้าเฟิ่น 大粪 หมายถึง อุจจาระ
[11] จิตใจอันดำมืดและตับเน่าเสีย 黑心烂肝hēi xīn làn gān บุคคลที่น่ากลัวและเลวทราม
[12] คนยืนตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียง 身正不怕影子歪 หมายถึง หากคนเราประพฤติตนถูกต้อง ต่อให้ถูกว่าร้ายก็ไม่จำเป็ต้องกลัว มาจากสำนวนจีนเต็มๆ ว่า คนยืนตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียง จิตใจดีสะบัดไสวสูงส่ง ฟ้าดินย่อมเปิดทางให้เดินได้อย่างกว้างไกลไพศาล (身正不怕影子斜,胸怀坦蕩蕩,天地自开阔)
[13] เทถั่วผ่านกระบอกไม้ไผ่ 竹筒倒豆子 เป็คำอุปมาจีนที่ใช้กันทั่วไปเพื่อบรรยายถึงบุคคลที่ตรงไปตรงมาและไม่สงวนท่าที นอกจากนี้มักใช้เพื่อบรรยายถึงคนที่พูดหรือทำสิ่งต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาและเรียบร้อย
[14] สื่อโผ่วเหนียง 死婆娘 หมายถึง คำเรียกหญิงที่แต่งงานแล้วในเชิงบ่นด้วยความโกรธ
[15] ฟ่างโกว๋พี่ 放狗屁 เป็คำแสลงที่ใช้แทนคำสบถในอินเทอร์เน็ต หมายถึง สิ่งที่บุคคลนั้นพูดเป็เหมือนลมตด ไม่มีประโยชน์ ไม่น่าเชื่อถือ และเป็การดูิ่เหยียดหยามผู้อื่น
[16] พูดจาเหมือนถุยน้ำลายใส่ 满嘴喷粪 หมายถึง พูดแต่สิ่งไม่ดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้