หากถามว่าบนโลกใบนี้มีใครกล้าดึงผมหงอกออกจากหัวของเหยียนจิ่งจื้อ นั่นก็ต้องเป็เนี่ยเซิงเสี่ยว มีใครกล้าทำให้เหยียนจิ่งจื้อหงุดหงิดได้ นั่นก็คือเนี่ยเซิงเสี่ยว มีใครกล้าให้เหยียนจิ่งจื้อเป็คนขับรถให้ นั่นก็คงมีแค่เนี่ยเซิงเสี่ยวเช่นกัน
ตอนที่เหยียนจิ่งจื้อเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยแล้วค่อยๆ อุ้มเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวขึ้นมาอย่างระมัดระวังเตรียมตัวจะออกเดินทาง เนี่ยเซิงเสี่ยวที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดอะไรออกไป
เหยียนจิ่งจื้อในตอนนี้ไม่เหมือนกับคนที่เจอเมื่อหลายครั้งก่อน นี่คือเหยียนจิ่งจื้อที่ความทรงจำกลับมาแล้ว แววตานั้นเหมือนจะฉีกเธอเป็ชิ้นๆ
เขาใช้แววตานั้นต่อว่าการกระทำอันโหดร้ายของเธออยู่ตลอดเวลา
เธอเดินตามหลังมองรูปร่างที่ดีั้แ่กำเนิดของเขากำลังอุ้มเด็กคนหนึ่งเอาไว้ พยาบาลที่เดินผ่านต่างพากันชื่นชมไม่หยุด จนถึงขั้นพูดว่านี่คือคุณพ่อที่น่ารักที่สุดในจีน
เนี่ยเซิงเสี่ยวมองอย่างตั้งใจ เธออดที่จะยอมรับไม่ได้ ว่านี่ช่างเป็ภาพที่ดีจริงๆ
ถ้าหากไม่นับว่าบรรยากาศค่อนข้างอึมครึมน่ะนะ
เดินจนมาถึงหน้ารถเหยียนจิ่งจื้อก็หมุนตัวกลับมา เพราะว่าไม่อยากจะปลุกเหนี่ยวเหนี่ยวให้ตื่นขึ้นมา เขาจึงไม่สามารถอุ้มไปและเปิดประตูรถไปพร้อมๆ กันได้ เขามองไปยังเนี่ยเซิงเสี่ยวด้วยสายตาที่มีความหมายว่า อย่ามัวแต่ยืนอยู่เฉยๆ สิ
เนี่ยเซิงเสี่ยวรีบเปิดประตูรถให้เขา จากนั้นก็รอให้เขาเอาเหนี่ยวเหนี่ยวเข้าไปวาง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ขยับ จากนั้นก็พูดเสียงเย็น “ปกติแล้วเธอทิ้งให้เขาอยู่ข้างหลังรถคนเดียว?”
นี่จะว่าว่าเธอใจร้ายกับลูกสินะ หลังจากเนี่ยเซิงเสี่ยวถูกเขาดุใส่จนทำอะไรไม่ได้ก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าตัวเองจะต้องกลายเป็หมอนมนุษย์ เธอเม้มปากก่อนจะมุดเขาไปในรถ จากนั้นก็ยื่นมือออกมา “ส่งเหนี่ยวเหนี่ยวมาเถอะ”
“เขาไม่ใช่สิ่งของ” เหยียนจิ่งจื้อส่งเหนี่ยวเหนี่ยวเข้าไปในรถไป น้ำเสียงที่พูดก็ยังมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ “มาพูดว่าเขาเป็ของใครหรือไม่ใช่ของใครอยู่ได้ เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์นั้น”
“แล้วก็ ชื่อนี้ไม่เหมาะกับลูก”
ตอนที่เหยียนจิ่งจื้อปล่อยเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวมือก็ไปััเข้ากับเนี่ยเซิงเสี่ยว จากนั้นเขาก็ดึงมือออก ในตอนนั้นเขารู้สึกถึงความเย็น
เขารีบคว้ามือเธอขึ้นมาจับ จากนั้นก็มองกำไลเงินบนข้อมือเธออย่างละเอียด เหยียนจิ่งจื้อกัดฟันถาม “ใคร?”
