ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเผยรอยยิ้มออกมา เขาชื่นชอบท่าท่างเช่นนี้ของนางเป็ที่สุด ท่าทางอวดดี เหมือนด้านหลังมีหางชี้ตั้งขึ้นสูง
สายตาของเขาหยุดที่เชือกแดงก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งหน้าตอนที่มอบของขวัญเทศกาล เห็นทีคงต้องเตรียมเครื่องประดับที่สวยงามแต่ไม่เตะตาจนเกินไปให้แก่นางหลายชุด
ขณะนี้ จิ้นเซี่ยวตาดีจึงรีบยื่นจานขนมไป่เซียงเกาวางไว้ตรงหน้าหลิวเต้าเซียง และรินชาผูเอ่อร์ [1] ให้
นางกําลังกินขนมไป่เซียงเกาและใจเต้น จึงเอ่ยว่า “รสชาติของขนมนี้ไม่เลวเลย กลิ่นหอมกำลังดี เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่เป็กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดไหน?”
จิ้นเซี่ยวรีบตอบว่า “นี่คือผลไม้จากฝั่งของไป่เยว่ [2] หากผ่าออกมากลิ่นจะหอม เวลากินรสชาติจะเปรี้ยวเข็ดฟัน แต่หากนำมาทำขนมนับว่ารสชาติไม่เลว”
หลิวเต้าเซียงไม่เคยได้ยินว่าไป่เยว่อยู่ที่ไหน จึงถามจิ้นเซี่ยว
จิ้นเซี่ยวตอบว่าอยู่ทางตะวันตกของภูมิภาคหลิงหนาน
นางจึงเข้าใจว่ามันเป็เสาวรสของเมืองกว่างซีจริงๆ
นางจำได้ว่าผลไม้ชนิดนี้หากผสมกับน้ำอ้อยจะมีรสชาติดียิ่งนัก เสียดาย ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้กินหรือไม่
จิ้นเซี่ยวยิ้ม “คุณหนูหากมีโอกาสต้องไปเที่ยวเล่นที่เมืองหลวง ฤดูร้อนที่นั่นจะมีการทำไป่เซียงกั่วน้ำผึ้งน้ำแข็งใสเป็อาหารว่าง หญิงสาวและบรรดาฮูหยินในเมืองหลวงต่างก็ชื่นชอบให้คนรับใช้ไปซื้อในร้านขายน้ำแข็งในฤดูร้อน หากฤดูร้อนคุณหนูได้ไปทางนั้น ต้องได้ลิ้มชิมแน่นอน”
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งซูจื่อเยี่ยก็นึกอะไรได้ จึงวางน้ำชาในมือลง “เ้าชอบหรือ?”
“ฟังดูน่าอร่อย ข้ากินแค่ขนมนี้ก็รู้ได้ว่ารสชาติดี หากทำจากน้ำแข็ง รสชาติย่อมต้องแตกต่างกันแน่”
ซูจื่อเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ของสิ่งนั้นเขาเองก็เคยชิม เย็นๆ สดชื่น หากกินในฤดูร้อนก็ช่วยคลายร้อนได้ด้วย “อืม ข้าจำได้ว่ายังมีนมน้ำแข็งให้กินด้วย”
นมน้ำแข็ง? ใช่ไอศกรีมโบราณหรือเปล่า? มีรสถั่วเขียวหรือไม่?
คําพูดของซูจื่อเยี่ยทำให้หัวใจของหลิวเต้าเซียงที่เป็สายกินเริ่มหวั่นไหว นางต้องพยายามหาเงินให้มากๆ เพื่อจะได้ไปกินไอศกรีมมากมายในเมืองหลวงทุกหน้าร้อน
ปีนี้นางอายุแปดขวบ จึงมีจอมมารอาศัยเื่นี้ปล่อยเบ็ดให้ติดกับ!
