คุณชายหยางพูดเพิ่มเติม “แคว้นเจียหลันถูกทำลายไปสิบชั่วอายุคนแล้ว วิชาเวทก็คงไร้การสืบทอดอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้โบกมือ คุณชายหยางก็โค้งตัวแล้วถอยออกไป
ไม่นานนัก อู๋อิงก็เข้ามา ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านอ๋อง คำพูดของคุณชายหยางเชื่อถือได้แน่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่หรงอวี้เงียบไปครู่หนึ่ง “วิชาเวทเป็หนึ่งในสามวิชาลับของแคว้นเจียหลัน ถึงแม้ว่าคนที่ได้รับการสืบทอดจะยังอยู่ ก็ไม่อาจใช้มันได้ง่ายๆ”
อู๋อิงกล่าว “เช่นนั้นกระหม่อมจะกระจายคำสั่งออกไป ให้ติดตามหาข่าวของสามวิชาเวทลับพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากเขาถอยไป มู่หรงอวี้ก็หยิบสมุดบันทึกศาสตร์เจียหลันเล่มบางขึ้นมาจากโต๊ะ แสงไฟสลัวเต้นระริกอยู่บนดวงหน้าหล่อเหลาของเขา
แคว้นเจียหลัน… เขาจะต้องมันให้ได้
.....
ตำหนักเฟิ่งเทียนเป็ตำหนักที่มีไว้สำหรับตั้งป้ายิญญาบรรพบุรุษของราชวงศ์สกุลมู่หรงซื่อ มีขันทีคอยเฝ้าดูแลอยู่ตลอด
ปกติแล้ว ตำหนักเฟิ่งเทียนมีการคุ้มกันอย่างแ่า น้อยนักที่จะมีคนผ่านไปมา บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงตอนทำพิธีไหว้บรรพบุรุษเท่านั้นถึงจะคึกคักขึ้นมาสักหน่อย
เช้าวันนี้ มีข้าหลวงจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าตำหนัก ล้อมเป็วงกลมหนึ่งวง ทุกคนต่างไม่กล้าเข้าไปตรงกลาง ถอยห่างออกมาคืบหนึ่งแล้วมองสิ่งที่อยู่ตรงกลางพลางพูดคุยกันไปมา
“น่ากลัวนัก ของเหล่านี้คือสิ่งใดกัน?” ข้าหลวงสตรีฝ่ายในคนหนึ่งขดตัวเข้าหาสหายที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เหมือนจะเป็หยก” นางกำนัลคนหนึ่งคาดเดา
“หรือจะเป็หยกโลหิต” นางกำนัลอีกคนพูดเสริม “ข้าทำงานอยู่ในคลังของตำหนักจาวหยาง เคยเห็นหยกโลหิตเช่นนี้มาก่อน”
“หยกโลหิตเป็ของล้ำค่ายิ่งนัก เหตุใดตำหนักเฟิ่งเทียนถึงได้มีหยกโลหิตมากมายถึงเพียงนี้เล่า? อีกทั้งหยกพวกนี้เหมือนกำลังมีเืไหลออกมา ช่างน่ากลัวเหลือเกิน” ข้าหลวงสตรีหวาดกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้ามองหยกชิ้นนั้นอีก
“ท่านใต้เท้าหัวหน้าข้าหลวงมาถึงแล้ว!” ไม่รู้ว่าเป็ผู้ใดะโประโยคนี้ออกมา
ข้าหลวงที่ยืนล้อมอยู่ก็พากันแหวกทางให้ แล้วโค้งคำนับ ‘หัวหน้าข้าหลวง’
หลิวอันว่านหัวหน้าข้าหลวงเดินถือแส้หางม้าสาวเท้ายาวๆ เข้ามา ด้านหลังมีนางกำนัลกว่าสิบคนเดินตาม บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
เขาเป็บุรุษอายุราวห้าสิบปี เส้นผมขาวไปแล้วกว่าครึ่งหัว ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามวัยไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดแต่กลับแผ่ความน่าเกรงขามออกมาหลายส่วน
เขาสะบัดหางม้า พูดเสียงแหลม “แยกให้หมด แยกย้ายกันไปให้หมด”
เหล่าข้าหลวงต่างพากันถอยออกมา ก่อนจะแยกย้ายกลับไปทำงานของตนเอง
หลิวอันว่านมองหยกโลหิตที่ร่วงอยู่บนพื้นเ่าั้ ก่อนสูดหายใจเข้าด้วยความประหลาดใจระคนไปด้วยความสงสัย
เขาเอ่ยปากถาม “นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้น? ใครเป็ผู้พบหยกเหล่านี้เป็คนแรก? ผู้ที่ดูแลตำหนักเฟิ่งเทียนอยู่ที่ไหน?”