แต่ไหนแต่ไรเธอไม่ชอบใส่ของพวกนี้ แต่ก่อนเขาให้เครื่องประดับกับเธอ แต่เธอจะใส่แค่ตอนที่มีงานเลี้ยงหรือเขาบังคับให้ใส่เท่านั้น แต่ตอนนี้เธอกลับใส่สิ่งที่นี้เอาไว้บนข้อมือ ความรู้สึกที่หายไปเจ็ดปีทำให้ความกลัวแผ่ขยายเข้ามาในจิตใจ
“นายไม่ต้องสนใจหรอก” จู่ๆ เนี่ยเซิงเสี่ยวก็ดึงมือออกจากการจับกุมของเขา กลัวว่าเขาจะมองมันอีกครั้ง
“เธอ!” ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวอยู่ตรงกลาง เหยียนจิ่งจื้อก็เค้นจะถามถึงที่มาของมันให้ได้
ในตอนนั้นเองที่เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวได้ตื่นขึ้นมา เขาเปิดตาขึ้นมาเพียงข้างเดียวอย่างซุกซน
หรือจะพูดก็คือ เขาตื่นั้แ่ตอนที่ถูกเหยียนจิ่งจื้ออุ้มไว้แล้ว
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวไม่มีทางบอกคนอื่นว่าเขาชอบความรู้สึกตอนที่เหยียนจิ่งจื้ออุ้มเขา กลัวว่าถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเหยียนจิ่งจื้อจะไม่ยอมอุ้มเขาอีก ดังนั้นจึงแกล้งหลับจนกระทั่งเข้ามาอยู่ในรถ
แถมยังเตรียมตัวจะแกล้งหลับต่อไป เพราะเขามีความคิดที่จะแอบฟังพวกเขาคุยกัน
พอเห็นอาสองของเหยียนเจียอวี๋กับแม่ของเขาเถียงอะไรกัน เขาเลยเก็บความอยากรู้เอาไว้ไม่ไหวจนต้องลืมตาขึ้นมา
ถึงพบว่าเหยียนจิ่งจื้อในตอนนี้เหมือนกำลังจะแย่งสร้อยข้อมือของเนี่ยเซิงเสี่ยว จึงรีบเข้าไปช่วยเนี่ยเซิงเสี่ยวจับเอาไว้ “อาเหยียนทำอะไรครับ นี่เป็ของรักของแม่ผม ขนาดอาบน้ำยังไม่ยอมถอดเลย”
หนึ่งวิ
สองวิ
สามวิ…
เหยียนจิ่งจื้อยกเท้าขึ้นไปเตะปิดประตูรถขังพวกเขาสองคนเอาไว้ข้างในให้สำนึกผิดถึงความผิดของตัวเอง แต่ว่าสุดท้ายก็เห็นหวงเทาที่ยืนอยู่ด้านนอกรถเหมือนกับตัวเอง เขาจึงต้องเข้าไปนั่งตรงที่นั่งคนขับอย่างช่วยไม่ได้
ใช่ เขาเองก็ต้องสำนึกผิด ผู้หญิงคนนี้ทิ้งเขาไปก็ช่างมันเถอะ ทำไมยังกลับมาให้เขาทำร้ายอีก แถมยังมาเสนอตัวให้เขารังแกตัวเองอย่างเต็มที่
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวรู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป ไม่อย่างนั้นอาเหยียนคงไม่โมโหแบบนี้ แต่ว่าก็ยังเห็นเขาเข้ามานั่งที่นั่งคนขับดีๆ เขาก็ยิ้มดีใจ ปีนไปตรงด้านหลังที่นั่งคนขับ “อาเหยียนครับ ต่อไปผมจะเก็บเงินซื้อให้อา’อีก’คนนะครับ”
เหยียนจิ่งจื้อชะงักไป แววตาค่อยๆ อ่อนลงพร้อมถาม “นายเป็คนให้หรือ?”
