ชางจื่อเฟิงไม่เคยใมากขนาดนี้มาก่อน หากเขาไม่ควบคุมอารมณ์ให้ดีพอ เขาจะต้องะเิออกมาแน่ ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถควบคุมการสั่นของกำปั้นเอาไว้ได้
คิดสิว่าชางจื่อเฟิงเป็ใคร?
เขาคือองค์ชายแห่งอาณาจักรชางผู้ยิ่งใหญ่
นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว ผู้ที่มีแนวโน้มที่จะสืบทอดบัลลังก์มากที่สุดก็คือเขา
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยเห็นหลัวเลี่ยอยู่ในสายตาเลย แม้แต่ตอนที่เขาเห็นหลัวเลี่ยเป็ครั้งแรก เขาก็แสดงความรังเกียจเสมอ เขาแค่ไปดูด้วยความสนุกและรู้สึกว่าหลัวเลี่ยเป็ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น
แต่สิ่งที่น่าขันที่สุดคือหลัวเลี่ยมีความเป็วีรบุรุษ และ้าเป็วีรบุรุษ
แม้หลัวเลี่ยจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่วีรบุรุษ แต่ในสายตาของชางจื่อเฟิง หลัวเลี่ยก็แค่คนที่หาเื่ตายเร็วเท่านั้น
เมื่อเขาล้อเลียนหลัวเลี่ยที่ไม่มีเพื่อนคนไหนยืนหยัดอยู่ข้างเขา ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ก็ดันปรากฏตัวขึ้น แม้พวกเขาไม่มีความสามารถมากนักและอาจตายได้ แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะตายเพื่อความรักและความยุติธรรม
ต่อมาหลัวเลี่ยถึงขั้นสังหารไก้อู๋ซวงได้ในคราวเดียว และได้รับของขวัญจากจักรพรรดิไท่อี ซึ่งเื่นี้ก็ทำให้เขาอิจฉามากยิ่งขึ้น
และเมื่อตอนที่เขาแสดงออกว่าจะลงมือด้วยตนเอง เขาก็ไม่คาดคิดว่าเหลยเจิ้นจื่อ หยางเสี้ยวเสีย ข่งเหรินเจี๋ย และเหวินทิงอวี่จะสร้างปัญหาขึ้นมา และผลักดันหลัวเลี่ยไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ทำให้เขาดูเหมือนตัวตลก
มาจนถึงตอนนี้เขาระดมกำลังมากมายด้วยความโกรธเพื่อฆ่าหลัวเลี่ย และระบายความคับแค้นใจของเขา นอกจากนี้เขายัง้ายึดสมบัติและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าแผนการทั้งหมดจะออกมาเป็เช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้ว่เวลาต่างๆ ล้วนสูญเปล่ากลายเป็เพียงเื่ตลก
หลัวเลี่ยที่เขามองว่าเป็ตัวตลกและโง่เขลานั้นไม่จำเป็ต้องเคลื่อนไหวก็มีคนปกป้องแล้ว
ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ทำได้เพียงมองดูหลัวเลี่ยที่หล่อเหลา มองดูภาพของหลัวเลี่ยที่นั่งฝึกฝนอยู่ใต้ตันั เฝ้ามองผมและผ้าคลุมที่ปลิวไสวของหลัวเลี่ยอย่างอดทน
ในทางกลับกัน หลัวเลี่ยกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย
เขาหมกมุ่นอยู่กับความรู้ที่แปลกประหลาดนี้อย่างสมบูรณ์และไม่สามารถหลุดพ้นได้
ความลึกลับของวิชายุทธ์ทุกประเภทดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพและลอยอยู่ตรงหน้าเขาตลอดเวลา ทำให้เขาเริ่มเข้าใจทีละนิด แล้วจากนั้นก็เลือกแก่นพลังและเริ่มชำระล้างเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ขึ้นมาใหม่
ด้วยวิธีนี้เคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ของเขาก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมากเช่นกัน จนแทบจะเป็ยอดในเคล็ดวิชาระดับทลายยุทธ์
เมื่อมีพลังอยู่ในระดับหยินหยาง การฝึกฝนเคล็ดวิชาที่สูงกว่าสามระดับพลังฟังดูไม่น่าเชื่อเป็อย่างมาก แต่สำหรับหลัวเลี่ยแล้วมันช่างง่ายดายและธรรมดามาก ราวกับว่าเขาเคยทำมาก่อน
ยิ่งเป็เช่นนี้หลัวเลี่ยก็ยิ่งเข้าใจว่าสิ่งที่เขาได้รับมาจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าตอนนี้พลังของเขาอาจยังไม่ได้ไปถึงพื้นผิวของพลังทั้งหมดด้วยซ้ำ
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์?