ขันทีอายุประมาณห้าสิบปีผู้หนึ่งเดินเข้ามา โค้งคำนับแล้วกล่าวกับเขา “หัวหน้าข้าหลวง หนูฉายเป็คนดูแลตำหนักเฟิ่งเทียน คนผู้นี้คือเสี่ยวยิน เขาทำงานอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งเทียนด้วยกันกับหนูฉาย เช้าวันนี้หนูฉายมาทำความสะอาดที่ตำหนักเฟิ่งเทียนกับเขา ทำความสะอาดเสร็จแล้วก็พบกับของเหล่านี้ขอรับ”
เสี่ยวยินข้าหลวงหนุ่มข้างกายเขาอายุประมาณสิบแปดปี หน้าตาสะอาดสะอ้าน ริมฝีปากแดงผิวขาว
ถึงแม้เขาจะก้มหน้าอยู่ แต่ก็สามารถเห็นเค้าโครงหน้าของเขาได้บางส่วน
เสี่ยวอิงจื่อนางกำนัลข้างกายหลิวอันที่กำลังได้รับความโปรดปรานในตอนนี้ ยื่นตัวมาพูดเสียงเบาข้างหู “หัวหน้าข้าหลวงเ้าคะ เื่นี้นับว่าเป็เื่ใหญ่ หากมีของไม่เป็มงคลปรากฎขึ้นในตำหนักอื่นยังพอทำเนา แต่นี่คือตำหนักเฟิ่งเทียนนะเ้าคะ เป็สถานที่ที่เอาไว้สักการะบูชาบรรพบุรุษ เกิดเื่หยกโลหิตเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา ทั้งยังมีเืไหลออกมาเยอะถึงเพียงนี้ จะต้องไม่ใช่เื่เล็กแน่ ควรระมัดระวังเอาไว้ก่อน หนูฉายคิดว่าเราควรจะไปรายงานเซียวกุ้ยเฟยหรือว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเ้าค่ะ”
หลิวอันตบบ่าของนาง “ในที่สุดเ้าก็ฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว”
เสี่ยวอิงจื่อเตือนสติเขาได้ดีมาก เื่นี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เื่สลักสำคัญอันใด แต่ทว่าที่นี่คือตำหนักเฟิ่งเทียน หากเกิดเื่ใหญ่ขึ้น เขาคนเดียวคงรับผิดชอบไม่ไหว
ดังนั้น เขาจึงรีบส่งคนไปรายงานเซียวกุ้ยเฟยกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ทั้งยังส่งคนไปรายงานองค์รัชทายาทด้วย
ไม่นานนัก องค์รัชทายาทก็รีบรุดมาที่ตำหนักเฟิ่งเทียน
หลายปีมานี้ฮ่องเต้เลอะเลือนละทิ้งการงาน มอบราชสำนักให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนทำทุกอย่าง การงานในวังก็มอบให้เซียวกุ้ยเฟยกับหัวหน้าข้าหลวงเป็คนจัดการ ดังนั้น ใน่เวลาห้าปีมานี้หลิวอันจึงกุมอำนาจมาก จนกลายเป็สร้างกลุ่มอำนาจของตนเอง อีกทั้งยังแอบสานสัมพันธ์กับเซียวกุ้ยเฟย และไม่ได้ให้ความสำคัญกับองค์รัชทายาทที่ไม่ได้เื่คนนี้เสียเท่าไหร่
เมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว เขาเพียงทำความเคารพพอเป็พิธี แต่ในใจยังคงคิดเสมอว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ไร้ความสามารถ
ข้าหลวงต่างแยกย้ายกันไปทั่วทั้งสี่ทิศ แล้วแอบพูดคุยซุบซิบนินทา
มู่หรงฉือจ้องโลหิตที่ไหลนองพวกนั้น หยกโลหิตยี่สิบกว่าวงวางเกลื่อนท่ามกลางกองเือย่างน่าสยดสยอง เรียกได้ว่าแค่เห็นก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว
ตอนนี้เป็่ต้นฤดูร้อน แสงอาทิตย์ส่องอยู่บนท้องฟ้า อากาศค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เืพวกนี้เมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องก็เริ่มที่จะแปรเปลี่ยนกลายเป็สีดำ
นางคุกเข่าลง ยื่นมือไปหวังอยากจะแตะเืสดพวกนั้น ฉินรั่วก็รีบเข้ามาห้ามไว้ “เตี้ยนเซี่ย ทรงอย่าแตะต้องมันนะเพคะ ระวังจะถูกพิษ”
มู่หรงฉือไม่สนใจ นางใช้นิ้วจิ้มลงไปที่เืพวกนี้ ก่อนจะยกขึ้นมาดม
นี่เป็เืคน!
