นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
ทำไมย่าอวี๋ถึงเป็ผู้ถือกรรมสิทธิ์อีกคนหนึ่งได้?
เซี่ยเสี่ยวหลานสับสนงุนงงไปหมดเธอจำได้ว่าอาคารบ้านเรือนในเวลานี้ล้วนเป็ของรัฐ ครอบครัวใครอาศัยที่ไหนบ้านขนาดเท่าไร รัฐจะเป็ผู้ตัดสินใจทั้งหมดย่าอวี๋คนเดียวอาศัยในบ้านห้าห้องก็เหนือจินตนาการมากแล้ว ตอนนี้ยังมีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในอาคารหลังเล็กที่จัตุรัสเอ้อร์ชีด้วย?
เธอไม่ค่อยแม่นยำนโยบายในเวลานี้ หลังสิ้นสุดความวุ่นวาย [1] ประเทศเริ่มคืน ‘มรดกตกทอด’ ของบางคน บางทีในนี้ก็คงรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วยสินะ
“ย่าอวี๋”
เซี่ยเสี่ยวหลานร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ หากรู้แต่แรกว่าสิทธิครึ่งหนึ่งของอาคารเล็กที่จัตุรัสเอ้อร์ชีเป็ของย่าอวี๋เธอหารือธุระเช่าอาคารกับย่าอวี๋โดยตรงไม่ดีกว่าหรือ?
“พวกคุณรู้จักกัน?”
หยวนหงกังไม่ปิดบังความใ
มิน่าล่ะ ย่าอวี๋ถึงยินยอมเห็นด้วยกับการปล่อยเช่าอาคารทำไมอาคารหลังนี้ซุกเก็บไว้ตรงนั้นน่ะหรือ ก็เพราะข้อพิพาททางกรรมสิทธิ์กับย่าอวี๋นั่นเองย่าอวี๋เป็คนใจเพชร โรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามก็ไม่อยากรังแกหญิงชราตัวคนเดียว ในเมื่อทางรัฐไม่ประกาศให้ชัดเจนว่าอาคารคือของใครแม้ย่าอวี๋จะใช้ประโยชน์ไม่ได้แต่ก็มีสิทธิไม่อนุญาตพนักงานของโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามเข้าไปอาศัยเช่นกัน
ครั้งนี้ย่าอวี๋อะลุ้มอล่วยแล้ว
2000 หยวนต่อหนึ่งปีในยุคนี้ถือว่าจำนวนมากแน่นอน โทรทัศน์สี 14 นิ้วนำเข้าหนึ่งเครื่องก็ราคาราวพันกว่าหยวนเครื่องใช้ไฟฟ้าคือสินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพงที่สุด ณ ตอนนี้เนื่องจากอาคารบ้านเรือนไม่มีส่วนร่วมเชิงพาณิชย์คนในประเทศยังไร้ความคิดที่จะซื้อบ้าน ยานพาหนะสำหรับคมนาคมใช้จักรยานเป็หลักพบเห็นรถจักรยานยนต์บนถนนเป็ครั้งคราวก็สะดุดตาไม่น้อยแล้ว ราคา 2000 หยวนต่อปีไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถรับไหว
รถยนต์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราคาจำหน่ายของรถยนต์หรูนำเข้าเป็มูลค่ามหาศาลกว่าคนทั่วไปจะนึกฝันรถยนต์สี่ล้อซึ่งเห็นตามถนนคันไหนไม่ถึงหลักหมื่นหยวนบ้าง? รถบรรทุกใหญ่ตงเฟิงที่โจวเฉิงและคังเหว่ยใช้ในการขนส่งราคารวมภาษีต้องมากกว่า 40000 หยวน รถจี๊ปสีเขียวทหารรุ่น 212 ถูกกว่าเล็กน้อยทว่าราคาขายก็เกือบ 4 หมื่นหยวนทีเดียว
ยังมีสิ่งใดที่ราคาแพงกว่ารถยนต์อีก ไม่มีคนจินตนาการออกในอนาคตมีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ความจนจำกัดพลังแห่งจินตนาการของทุกคน’ !
“รู้จักหรือไม่ ก็ไม่เป็ปัญหาต่อการรับค่าเช่าของฉัน”
ย่าอวี๋วาจายังคงแล้งมิตรจิตมิตรใจเช่นเคย เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าเธอมีนิสัยแบบไหนจึงไม่ถือสาสักนิด ขอเพียงได้เช่าอาคารก็พอเธอไม่ยินดีเอาเปรียบหญิงชราคนหนึ่งอยู่แล้ว ราคาควรอยู่ที่เท่าไรก็เท่านั้น
ทั้งสามฝ่ายนั่งลงเจรจาพร้อมกัน เซี่ยเสี่ยวหลาน้าเช่า 10 ปี
หยวนหงกังชำเลืองย่าอวี๋ ถามด้วยความลังเล “ค่าเช่าไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดหรือ?”
