ครั้นต้วนเหลยถิงสวมรองเท้าเดินออกจากห้อง พลันได้ยินเสียงหอนของหมาป่าบนเขาต้าชิง ฝูงนกส่งเสียงร้องแตกตื่น บนท้องฟ้าเหนือูเาถูกปกคลุมด้วยกลุ่มนกบินวนเวียนจนมืดมิด
นอกจากเสียงคำรามของสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ยังคละเคล้าด้วยเสียงร้องโหยหวนของบุรุษ
เ้าใหญ่กับเ้ารองสกุลต้วนรีบวิ่งออกมาจากห้องเช่นกัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองูเาต้าชิงที่อยู่ห่างออกไป หัวคิ้วต่างขมวดเข้าหากัน สบตาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับต้วนเหลยถิงก่อนจะเผยแววตาซับซ้อน
ต้วนเหลยถิงไม่แยแสคำกำชับของหมอเทวะ หันกายกลับเข้าไปหยิบคันธนูกับศรและอาวุธติดตัว เขาทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า
“ข้าจะไปดูสักหน่อย พวกท่านเปิดกลไกกับดักภายในเรือน ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามออกไปข้างนอกเป็อันขาด”
กล่าวจบพลันรีบร้อนวิ่งออกจากจวน เนื่องจากการรักษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยามวิ่งเหยาะจึงยังรู้สึกปวดบริเวณเอวอยู่บ้าง ระดับความเร็วลดลงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
เพิ่งวิ่งไปได้ไม่ไกลก็พบกับบุรุษกายโชกเืจำนวนหนึ่ง แขนหายขาขาด ปากส่งเสียงร้องโหยหวนและกลิ้งลงมาจากเขา
ครั้นลงมาถึงเชิงเขายังคงมิอาจหยุดนิ่งได้เพราะแรงเฉื่อย กระทั่งกลิ้งลงมาอีกระยะหนึ่งถึงหยุดลงตรงเท้าของต้วนเหลยถิง
สายตาของต้วนเหลยถิงฉายแววดุดัน กดสายตาลงมองผู้ที่กำลังร้องโอดโอยและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “บนเขาเกิดเื่ใดขึ้น? เหตุใดพวกเ้าจึงขึ้นไปบนนั้น?”
ราวกับคนกลุ่มนั้นมองเห็นผู้ช่วยชีวิต พลันฝืนประคองลมหายใจเอ่ยวิงวอนไม่ยอมหยุด “ขอร้องท่าน ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากตาย ได้โปรด...”
ต้วนเหลยถิงมองสภาพน่าสังเวชของคนบนพื้นเหล่านี้ ชายหนุ่มลอบกำหมัดพลางถามว่า
“เหตุใดพวกเ้าจึงขึ้นไปบนเขา? เกิดเื่ใดขึ้น? บอกข้ามา ข้าจะพิจารณาเองว่าควรช่วยพวกเ้าหรือไม่”
เพราะแรงขับเคลื่อนของความอยากรอด คนทั้งกลุ่มจึงเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นในวันนี้โดยละเอียด
ต้วนเหลยถิงจึงได้ยินว่าเคอโยวหรานถูกพวกเขาบีบบังคับให้ขึ้นเขาและเข้าไปยังส่วนลึกของป่า
คนกลุ่มนี้พบฝูงหมาป่า เสือโคร่ง และหมีในป่าลึก ทั้งยังถูกเหล่าสัตว์ป่าเข้าล้อมและไล่ตาม
มีสหายตายไปหลายคน มีเพียงคนสามคนที่หนีรอดมาได้และกลิ้งตกเขา
ต้วนเหลยถิงแค้นเคืองยิ่งนัก เมื่อวานเพิ่งสาบานว่าจะปกป้องภรรยาให้ดี คนกลุ่มนี้ก็ช่างกล้าไล่ล่า กล่าวได้ว่ากินหัวใจหมีดีเสือดาว [1] อย่างแท้จริง
ต้วนเหลยถิงทิ้งพวกเขาเอาไว้และรีบสาวเท้าขึ้นูเา ส่วนคนเ่าั้ก็ปล่อยไปตามมีตามเกิด หากฟาดพวกเขาจนสิ้นลมด้วยหนึ่งฝ่ามือกลับจะยิ่งเป็การช่วยให้หลุดพ้น
......