หลังจากได้เจอกับซูจื่อเยี่ย ขากลับบ้านนางได้แบกขนมหลากหลายชนิดไว้ในตะกร้าบนหลัง ไม่ได้มากมาย แต่ก็เพียงพอให้ครอบครัวได้กินอิ่ม
เดิมทีหลิวซานกุ้ย้าแบ่งเกี๊ยวดอกหยางไหวครึ่งหนึ่งไปให้บิดามารดา แต่ไม่ว่าเขาจะทำตัวดี เอาใจอย่างไร จางกุ้ยฮัวก็ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
กำแพงบ้านของหลิวเต้าเซียงยิ่งก่อก็ยิ่งยาว ่ที่ขาดก็ลดน้อยลง ในวันที่สิบห้าเดือนสาม กำแพงบ้านก็ฉาบเสร็จในที่สุด เครื่องไม้ในบ้านก็ใกล้จะเสร็จแล้ว มีรถล้อเกวียนไม้สนทาน้ำมันเคลือบอยู่ตรงลานบ้าน
ล้อเกวียนลำนี้ใหญ่กว่าของนายหน้าจางเล็กน้อย เพราะหลิวเต้าเซียง้าใช้บรรทุกคนเป็หลัก ้ามีหลิวต้าฟู่อาสามาช่วยทำที่กำบังไม้ไผ่สานให้ มีลักษณะเป็สี่เหลี่ยมจัตุรัส มีหน้าต่างสองข้าง หลังคาสี่ด้านมีเสื่อไม้ไผ่สานที่ปรับได้ และปลดลงมาได้ ในฤดูร้อนจะได้มีลมโกรกทั้งสี่ด้าน ้ามีหลังคา นอกจากจะใช้ไม้ไผ่สาน เวลาที่มองไปก็ดูใช้ได้ทีเดียว
เมื่อตัวรถทำเสร็จแล้ว หลิวชิวเซียงก็เดินวนดูรถเกวียนนี้หลายรอบ จากนั้นจับมือหลิวเต้าเซียงและเอ่ย “น้องรอง บ้านเรามีเกวียนแล้ว เ้าหยิกข้าทีสิ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?”
ตามคําขอของนาง หลิวเต้าเซียงหยิกไปที่มือของพี่สาวอย่างแรง หลิวชิวเซียงเ็ปจนน้ำตาคลอเบ้าจึงมั่นใจและเชื่อว่านี่เป็เื่จริง
“น้องรอง เ้ามือหนักเหลือเกิน”
หลิวเต้าเซียงกรอกตามองบน “ท่านพี่ ท่านบอกให้ข้าหยิกเอง”
นางกำลังคิดว่าต่อไปจะทำรถม้าคู่ด้วย ลำพังเกวียนลาเล็กๆ แบบนี้ ครอบครัวของนางยังดีใจถึงเพียงนี้ หากว่าเปลี่ยนเป็รถม้า ไม่รู้ว่าพี่สาวจะดีใจจนบ้าคลั่งเพียงใด
“ท่านพี่ บ้านเรามีเกวียนลาจริงๆ ต่อไปเราจะได้ไปเที่ยวเล่นในอำเภอ คราวที่แล้วข้าไปซื้อด้ายที่โรงปักให้พี่ ได้ยินเถ้าแก่เนี้ยบอกว่า ด้ายในอำเภอนั้นมีมากมาย เวลาปักออกมาก็มีสีสันสวยงาม ดูมีชีวิตชีวามากกว่า”
หลิวชิวเซียงกะพริบตาและเรียกให้น้ำตากลับเข้าไป
เหตุใดน้องสาวจึงนิ่งเช่นนี้? นางควรจะดีใจเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ขนาดท่านย่าที่รวยมาก แต่ยังทำใจซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ
แิของหลิวชิวเซียงนั้นแตกต่างจากหลิวเต้าเซียง
ความคิดของนางคือการออมเงิน ออมเงิน และออมเงิน!
ส่วนความคิดของหลิวเต้าเซียงคือเมื่อมีเงินก็ต้อง ซื้อ ซื้อ และซื้อ!