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวส่ายหน้า “ตอนนี้ผมยังไม่มีเงิน ถ้าผมหาเงินได้แล้วคงไม่ให้คุณอาเส้นเล็กแบบนี้ ผมจะให้เส้นที่ใหญ่กว่าแขนของแม่อีก” เขาใช้มือทำวงกลมเทียบความหนากับเหยียนจิ่ง
จื้ออย่างโอเวอร์
แต่เขาไม่เห็นว่าแววตาที่อ่อนลงของเหยียนจิ่งจื้อกลับมาแข็งอีกครั้ง
เหยียนจิ่งจื้อรู้สึกว่า หลังจากกลับไปแล้วควรจะหาโรงเรียนที่ดีหน่อยให้กับเด็กคนนี้ อย่างน้อยก็ให้เขาใช้คำว่า “อีก” ให้ถูกต้อง
เนี่ยเซิงเสี่ยวดึงเหนี่ยวเหนี่ยวเข้ามา “เหนี่ยวเหนี่ยว นั่งดีๆ ไม่อย่างนั้นคุณอาเขาจะไม่ชอบลูกแล้วนะ”
เพิ่งจะพูดจบเสียงดุของเหยียนจิ่งจื้อก็ดังมาจากด้านหน้า “ที่นี่ไม่มีคุณอา”
เนี่ยเซิงเสี่ยวเม้มปาก หรือว่าจะให้เรียกพ่อล่ะ? เธอพูดไม่ออกและก็รู้สึกว่าไม่จำเป็
“เหนี่ยวเหนี่ยว เรียกพ่อสิ”
คิดอะไรอยู่น่ะ เขาพูดออกมาแล้วจริงๆ! เนี่ยเซิงเสี่ยวเกือบจะถูกคำพูดของเขาทำให้สติหลุดลอยไปไกลแล้ว
ผลสุดท้ายเหนี่ยวเหนี่ยวกลับฟังไม่รู้เื่ เขามองซ้ายมองขวา จากนั้นก็มองไปด้านนอกหน้าต่างรถไม่หยุด “พ่อเจียวอยู่ที่ไหนนะ อยู่ที่ไหนนะ?”
โรงเรียนอนุบาลของเขามีเพื่อนคนหนึ่งนามสกุลเจียว พ่อของคนนั้นดำมากดำสุดๆ ทุกครั้งที่ผู้ปกครองมารับพวกเพื่อนๆ ก็จะโห่ร้องออกมาว่า “พ่อเจียวมาแล้ว วันนี้ก็ไหม้เกรียม[1]อีกแล้ว ฮ่าๆๆ”
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวตอนนั้นก็เป็หนึ่งในคนที่โห่ร้องด้วยเช่นกัน แถมยังเป็แฟนคลับที่ครื้นเครงเสียด้วย ดังนั้นถึงได้ตื่นเต้นกับคำพูดของเหยียนจิ่งจื้อ แม้ว่าจุดที่ตื่นเต้นจะไม่เหมือนกัน
เหยียนจิ่งจื้อคิดว่าลูกชายคนนี้ทำไมอยู่กับเนี่ยเซิงเสี่ยวมาตั้งหลายปีแต่สติปัญหาถึงได้น่าเป็ห่วงแบบนี้
แต่ด้วยความไม่อยากเสียหน้า เขาเองก็จะไม่พูดออกมาเป็ครั้งที่สอง น่าขายหน้าจะตาย เขาเตรียมตัวจะสอนให้ลูกชายมีภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกคนอื่นบอกว่า “เด็กคนนี้พูดภาษาจีนกลาง” ไม่ชัดเด็ดขาด
เนี่ยเหนี่ยวเหยี่ยวมองไปทางไหนก็ไม่เห็นพ่อเจียว จึงรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย แถมยังอยู่ในรถเล็กๆ นี่ก็ทำให้เขารู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างแม่กับอาเหยียนแปลกๆ เขาแทบจะถูกบรรยากาศตึงเครียดทำให้เวียนหัว ให้ความรู้สึกแย่เหมือนตอนที่เนี่ยเซิงเสี่ยวรู้ว่าจะต้องสอบเข้าเรียนอย่างไรอย่างนั้น
ดังนั้นเขาจึงไปแตะตัวเหยียนจิ่งจื้อที่อยู่ด้านหน้า มือเล็กๆ ดึงเสื้อสูทของเขาก็พบว่ามันให้ความรู้สึกไม่เลวจึงจับต่อไป