ขนาดเนื้อหมูยังขึ้นราคาแล้ว มูลค่าสินค้าประเภทต่างๆ ล้วนเพิ่มพูนการปฏิรูปเศรษฐกิจกระตุ้นสภาพเศรษฐกิจให้มีชีวิตชีวาราคาสินค้าย่อมไม่อาจถูกกำหนดโดยรัฐอย่างเต็มที่อีกต่อไป จริงๆ แล้วหยวนหงกังคนนี้เป็คนเที่ยงธรรมทีเดียวแม้หลิวหย่งจะช่วยเหลือครอบครัวเขา ทว่าเขาก็ไตร่ตรองแทนย่าอวี๋ด้วย—ค่าเช่าอาคาร 2000 หยวนต่อปีเป็ของย่าอวี๋ทั้งหมดประโยชน์ส่วนแบ่งของโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามก็คือสิทธิในการใช้งานห้องอื่นในอาคารโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามปี 1983 สามารถสร้างผลกำไรแก่ประเทศได้ปีละสองถึงสามสิบล้านหยวนเงิน 2000 หยวนจึงไม่ถูกผู้บริหารของโรงงานชายตาแล
ถ้าจะเอาเงินจำนวนแค่นี้ ไม่สู้จัดสรรที่อยู่อาศัยให้พนักงานมากขึ้นอีกสักหน่อยหรือโรงงานมีคนงานหลักหมื่น ปัญหาที่อยู่อาศัยของพนักงานยังคงรอการเยียวยาอยู่
2000 หยวนตอนนี้ก็ยังมีค่ามาก มูลค่าสินค้าจะเฟ้อทะยานหลังผ่านปี 85 ไป เซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่ผีใจดำ [2] ตามตำราทว่ามิได้สมองทึบเื่เงินทองเช่นกันจะคิดว่าหญิงชราตัวคนเดียวอย่างย่าอวี๋น่าสงสารหรือ?
อย่าตลกไปหน่อยเลย ว่ากันตามตรงเธอมั่งมียิ่งนัก เพียงแต่ตอนนี้ยังขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เท่านั้นเอง
“อย่างนั้นก็ขึ้นค่าเช่าร้อยละ 10 ต่อทุกปีเถอะปีแรกคือ 2000 หยวน ปีที่สองคือ 2200 หยวน ปีที่สามเป็ 2420 หยวน...สัญญาเช่าถึงกำหนดปีสุดท้าย ฉันต้องจ่าย 4700 กว่าหยวน”
ทุกปีขึ้นราคาร้อยละ 10 สิบปีเพิ่มพูนกว่าเท่าตัว
หยวนหงกังคิดว่าสมควรแล้ว
ยากจะคาดเดาว่าการค้าขายของธุรกิจอิสระดำเนินการได้ถึง 10 ปีหรือไม่ แม้ปีนี้จ่ายเงินค่าเช่าไหวปีหน้าจะเป็รูปการณ์แบบใดยิ่งบอกไม่ถูกเลย แต่หยวนหงกังหวังว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะสามารถเช่าอย่างอยู่ยั้งยืนยงพนักงานโรงงานที่จัดไปอาศัยตรงนั้นก็ไม่ต้องย้ายเข้าย้ายออก
“ตกลง ตามนี้แหละ”
10 ปีจะได้เงินทั้งหมดราว 32000 หยวนั้แ่ปี 1983 จนถึงปี 1993 พอถึงต้นยุคเก้าศูนย์ 32000 หยวนก็มีมูลค่ามากมายทีเดียวเื่อื่นยังไม่ทราบ แต่หากย่าอวี๋ใช้เงินก้อนนี้กับชีวิตประจำวันเท่านั้นอย่างน้อยบั้นปลายชีวิตก็เพียบพร้อมด้วยปัจจัยพื้นฐาน
ส่วนสิบปีให้หลัง ชีวิตของหญิงชราควรทำอย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มแย้ม “ฉันมีเงื่อนไขเพิ่มเติม”
เธอประสงค์ที่จะมีสิทธิในการซื้ออาคารหลังเล็กคนแรก
อีกหลายปีผ่านไปกรรมสิทธิ์ของอาคารนี้เป็ของใครกันแน่ก็น่าจะถกเถียงกันชัดเจนแล้วเธอสามารถซื้ออาคารนี้เก็บไว้ ยกเลิกการสร้างอาคารใหม่ สำหรับความคิดเห็นนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานย่าอวี๋และหยวนหงกังต่างไม่คัดค้าน
สำเร็จ!