เมื่อมีความ้าใช้จ่าย จึงจะมีความกระตือรือร้นในการหาเงิน!
ครอบครัวของหลิวซานกุ้ย้าเกวียนลาไว้ใช้ในบ้าน เื่นี้ราวกับติดปีก ไม่ถึงครึ่งวันก็รู้กันทั่วหมู่บ้านสามสิบลี้
ไม่ว่าจะมีคนพูดจาไม่ดีลับหลังหรือไม่ แต่คนที่มายลโฉมก็มีมาไม่ขาดสาย
บ่ายนี้จางกุ้ยฮัวยิ้มจนหน้าเกร็งไปหมด นางนั่งต้มน้ำอยู่ในครัวไปสองหม้อใหญ่ แล้วยังนำขนมเฉียวกั่วแผ่นของสามพี่น้องมาทอดจนหมด
หลังจากผู้คนที่มาเยี่ยมกลับไป ลานบ้านก็เต็มไปด้วยเปลือกเมล็ดทานตะวันและเปลือกถั่วลิสง ส่วนเก้าอี้สี่ขาอันใหม่ก็กระจัดกระจายคนละทิศละทาง ทั้งยังมีคราบน้ำมูกกับน้ำมันเปรอะเต็มไปหมด
ป้าหลี่ที่อยู่ช่วยเหลือต่อรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมแทน คนเหล่านี้เพียงแค่อยากมาดูเพื่อเยาะเย้ยเท่านั้น
หากว่าจางกุ้ยฮัวทำเป็หน้าใหญ่ใจโต ลำพังเกวียนไม้จะทำอะไรได้ ที่สำคัญคือต้องมีลา ของสิ่งนั้นมีมูลค่ายิ่งนัก
“นี่มันอะไรกัน เก้าอี้ใหม่เปื้อนหมด น่าโมโหจริงๆ กุ้ยฮัว จากที่ข้าดู คนเหล่านี้ก็แค่อิจฉาตาร้อนที่ครอบครัวเ้าได้ดี!”
ลานบ้านถูกเก็บกวาดอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง เมื่อมองดูกำแพงหินใหม่รอบบ้าน หลังคาหญ้าฟางที่ซ่อมแซมใหม่ เครื่องใช้ไม้สนที่อยู่ในบ้านที่ทำใหม่ทั้งหมด สามารถใช้ได้อีกหลายรุ่น และแปลงผักด้านหลังบ้านที่เก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ดูแล้วเขียวขจีสร้างความน่ายินดีเป็อย่างมาก
แน่นอน สิ่งสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือไกลออกไปจากตัวบ้าน มุมหนึ่งตรงด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือยังมีคอกหมูกับเล้าไก่ขนาดใหญ่ ตอนนี้ด้านข้างก็มีหลังคาของกระท่อมเล็กๆ เตรียมไว้ให้ลาที่กำลังจะเลี้ยง
จางกุ้ยฮัวมีงานยุ่งตลอดบ่ายวันนี้ นางแทบไม่ได้นั่งพักหายใจ และนึกโมโหั้แ่เช้า “ช่างเถิด ไม่เจอวันนี้ ต่อไปก็ต้องเจออยู่วันยังค่ำ หากว่าถือสา ไม่แน่ว่าลับหลังอาจจะเอาเราไปพูดเสียหายกว่านี้ก็เป็ได้!”