เคยได้ยินแต่บรรพชนหงจุน ใครคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กัน?
ความสงสัยเล็กๆ น้อยๆ เป็เพียงความคิดชั่วขณะ หลังจากนั้นเขาก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนอีกครั้ง
เขาไม่รับรู้เื่เวลา และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเวลาผ่านไปสิบสามวันแล้ว
ใน่สิบสามวันนี้หยางเสี้ยวเสียเป็คนนำผู้คนเผชิญหน้ากับชางจื่อเฟิง ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้กัน นอกจากนี้ใน่สิบสามวันนี้ก็ยังไม่มีใครก้าวเข้ามาในหุบเขาสุสานั
ดูเหมือนว่าผู้คนในดินแดนเหยียนหวงจะมีความกังวลเกี่ยวกับการปรากฏตัวของต้นัในหุบเขาสุสานั จนไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามีความวุ่นวายครั้งใหญ่เกิดขึ้นในนี้หรือไม่
ผู้ที่อยู่ภายนอกจะพบว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่จริง แต่ผู้ที่อยู่เหนือระดับกายทองคำเท่านั้นที่จะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวนี้ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับนี้จะไม่สามารถก้าวเข้าสู่พื้นที่แห่งนี้ได้เลย
ผู้มีอำนาจเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
พวกเขานิ่งสงบมาก และไม่ประหลาดใจในเื่การปรากฏของต้นัมากเท่าไร
สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้จริงๆ ก็คือเมื่อหลัวเลี่ยลืมตาขึ้น ซึ่งหมายความว่าการฝึกฝนสิ้นสุดลง เสียงอันเงียบสงบที่พวกเขาไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า
“ไม่มีทาง” หยางเสี้ยวเสียมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดวงตาของชางจื่อเฟิงเป็สีแดงด้วยความอิจฉา "บัดซบ!"
ต้วนเหยียนเจี๋ยและคนอื่นๆ ที่เคยเห็นเหตุการณ์ของไก้อู๋ซวงในจัตุรัสเหยียนหลงต่างก็คลั่ง
“สารจาก์อีกแล้ว!”
“ผ่านมาแค่ไม่กี่วันก็มาอีกแล้วหรือ!!!”
บ้าไปแล้วจริงๆ
สารจาก์หมายความว่าหลัวเลี่ยได้สร้างเคล็ดวิชาที่เป็อันดับหนึ่งในระดับทลายยุทธ์ขึ้นอีกครั้ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์นั้นได้ครอบคลุมไปถึงระดับทลายยุทธ์แล้ว และกลายเป็วิชายุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่ระดับพลังวรยุทธ์
แตกต่างจากสามระดับในครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เป็เพียงระดับ อาจดูไม่ยิ่งใหญ่นัก แต่ก็ยังเต็มไปด้วยแสง มงคลสีทองนับพันสาย ดอกบัวที่พรั่งพรูจากพื้นดิน ตลอดจนเสียงัและลมที่ขับขานอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหลัวเลี่ยยืนขึ้นอย่างช้าๆ ต้นัก็สั่นไหวอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นลำแสงัก็พุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลังจากที่ก้อนเมฆถูกทะลุทะลวงด้วยลำแสงของั ก็มีเสียงร้องของัที่ทำให้น้ำทะเลเกิดคลื่นขึ้น วังัปั่นป่วน และทำให้หัวใจของัทั้งหมดเต้นแรง