บนูเา เคอโยวหรานหมอบอยู่บนกิ่งหนาของต้นอู๋ถงพันปี ทอดมองฝูงสัตว์ป่าต่อสู้แย่งชิงความเป็ใหญ่อยู่ด้านข้าง เปลือกตาถึงกับกระตุกอยู่บ้าง
สัตว์ที่โลกเดิมของนางมิได้ทะเลาะกันเช่นนี้ ทั้งเสือ ฝูงหมาป่า งูเหลือม และหมี ขอเพียงเป็สัตว์ดุร้ายที่อยู่บนเขาต้าชิง ไม่ว่าจะเป็สัตว์ปีกหรือสัตว์บกล้วนแต่ออกมาเคลื่อนไหวทั้งสิ้น
ราวกับกำลังแย่งชิงสมบัติล้ำค่ากันก็มิปาน ผลัดกันต่อสู้ไปมาไม่รู้จบ
คล้ายว่าสัตว์ป่าเหล่านี้ต่างมุ่งหน้าไปทางถ้ำที่อยู่ด้านข้างต้นอู๋ถง แต่ก็ยังพยายามขัดขวางฝีเท้าของฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน
พบเพียงสัตว์ป่าดุร้ายฉีกทึ้งกันอย่างไม่คิดชีวิต ไม่นานนัก บนพื้นก็เกลื่อนกลาดไปด้วยกองซากศพของสัตว์ชนิดต่างๆ
เคอโยวหรานมองปากถ้ำด้วยความใคร่รู้ แท้จริงแล้วคือสิ่งใดที่ดึงดูดสัตว์ป่าตั้งมากมายถึงเพียงนี้ จนแม้กระทั่งชีวิตก็ยังไม่นึกหวงแหน?
......
ต้วนเหลยถิงตามหาต้นตอของเสียงร้องคำรามมาตลอดทางโดยไม่คำนึงถึงความเ็ปบนร่างกาย รีบร้อนมุ่งหน้าเข้าไปค้นหาในป่าลึก
ภายในใจเอ่ยพึมพำว่า : เคอโยวหราน ทางที่ดีที่สุดเ้าอย่าได้เป็อันใดไป รอข้าก่อน เ้าต้องรอข้าก่อน...
เวลาล่วงเลยไป เคอโยวหรานพบว่าสัตว์เหล่านี้ต่างต่อสู้กันจนลุกไม่ไหว ต่อให้ยังมิตาย ทว่าก็ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นได้อีกครั้ง
นางค่อยๆ ปีนลงจากกิ่งของต้นอู๋ถง ขยับเข้าใกล้ถ้ำอย่างระแวดระวังแล้วค่อยๆ คลำทางเข้าไปข้างใน
ขณะนั้นเอง ต้วนเหลยถิงพลันไล่ตามมาทันพอดี เขายื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อด้านหลังของเคอโยวหราน ตามร่างเล็กบอบบางเข้าไปในซอกเขาแคบอย่างง่ายดาย
แต่ผู้ใดจะรู้ เพราะรูปร่างของเคอโยวหรานปราดเปรียวเกินไป ต้วนเหลยถิงพลันเท้าลื่น ยังไม่ทันได้ปริปากเอ่ยก็ล้มลงกับพื้นเสียก่อน
เพราะฝืนใช้กำลังเกินขีดจำกัด ร่างกายที่ยังไม่ทันฟื้นตัวโดยสมบูรณ์จึงปวดเมื่อยยิ่งนัก ทันใดนั้นก็มิอาจคลานขึ้นมา
เคอโยวหรานได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว รู้สึกคล้ายกับถูกคนแตะจากทางด้านหลังครู่หนึ่ง ครั้นหันกลับมามอง เพราะมืดมิดจนเกินไปจึงมองไม่เห็นสิ่งใด
นางขมวดคิ้ว หันหลังกลับด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะคลำทางเดินเข้าไปข้างในต่อ
แรกเริ่มทางเดินเข้าถ้ำแห่งนี้คับแคบยิ่งนัก ร่างกายผอมบางของนางยังทำได้เพียงฝืนแทรกกายผ่านเข้ามา
หลังเดินผ่านทางเข้าถ้ำอันยาวเหยียด ข้างหน้ามีแค่ประกายแสงบางเบา แต่กลับเพียงพอที่จะทำให้เคอโยวหรานมองเห็นหนทางเบื้องหน้า
หินงอกหินย้อยจำนวนมากเกาะอยู่บนผนังถ้ำ ก่อเกิดเป็รูปทรงแตกต่างกันอย่างสวยงาม ขณะมุ่งหน้าเข้าหาแสงสว่าง ทางเดินก็เริ่มกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ
เคอโยวหรานอดรู้สึกตกตะลึงต่อฝีมืออันยอดเยี่ยมของธรรมชาติมิได้ ด้วยนึกไม่ถึงว่าจะมีบันไดคดเคี้ยวปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
ไม่มีร่องรอยของการแกะสลักโดยฝีมืุ์ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ขั้นบันไดแห้งสนิท ทว่าหินงอกหินย้อยทั้งสองข้างทางกลับเปียกชื้น
เคอโยวหรานยกมือขึ้นััครู่หนึ่ง มีของเหลวสีขาวขุ่นอยู่บนหินย้อย ชุ่มชื่นเรียบเนียนและให้ผิวััที่ดียิ่ง เนียนละเอียดยิ่งกว่าโลชั่นน้ำนมชั้นเลิศเสียอีก