หลิวเต้าเซียงกําลังช่วยกวาดพื้น จึงหัวเราะและเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ อย่าโมโหไป ต่อไปครอบครัวเราเข้าออกต้องใช้เกวียนลา หากเรามีเกวียนแล้ว ก็ปล่อยให้พวกนางอิจฉาไป”
“ใช่ กุ้ยฮัว ลูกเ้าพูดได้ถูกต้อง กระทั่งเราเองก็อิจฉาเช่นกัน ชุ่ยฮัวของข้าเห็นเกวียนลาของบ้านเ้า ก็งอแงบอกว่าอยากได้สักลำ ฮี่ สามีกับลูกชายข้าก็อยู่แต่ในตำบล บ้านข้าไม่ได้เดินทางเข้าไปเหมือนบ้านเ้าทุกวัน ไม่จำเป็ต้องใช้เกวียนลา”
หลิวเต้าเซียงตอบว่า “ป้าหลี่ ครอบครัวท่านไม่จำเป็ต้องซื้อ หากจำเป็ต้องใช้ ก็มาบอกบ้านข้าได้เลย”
“เอ๋ ไม่เสียแรงที่ป้าหลี่เอ็นดูเ้าในหลายปีมานี้ เ้านึกถึงสิ่งที่ป้าเคยทำให้เ้า”
ป้าหลี่ได้ยินดังนั้นก็สุขใจ รอยยิ้มจึงหุบไม่ลง
บุตรสาวทั้งสองและจางกุ้ยฮัว รวมถึงป้าหลี่ ใช้เวลาไม่นานในการเก็บกวาดบ้านจนสะอาด
จางกุ้ยฮัวทุกข์ใจที่เก้าอี้ใหม่สกปรก จึงชวนป้าหลี่เอาไปล้างที่ริมน้ำ
จากนั้นก็รั้งนางให้อยู่ทานอาหารค่ำด้วยกัน แต่ป้าหลี่ไม่ยอม
“ป้าหลี่ ท่านรอก่อน”
หลิวเต้าเซียงเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบใบบัวแห้งมาหนึ่งแผ่น และเลือกสรรขนมที่ซูจื่อเยี่ยสั่งให้จิ้นเซี่ยวนำมาส่งให้
น่าเสียดายที่ไม่มีขนมไป่เซียงเกาที่นางชอบกิน
เมื่อห่อขนมเสร็จก็เดินกลับไปที่ลานบ้าน แล้วยื่นให้ป้าหลี่ที่กำลังคุยกับจางกุ้ยฮัว “ป้าหลี่ นำสิ่งนี้ไปให้ชุ่ยฮัวกิน สหายของพ่อข้าส่งมาให้ หาซื้อในตำบลไม่ได้”
ป้าหลี่กำลังจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินว่าหาซื้อในตำบลไม่ได้ จึงยิ้มและรับไว้ “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะ”
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ป้าหลี่ก็รีบกลับไปหุงข้าวและถือห่อขนมกลับบ้านอย่างเร่งรีบ
ในที่สุดจางกุ้ยฮัวก็ใจอ่อน ยอมให้หลิวซานกุ้ยนำขนมไปส่งให้ที่บ้านเดิมบางส่วน
ไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อพูดอย่างไรบ้าง แต่เมื่อหลิวซานกุ้ยกลับมา สีหน้าของเขาไม่ดีนัก
บุตรสาวทั้งสองและจางกุ้ยฮัวมองดูเขา แล้วก็ทำงานของตนเองต่อ บ้างก็อ่านตำรา บ้างก็หัดคัดอักษร บ้างก็ปักดอกไม้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครถามหลิวซานกุ้ยว่าสองสามีภรรยาหลิวต้าฟู่และหลิวฉีซื่อชอบขนมเ่าั้หรือไม่
อีกสองวันผ่านไป วันที่สิบเจ็ดเดือนสาม วันพิธีปูเตียงเรือนใหม่ [3]
ไม่รู้ว่าหลิวซานกุ้ยเชิญอาจารย์ฮวงจุ้ยมาจากไหน จึงนัดหมายการเดินทางมาที่บ้านในเวลากลางยามเหม่าของวันนี้
ยามเหม่าเทียบเท่ากับเวลาหกนาฬิกาของยุคปัจจุบัน
เมื่อถึงกลางยามเหม่า อาจารย์ฮวงจุ้ยแซ่สวีก็มาถึงหน้าประตูบ้านตรงเวลา
เขาสวมชุดคลุมเสื้อกล้ามสีเหลืองเข้ม ไว้หนวดเคราเหมือนแพะ ใบหน้าเรียวยาวและมีตาชั้นเดียว!