เวลาต่อมาลำแสงัที่เป็ศูนย์กลางก็ทำให้มวลอากาศเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า และกระจายไปทั่วทั้งบริเวณอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ครอบคลุมทั้งโลก และเปลี่ยนท้องฟ้าที่แต่เดิมสดใสให้กลายเป็ความมืดมิด
ระลอกคลื่นขนาดใหญ่เปลี่ยนเป็แสงสีทองทีละน้อย ทำให้โลกนี้กลายเป็โลกสีทอง มันยังคงหมุนช้าๆ และแผ่รัศมีอันกว้างใหญ่ ก่อนจะพุ่งลงมาบริเวณตรงกลาง
นั่นคือรูปร่างัที่อธิบายไม่ได้
อย่างน้อยมันก็ทำให้บรรพชนทั้งหมดในโลกใกับสิ่งนี้ จนต้องออกจากความสันโดษเพื่อมาดู
จากนั้นหัวัที่ใหญ่จนสุดจะพรรณนาได้ก็ปรากฏขึ้น หัวันั้นดูสง่างามและมีเขา แต่ก็ยังมีกลิ่นอายโบราณ ดวงตาัคู่หนึ่งลืมขึ้น ั์ตาคู่นั้นมีประกายไฟที่ใกล้มอดของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ตลอดจนการมองดูความสับสนวุ่นวายของโลกและการเกิดการตาย
เขากำลังมองเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็ตัวแทนของ์และโลก
เขาคือับรรพชนในตำนาน!
เมื่อับรรพชนปรากฏกายขึ้น ัทั้งหมดก็หมอบลงกับพื้น เผ่าพันธุ์อื่นๆ รวมถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ล้วนให้ความเคารพเช่นกัน
ับรรพชนไม่เพียงเป็ตัวแทนของพลังสูงสุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็วีรบุรุษที่เคยปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ และก่อตั้งทะเลทั้งสี่ เพื่อให้เผ่าพันธุ์ัอยู่รอบนอกของดินแดนเหยียนหวง เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาคือผู้ดำรงอยู่สูงสุดที่ผู้คนยกย่องอย่างแท้จริง
ับรรพชนมองลงไปที่หลัวเลี่ย
เพียงแค่มองแวบเดียว ก็มีเสียงก้องของัดังขึ้นรอบๆ หลัวเลี่ย จากนั้นับรรพชนก็ลดขนาดตัวให้เล็กลง และบินวนอยู่รอบกายของหลัวเลี่ย
เมื่อมองไปที่ับรรพชนตัวน้อย หลัวเลี่ยก็รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันแสนวิเศษ เขารู้สึกประทับใจมากจนยื่นมือออกไปจับต้นั
หลังจากนั้นเขาก็เห็นับรรพชนตัวเล็กๆ บินวนรอบต้นไม้ัในทันใด
กิ่งก้านเล็กเท่าหัวแม่มือบนต้นัหักและร่วงหล่นพร้อมกับใบไม้
และับรรพชนตัวน้อยก็รวมร่างเข้ากับต้นไม้ั
เมื่อัถูกสร้างขึ้น ความรุ่งโรจน์ของมันจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง กิ่งก้านและใบใหม่จะโผล่ออกมาจากส่วนที่หัก
"ับรรพชนทะลวงฟ้า เผ่าัเจริญรุ่งเรือง!"
เสียงตื่นเต้นของาาัแห่งท้องทะเลดังขึ้นในทะเล
หลัวเลี่ยเงยหน้าขึ้นมองับรรพชนโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของชายคนนั้นและัสบกัน
ครู่หนึ่งหลัวเลี่ยดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ แต่เขาก็จับไม่ได้
ศีรษะของับรรพชนค่อยๆ หดกลับ
สารทั้งหมดระหว่าง์และโลกหายไปอย่างไร้ร่องรอย และทุกสิ่งก็กลับสู่สภาวะปกติ
และต้นไม้ันั้นก็หายไปในพริบตา มีเพียงกิ่งและใบของต้นัจำนวนมากเท่านั้นที่ยังคงตกอยู่บนพื้น