นางส่งสัญญาณให้ฉินรั่ว ก่อนที่ฉินรั่วจะเอ่ยปากออกมา “คนดูแลตำหนักเฟิ่งเทียนอยู่ที่ใด?”
จิ้นเซิงพาเสี่ยวยินเข้ามาก่อนจะทำความเคารพ
“เ้าพบหยกโลหิตั้แ่ยามใด” มู่หรงฉือถาม
“พบเมื่อยามเฉิน[1]สามเค่อ[2] พ่ะย่ะค่ะ” จิ้นเซิงตอบกลับ
นางคำนวณเวลา ตอนนี้เพิ่งจะเลยยามซื่อ[3] เช่นนั้นห่างจากเวลาพบก็ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
ฉินรั่วถามต่อ “ก่อนและหลังพบหยกชิ้นนี้พวกเ้าพบเหตุการณ์แปลกๆ ใกล้ๆ ตำหนักเฟิ่งเทียนหรือไม่?”
เสี่ยวยินส่ายหน้า จิ้นเซิงตอบกลับ “ตอนนั้นหนูฉายกับเสี่ยวยินทำความสะอาดตำหนักกันอยู่ ไม่พบเหตุการณ์แปลกๆ อะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือส่งสายตาไปให้ฉินรั่ว จากนั้นก็เดินไปทางตำหนักเฟิ่งเทียน
ฉินรั่วกับข้าหลวงหญิงหลายนางหยิบผ้าเช็ดหน้าหลายผืนขึ้นมา ห่อหยกโลหิตขึ้นมาเพื่อเตรียมนำกลับ
ด้านหน้าของตำหนักเฟิ่งเทียนเป็ตำหนักหลัก ด้านหลังเป็ตำหนักบรรทมซึ่งมีความโอ่อ่าใหญ่โต มู่หรงฉือมองอย่างละเอียดหนึ่งรอบก็ไม่พบความผิดปกติใด
ตอนที่ออกมาจากตำหนักเฟิ่งเทียน นางเห็นมู่หรงอวี้ที่เพิ่งมาถึงพอดี
มู่หรงอวี้ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าในต้นฤดูร้อน ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยแสงสีทองจางๆ รอบตัว ราวกับเทพเซียน
เขาหันมองมาทางนาง ั์ตาดำหรี่ลง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพเ้าสรรสร้างขึ้นมา
เพียงแค่ชั่ววินาทีแต่ราวกับยาวนานนับปี
เขาหันไปสั่งหลิวอัน “ส่งคนไปที่ศาล เชิญใต้เท้ากู้ของศาลต้าหลี่มา”
มู่หรงฉือเดิมคิดจะเข้าไปดู แต่ก็อดทนไว้แล้วเดินเลี้ยวไปทางตะวันออก
มู่หรงอวี้เห็นนางเดินเลี้ยวไปทางตะวันออกแล้วก็คุกเข่าลง สายตามองไปยังโลหิตที่อยู่บนพื้น
ตำหนักเฟิ่งเทียนไม่มีของตกแต่งใดๆ ดังนั้นสองข้างทางล้วนเป็ต้นไม้ใบหญ้า มู่หรงฉือค่อยๆ เดินสำรวจ ไม่ปล่อยผ่านแม้เพียงสักพื้นที่เดียว
ทันใดนั้น นางก็เห็นรอยเท้าจางๆ หลายแห่งบนพื้นหญ้า
สถานที่ที่มีรอยเท้าอยู่นั้นเป็จุดที่มีหญ้าสีเขียวน้อย ดังนั้นจึงปรากฏรอยพอที่จะมองได้อย่างชัดเจน
นางเอาเท้าของตัวเองไปเทียบเบาๆ รอยเท้านี้ใหญ่กว่าของนางนิดหน่อย คาดว่าคงจะเป็รอยเท้าบุรุษ
หรือว่านี่จะเป็รอยเท้าของคนร้ายที่ทิ้งเอาไว้
เช่นนั้น คนร้ายเป็บุรุษงั้นหรือ?