ด้านหลังมีเด็กชายและเด็กหญิงตามมาด้วยหนึ่งคู่ หลิวเต้าเซียงคิดว่าน่าจะเป็ลูกศิษย์ของเขา
หลิวซานกุ้ยและภรรยากล่าวทักทาย จากนั้นก็สอบถามซินแสสวีว่า ยามใดควรจะไหว้เทพเ้าซิ้ง [4]
“ไม่ต้องรีบ ยังมีเวลาอีกชั่วหนึ่งจิบน้ำชา พวกเ้าไปเปิดประตูห้องครัวด้านหลัง จากนั้นนำแท่นบูชาไปตั้งไว้ด้านหลัง และนำของเซ่นไหว้ถวายขึ้นไป”
เขาหันกลับและกำชับลูกศิษย์ว่า “ศิษย์ทั้งหลาย นำเตาธูปกับแท่นเทียน และซูเหวิน [5] ที่เตรียมไว้ออกมา”
หลิวเต้าเซียงอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าซูเหวิน ส่วนหลิวชิวเซียงเห็นนางทำหน้างงจึงขำในใจ มีเพียงเวลาเช่นนี้ที่น้องสาวของตนจะแสดงออกเหมือนเด็กอย่างแท้จริง
นางเดินเข้าไปและแอบกระซิบกับหลิวเต้าเซียงว่า ซูเหวินคือฎีกาฉบับหนึ่งที่เขียนถึงเทพเ้าซิ้ง เพื่อรายงานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าบ้านเรากำลังจะขึ้นหม้อใหม่และมีพิธีมงคลขึ้นบ้านใหม่ หลังจากเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะสามารถนำซูเหวินนี้เผาไปให้เทพเ้าซิ้ง เพื่อปกปักษ์ให้ครอบครัวนี้มีเนื้อกินและข้าวหอมๆ กินทุกมื้ออย่างไม่อดอยาก
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกไป ค่อยๆ ดึงมือเล็กของหลิวชิวเซียงขึ้นมาและเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสามคน
จางกุ้ยฮัวหันกลับมามองบุตรสาวและโบกมือให้พวกนาง จนเมื่อทั้งสองใกล้เข้ามาก็สั่งพวกนางว่า อีกเดี๋ยวตอนที่ซินแสสวีทำพิธีเซ่นไหว้ ให้ทำตัวเงียบๆ อย่าเอะอะ
หลิวเต้าเซียงทำแก้มป่องพร้อมด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด นางยังมีความสงสัยหลายอย่าง
จางกุ้ยฮัวส่ายหน้าและยิ้ม “ถ้าเ้าไม่เข้าใจ ไว้แม่จะอธิบายให้เ้าฟังหลังจากเสร็จพิธีการเซ่นไหว้”
หลิวชิวเซียงจ้องมองไปที่ดวงตากลมโตดำขลับของน้องรอง เม้มปากยิ้มและตอบรับ “ท่านแม่ พวกข้าทราบแล้ว”
จางกุ้ยฮัววางใจกับบุตรสาวคนโต การมีนางช่วยดูอยู่ข้างๆ เชื่อว่าจะทำให้บุตรสาวคนรองไม่ถามอะไรที่ชวนปวดศีรษะกับคนเ่าั้
“ท่านพี่ เหตุใดจึงรับปากเล่า? หากท่านแม่ไม่บอกให้ชัดเจน แล้วข้าจะดูรู้เื่ได้อย่างไร?” หลิวเต้าเซียงไม่ได้กล่าวโทษพี่สาว
หลิวชิวเซียงขยิบตาใส่นาง “รับปากไปก่อน หากเ้าไม่รู้เื่ตรงไหน ข้าจะบอกเ้าเอง”
“โอ้ ท่านพี่ ท่านใช้ลูกไม้กับท่านแม่หรือ!” หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างมีความสุข