“คิดจะทำอะไรน่ะ” เหยียนจิ่งจื้อพูดออกไปแล้วถึงจะรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง เขาควรจะอ่อนโยนกับเหนี่ยวเหนี่ยวหน่อย แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อนแต่ก็ควรจะอ่อนโยนสักนิด ดังนั้นเขาจึงพูดเสริมไปอีกประโยค “นอนไปก่อน เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
เดิมทีมันก็เป็คำพูดที่อ่อนโยนคำหนึ่ง แต่พอมันออกจากปากของเขา ความรู้สึกกลับไม่เหมือนกัน มันดันเปลี่ยนไปเป็ออกคำสั่งแทนเสียนี่ เขาจึงมองตาดุใส่เนี่ยเซิงเสี่ยวจากกระจกมองหลัง เป็เพราะเธอ ทำให้อารมณ์ของเขาไม่ดี
แต่เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวกลับไม่รู้สึกว่าน้ำเสียงของเขามีอะไรไม่เหมาะสม เพราะว่าอย่างไรอาสองของเหยียนเจียอวี๋เป็คนเท่ๆ อยู่แล้วนี่ ยิ่งเท่มากเท่าไรเขาก็ยิ่งนับถือ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะใส่ใจแล้วชี้ไปที่เครื่องเสียงบนรถ “คุณอา ฟังเพลงได้ไหมครับ?”
ถึงแม้จะไม่พอใจกับคำว่าคุณอามาก เหยียนจิ่งจื้อก็ยังพยักหน้า “เอาสิ”
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวหน้าบาน “ผมอยากฟังเพลงสตรอว์เบอร์รี่น้อย”
ถึงแม้จะรู้สึกผิดมากแต่เหยียนจิ่งจื้อก็ยังส่ายหน้า “ไม่มีหรอก”
“งั้นผมจะฟังเพลงเด็กน้อยมีบ้าน!” เหนี่ยวเหนี่ยวรู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ในอกของเขาเหมือนมีพลังเต็มเปี่ยม
แต่เหยียนจิ่งจื้อก็ยังคงส่ายหน้า “ไม่มีหรอก”
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวจึงทำได้แค่ส่ายหน้า โบกมือเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะครับ คุณอาให้ผมฟังเพลงก็ดีมากแล้ว อามีเพลงอะไรก็เปิดมาเถอะครับ”
จากนั้นเนี่ยเซิงเสี่ยวก็มองเหยี่ยนจิ่งจื้อยกนิ้วเรียวยาวไปกดเปิดเครื่องเสียงในรถ ก่อนที่เสียงคุณภาพดีจะดังออกมาจากลำโพงรอบรถ การออกแบบเสียงเพลงให้วนอยู่รอบตัวได้อย่างมีเทคนิค คุณภาพเสียงดีจนน่าใ
ในตอนแรกเนี่ยเซิงเสี่ยวไม่ได้คิดอะไร แถมยังเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงที่ได้ฟัง ต่อมาเธอก็เห็นเหนี่ยวเหนี่ยวอยากจะพูดอะไรออกมา เธอจึงรีบพุ่งเข้าไปหวังจะปิดปากของเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยว
แต่ว่าไม่ทันเสียแล้ว…
“คุณอาครับ ทำไมแค่คุณอาเลือกเปิดเพลงที่แม่ผมชอบมากที่สุดล่ะ!”
[1] เจียว 焦 คำนี้นอกจากเป็นามสกุลยังแปลได้ว่าไหม้เกรียมด้วยค่ะ แล้วที่เหนี่ยวเหนี่ยวได้ยินเป็พ่อเจียว เพราะว่า เรียกพ่อสิ ออกเสียงว่า เจี้ยวปาป่ะ 叫爸爸 ซึ่งมันออกเสียงพ้องกับคำว่าพ่อเจียว 焦爸爸 (ยิ่งถ้าออกเสียงภาษาจีนกลางไม่ชัดมันก็จะฟังเป็เจียวปาป่ะ) เหนี่ยวเหนี่ยวจึงเข้าใจว่า เหยียนจิ่งจื้อเรียกคุณพ่อเจียวค่ะ