นอกเหนือจากนี้ นางก็ไม่พบหลักฐานอย่างอื่นอีก
มู่หรงฉือกลับไปยังสถานที่เกิดเหตุ หัวหน้าศาลต้าหลี่กู้ฮวายรีบพาเสิ่นจือเหยียนเซ่าชิง[4] เดินทางมา
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท ถวายบังคมท่านอ๋อง” พวกเขาพากันโค้งตัวทำความเคารพ
“ไม่ต้องมากพิธี ใต้เท้ากู้ ใต้เท้าเสิ่น พวกท่านรีบมาดูเถิด” มู่หรงอวี้บอก
กู้ฮวายคุกเข่านั่งลงตรวจสอบ เสิ่นจือเหยียนเดินไปทางมู่หรงฉือ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาปรากฏรอยยิ้มสบายๆ “เตี้ยนเซี่ยพบอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่หรงฉือถลึงตาใส่เขา “จริงจังกับงานด้วย”
เขาจึงรีบเก็บรอยยิ้มกลับไปแล้วตั้งใจตรวจสอบรอยเืนั้น
มู่หรงอวี้เห็นพวกเขาพูดคุยยิ้มให้กันตามใจชอบ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแสงอาทิตย์ช่างแสบตานัก
เสิ่นจือเหยียนเป็ลูกชายคนโตของเสิ่นชิงถงผู้เป็ราชครูขององค์รัชทายาท เขาอายุมากกว่าองค์รัชทายาทสี่ปี แต่ก็เป็เพื่อนเรียนหนังสือกับองค์รัชทายาทั้แ่เยาว์วัย มิตรภาพระหว่างคนทั้งสองดียิ่ง
ถึงแม้เสิ่นจือเหยียนจะอายุเพียงยี่สิบสองปี แต่ว่ามีความชอบในการสืบสวน ตรวจสอบศพเพื่อตามหาฆาตกร เมื่อสี่ปีก่อนเขาช่วยจวนจิ่งจ้าว[5]ไขคดีไปถึงห้าคดี กู้ฮวายชื่นชอบความสามารถของเขาจึงดึงตัวเขามาทำงานด้วยกัน หลายปีมานี้เขาค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น ตอนนี้เป็ถึงเซ่าชิงของศาลต้าหลี่
ลูกชายของราชครูสกุลเสิ่นหน้าตาดี สะอาดอบอุ่น รูปร่างผอมสูง ได้รับความชื่นชอบจากสตรีน้อยใหญ่มากมาย ทว่าเมื่อสตรีเ่าั้ได้ยินว่าเขาชอบตรวจสอบศพในการไขคดีต่างๆ ก็ใจนหน้าขาวซีด แล้วค่อยๆ พากันออกห่าง ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงยังไม่ได้แต่งงาน
เมื่อกู้ฮวายเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นแล้วก็ก้มหน้าครุ่นคิด
“องค์รัชทายาท ท่านอ๋อง ใต้เท้า นี่เป็เืคนพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างมั่นใจ ก่อนจะหยิบหยกโลหิตชิ้นหนึ่งขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์แล้วศึกษาอยู่ครู่หนึ่ง “นี่เป็หยกโลหิตไม่ผิดแน่ หยกโลหิตเป็ของที่หาได้ยากยิ่งนัก เหตุใดจู่ๆ ตำหนักเฟิ่งเทียนถึงมีหยกโลหิตโผล่ออกมามากมายเช่นนี้?”