หลิวชิวเซียงยิ้ม “น้องรอง ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเ้า เราคุยกันเสียงค่อยๆ ท่านแม่ไม่มีทางรู้หรอก”
หลิวเต้าเซียงคิดในใจ ในที่สุดนางก็ทำให้พี่สาวหลุดจากกรอบได้แล้ว ในอดีตหลิวชิวเซียงเป็สาวน้อยที่เถรตรงยิ่งนัก
เมื่อคิดว่านี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นเื่ราวน่าอัศจรรย์เหล่านี้ แล้วจะพลาดได้อย่างไร
-----
เชิงอรรถ
[1] ชาผูเอ่อร์ 普洱茶 เป็ชาที่ปลูกทางภาคใต้ของมณฑลยูนนาน ที่อำเภอผู่เอ่อร์ โดยชนชาติอี๋ ซึ่งเป็ชนกลุ่มน้อยของมณฑลยูนนาน ชาผูเอ่อร์ นับว่าเป็ชาที่ดังและมาแรงมากในปัจจุบัน เปรียบกันว่ามีราคาเท่ากับทองคำเลยทีเดียว ชาผูเอ่อร์เป็ชาหมัก น้ำชามีสีดำ ผลิตมากจากชาพันธุ์ใบใหญ่ยูนนานเท่านั้น
ที่มาอ้างอิง http://www.misterpuerh.com/article/59/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-3-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C
[2] ไป่เยว่ Baiyue ( จีน :百越) เป็กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคของประเทศจีนตอนใต้และเวียดนามตอนเหนือใน่พันปีก่อน คริสต์ศักราชที่ 1
[3] พิธีปูเตียงเรือนใหม่ หรือ 安床 อันฉวง เป็พิธีตามธรรมเนียมประเพณีของชาวจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะทำพิธีนี้ในงานมงคลสมรส หรือพิธีขึ้นบ้านใหม่ การปูเตียงนั้นต้องถือฤกษ์งามยามดี และมีธรรมเนียมปฏิบัติมากมาย รวมถึงต้องมีการเชิญอาจารย์ฮวงจุ้ยมาช่วยดูฤกษ์ยามและทิศทางตำแหน่งในการวางเตียงเพื่อความเป็สิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย
[4] เทพเ้าซิ้ง หรือ เทพเ้าแห่งเตาไฟ ที่สถิตอยู่ในบ้าน ซึ่งมีความเชื่อว่าทำหน้าดูแลปกปักษ์คนในบ้าน ซึ่งในครอบครัวนั้นมักจะนำของเซ่นไหว้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในวันที่สามของเทศกาลตรุษจีน ก็จะมีประเพณี “ส่งเทวดาขึ้น์” เพื่อให้เ้าซิ้งแต่ละบ้านได้ขึ้นไปรายงานความประพฤติของครอบครัวนั้นๆ ต่อเง็กเซียนฮ่องเต้
[5] ซูเหวิน 疏文 หรือฎีกา คือ ลักษณะฎีกาพรรณา คือประกาศที่พระอาจารย์ผู้เป็ประธานพิธี อ่านในพิธีกรรมลักษณะในทางคำประพันธ์มีเป็ร้อยกรอง ความเรียงร้อยแก้วหลายชนิด
ในพิธีกรรมหนึ่งๆ จะมีรูปลักษณ์ของพิธี โดยทั้งหมดได้จัดให้ทั้งการสวดทำนองและการสวดสังวัธยาย (หรือสาธยายแปลว่าอ่านเสียงดัง) ประสานสอดคล้องซึ่งกันและกัน ่กลางอาจมีการสอดแทรกบทฎีกา ในการสวดทำนองมีการใช้สรรเสริญ, โศลก, ทำนองสวด เป็ต้น