ครั้นััลงบนผิวกาย มีกลิ่นเรียบหรูและหอมหวาน ช่างหอมรัญจวนใจเหลือเกิน อีกทั้งหลังจากััผิวยังละลายโดยเร็ว ซึมซาบเข้าสู่ิัได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ เคอโยวหรานพบว่าบนมือของตน ผิวแห้งแตกจากการทำงานหนักมานานปีพลันเลือนหายไปอย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
ผิวพรรณส่วนที่ัักับของเหลวสีขาวเองก็กระจ่างใสกว่าผิวพรรณโดยรอบอย่างน้อยหนึ่งระดับด้วยเช่นกัน
เคอโยวหรานนำขวดเปล่าสำหรับใส่โลชั่นยามเดินทางออกมาจำนวนหนึ่ง บรรจุของเหลวสีขาวนี้เอาไว้หลายขวด
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองบันไดอีกครั้ง แสงสว่างอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งยังไม่พบอันตรายรอบตัวใดๆ อีกด้วย
หลังเก็บขวดให้เรียบร้อย นางก็ก้าวเท้าขึ้นบันได เดินขึ้นไปถึง้าสุดภายในเวลาไม่นานนัก เบื้องหน้ามีทางเดินเพียงพอสำหรับหนึ่งคน สุดปลายทางเดินคือต้นตอที่แสงสว่างลอดผ่านออกมา
ครั้นเดินไปข้างหน้าตามทางเดิน เส้นทางเริ่มกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ วิสัยทัศน์เองก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน รอจนกระทั่งเดินไปจนสุดทาง ภาพเบื้องหน้าพลันทำให้เคอโยวหรานเป็อันต้องชะงักงัน
เบื้องหน้ามีสายหมอกปกคลุม มองเห็นทิวทัศน์ที่ห่างออกไปได้ไม่ชัดเจนนัก
ใจกลางคือสระบัวใสจนเห็นก้นสระ ภายในนั้นมีดอกบัวหลากสีลอยพลิ้วไหว กลีบดอกแต่ละกลีบมีหยาดน้ำค้างพร่างพราวกลิ้งไปมา งดงามตระการตายิ่งนัก
“หงิง...หงิง...”
ในขณะที่เคอโยวหรานกำลังมองทิวทัศน์โดยรอบ ทันใดนั้นก็มีเสียงครางด้วยความเ็ปดังขึ้นขัดจังหวะนาง
นางค่อยๆ ตามหาที่มาของเสียง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือสีแดงฉาน แรกเริ่มมีเพียงไม่กี่หยด แต่ยิ่งเดินเข้าไปข้างหน้าก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น
ครั้นตามหาจนพบต้นตอของเื เคอโยวหรานพลันสบสายตากับดวงตาสีครามลุ่มลึกคู่หนึ่ง ภายในดวงตาเปี่ยมด้วยความไม่ยินยอมและวิงวอน
นี่คือหมาป่าตัวเมียขนสีขาวทั่วกาย ทั้งตัวมีขนสีขาวเงินราวกับหิมะ เส้นขนเปล่งประกายแวววาว ไม่คล้ายกับสิ่งที่ควรปรากฏอยู่บนโลกมนุษย์
มันนอนอยู่บนพื้น หน้าท้องนูนสูงและมีเืไหลนองไปตามขาหลัง ท่าทางอ่อนแอเ็ปยิ่งนัก
มันคลอดบุตรยากและไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว
เคอโยวหรานเพียงคิดจะขยับเข้าใกล้เพื่อดูว่านางสามารถช่วยเหลืออันใดมันได้หรือไม่
ทันใดนั้น พลันปรากฏหมาป่าขนสีดำสนิทขนาดเท่าสุนัขพันธุ์ฉางอ๋าว [2] ตัวโตเต็มวัย ทั้งยังมีเส้นขนเรียบเงาราวกับหินูเาไฟยืนขวางอยู่เบื้องหน้านาง
มันกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน ตั้งท่าราวกับหากเคอโยวหรานขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจะถูกมันกัดคอขาดก็มิปาน
เคอโยวหรานชะงักฝีเท้าทันใด นางยกมือทั้งสองข้างขึ้น ส่งสัญญาณบอกหมาป่าดำว่าตนมิได้พกอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น
“กรร...กรร...” หมาป่าดำเปล่งเสียงในลำคออย่างมุ่งร้าย จดจ้องเคอโยวหรานด้วยดวงตาคมกริบดุจคมมีดเพื่อสื่อให้นางถอยออกไป
เคอโยวหรานกลืนน้ำลาย นางค่อยๆ ถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นเอียงคอมองหมาป่าขาวที่ลมหายใจรวยรินอยู่ทางด้านหลังของหมาป่าดำ
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กินหัวใจหมีดีเสือดาว 吃了熊心豹胆 หมายถึง ใจกล้าบ้าบิ่นกว่ายามปกติ โดยประโยคนี้เป็ภาษาพูด มาจากสำนวนว่า ‘หัวใจหมีดีเสือ’ ซึ่งมีความหมายเดียวกัน
[2] สุนัขพันธุ์ฉางอ๋าว 藏獒 คือสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้