“แม้แต่ในห้องพระคลังของวังหลวงก็ยังมีแค่ห้าชิ้นเท่านั้น” มู่หรงอวี้ขมวดคิ้ว
“เมื่อครู่เตี้ยนเซี่ยได้ทรงตรวจสอบโดยรอบไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่ทราบว่าพบอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เสิ่นจือเหยียนถาม แล้วหยิบผ้าสีดำขึ้นมาห่อหยกโลหิต
“ด้านนอกตำหนักเฟิ่งเทียนไม่พบอะไร” ใบหน้าเล็กของมู่หรงฉือที่ถูกแสงอาทิตย์อาบย้อมทอประกาย “เืนี้เป็เืที่ยังสดใหม่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งออกจากตัวคนได้ไม่นาน สังเกตจากปริมาณเืแล้ว คงจะเป็ปริมาณเืของคนประมาณสองคน”
“เตี้ยนเซี่ยทรงวิเคราะห์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก กระหม่อมนับถือ” เขาประสานมือเข้าด้วยกันแล้วยิ้มสดใส เป็การประจบสอพลออย่างชัดเจน ขัดกับรูปลักษณ์สง่างามและอบอุ่นของเขา
กู้ฮวายกระแอม เสิ่นจือเหยียนจึงเก็บรอยยิ้มกลับไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก
แววตาของมู่หรงอวี้เ็า “จะต้องมีคนเอาหยกโลหิตพวกนี้กับเืมาทิ้งไว้ที่นี่ จงใจสร้างเื่ขึ้นมา เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีแผนการอะไร”
เขาประหลาดใจยิ่งนัก สมองขององค์รัชทายาทก็นับว่าใช้การได้ดีนี่
กู้ฮวายประสานมือเข้าหากัน “ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมจะตรวจสอบหาต้นตอของเื่นี้ออกมาให้ได้”
“เป็หยกโลหิตที่ตกลงมาจากฟ้า… เป็หยกโลหิตที่ตกลงมาจากฟ้าจริงๆ…”
จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมดังทะลุกลุ่มข้าหลวงที่อยู่รอบๆ ขึ้นมา
สายตาของทุกคนมองไปทางนั้นจนหมด กู้ฮวายะโถาม “ผู้ใดเป็คนะโ? หากพบอะไรก็ออกมาอธิบายให้ข้าฟัง”
ข้าหลวงสตรีนางหนึ่งเดินห่อตัวออกมา ทำความเคารพบรรดาผู้สูงศักดิ์ทุกคน จากนั้นจึงตอบว่า “หนูปี้เป็ข้าหลวงจากหน่วยจัดสรรงาน เมื่อสองวันก่อน หนูปี้ติดตามข้าหลวงอิ้นเพื่อไปซื้อของ ระหว่างนั้นก็เจอเด็กอายุราวๆ เจ็ดถึงแปดปีหลายคนร้องเพลงพื้นบ้านกัน ในเนื้อเพลงกล่าวถึงหยกโลหิตด้วย…”
“เ้ายังจำเพลงพื้นบ้านนั้นได้หรือไม่? ร้องเพลงนั้นให้พวกเราฟังสักหน่อยเถิด” เสิ่นจือเหยียนกล่าว
“หนูปี้จำได้เ้าค่ะ” ข้าหลวงสตรีคนนั้นร้องออกมา “จันทร์ส่องแสง ส่องลงกับพื้น หยกโลหิตปรากฏออกมา จันทร์ส่องแสง ส่องลงบนพื้น ฝนสาดกระจายทั่วฟ้า จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้น ปลากินคน จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้น บุรุษสตรีแห่งแคว้นลักลอบคบชู้สู่ชาย”
มู่หรงฉือครุ่นคิด เหตุใดเมืองหลวงจึงมีเพลงเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาได้?
มู่หรงอวี้มีสีหน้าเ็าราวกับกำลังจมอยู่ในความคิด
“เพลงพื้นบ้านนี้ไพเราะยิ่งนัก”
รอยยิ้มสดใสของเสิ่นจือเหยียนน่าหลงใหล แต่พอเห็นใบหน้าเ็าของกู้ฮวายเขาก็หุบยิ้มทันควัน
ข้าหลวงสตรีนางนั้นตอบ “ที่ตำหนักเฟิ่งเทียนมีหยกโลหิตปรากฏขึ้นมากมายขนาดนี้ ก็เพราะว่าเพลงนี้มิใช่หรือเ้าคะ?”
เชิงอรรถ
[1] ยามเฉิน (辰时) คือเวลา 07.00 น. – 09.00 น.
[2] 刻 “เค่อ” หน่วยนับเวลาแบบจีนโบราณ เกิดจากการนับกาน้ำรั่วของจีน เวลา 1 เค่อ จะเทียบเท่ากับประมาณ 15 นาที
[3] ยามซื่อ (巳时) ่เวลา 09.00 น. – 11.00 น.
[4] 少卿 “เซ่าชิง” เป็ชื่อตำแหน่งของขุนนางระดับสี่
[5] จวนจิ่งจ้าวเป็สถานที่ทางราชการ เป็สถานที่สำหรับตัดสินคดีหากมีหลักฐานทุกอย่างพร้อมสรรพจะสามารถตัดสินปะาชีวิตที่ตรงนั้นได้เลย มีอำนาจเทียบเคียงศาล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้