ทั้งสามฝ่ายลงชื่อบนสัญญา เซี่ยเสี่ยวหลานชำระค่าเช่าปีแรก 2000 หยวนในสถานที่ทำสัญญาทันที เมื่อจ่ายเงินเสร็จสิ้นเธอจึงได้กุญแจมาแบบยื่นหมูยื่นแมว
หยวนหงกังก็ยินดีไปด้วย อาคารเล็กมีสามชั้น ตัดหน้าร้านชั้นหนึ่งออกไปบนอาคารยังเหลือสองชั้นที่เป็ห้องหับทั้งหมด อีกทั้งหลังอาคารก็มีลานบ้านอย่างน้อยสามารถแบ่งสรรให้พนักงาน 10 ครัวเรือนอาศัยอยู่ได้
เขาออกไปส่งเซี่ยเสี่ยวหลานและคนอื่นด้วยตัวเอง ติงอ้ายเจินออกจากโรงงานมาหาหยวนหงกังพอดีจึงเห็นด้านหลังทั้งสามคน
มีแผ่นหลังคนหนึ่งคุ้นเคยยิ่งนัก ทว่าติงอ้ายเจินไม่ใส่ใจเท่าไร
“ผู้อำนวยการหยวน คุณดูสิโรงงานบอกว่าครั้งนี้จะแบ่งบ้านไม่ว่าอย่างไรแผนกเราก็ควรได้สักสองโควตาสิ?”
หยวนหงกังรู้สึกปวดหัวตุบ
เวลาไม่มีอาคารให้แบ่งก็กระอักกระอ่วน พอมีก็ยุ่งวุ่นวายอีก
รองผู้อำนวยการโรงงานซึ่งรับผิดชอบการแบ่งสรรที่อยู่อาศัยเช่นเขานี้มีอำนาจหรือ? สิทธิในมือไม่กล้าใช้โดยไร้การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทั้งหมดคือความรับผิดชอบอันแสนหนักอึ้งที่ต้องแบกไว้บนบ่า
“ย่าอวี๋ ขอบคุณนะคะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานอารมณ์เบิกบานแจ่มใส ย่าอวี๋ยังคงบูดบึ้งดั่งเดิม “เธอควรดูออกแล้ว ค่าเช่าสองพันหยวนต่อปีเป็สิ่งที่ฉัน้าเองเธอขอบคุณอะไรฉัน?”
เธอเข้าใจดี บนโลกนี้ไม่มีมิตรภาพที่ไร้เหตุไร้ผลบางทีพวกเซี่ยเสี่ยวหลานอาจรู้เื่เ้าของกรรมสิทธิ์อาคารเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชีมาจากสักแห่ง ถึงได้ถ่อมาเช่าบ้านของเธอ ค่อยๆ ตีสนิททีละก้าวมิใช่เพื่ออาคารสามคูหาเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชีนั่นหรอกหรือ?
ย่าอวี๋คิดว่าโดนลวงหลอกความรู้สึก ตอนเรียกค่าเช่าจึงไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับคิดว่าช่างประจวบเหมาะทว่าย่าอวี๋ไม่เชื่อในความประจวบเหมาะเช่นนี้แม้แต่น้อย
ทั้งสองเข้าใจคนละทิศทาง มีแต่ต้องแยกกันอย่างไม่ร่าเริง ย่าอวี๋เก็บค่าเช่ากลับบ้านเซี่ยเสี่ยวหลานถือกุญแจด้วยความตื่นเต้นคึกคักและไปดูอาคารกับหลิวหย่ง
โรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามห่างจากถนนเอ้อร์ชีไม่ไกลจิตใจลุงหลานทั้งสองคนกระตือรือร้นมาก กว่าจะสามารถเช่าอาคารหลังนี้ได้นั้นลำบากมากนี่นา
แต่มันคุ้มค่า!
ผู้บริหารรุ่นก่อนของโรงงานฝ้ายที่สามเคยใช้หน้าร้านจัดแสดงและขายผลิตภัณฑ์สิ่งทอนั้นเป็เพียงเื่เมื่อสองสามปีที่แล้วการตกแต่งอาคารอาจไม่ดีเด่น แต่อย่างน้อยพื้นก็เรียบเสมอกัน ผิวผนังฉาบปูนจากตีนผนังทาสีเขียวไล่ขึ้น้าหนึ่งเมตร เวลานี้ความสูงของอาคารที่หันหน้าเข้าถนนล้วนเตี้ยเหลือเกินหน้าร้านสามคูหานี้กลับมีความสูงระหว่างชั้นมากกว่า 4 เมตร แล้วมันคือประมาณไหนหรือ มาตรฐานร้านค้าในอนาคตคือ 3.9 เมตร—ดังนั้นความสูงระหว่างชั้นเกิน 4 เมตร สามารถตกแต่งได้โอ่อ่าสง่างาม ร้านค้าที่มีความสูงมากพอจะไม่ให้เกิดความรู้สึกอึดอัด
ชั้นไม้สำหรับจัดแสดงสินค้าก่อนหน้านี้ยังหลงเหลืออยู่เซี่ยเสี่ยวหลานเอามือเคาะเล็กน้อย เธอแยกไม่ออกว่าคือไม้อะไรทว่าซ่อมเสียหน่อยก็น่าจะใช้ประโยชน์ได้ รองผู้อำนวยการหยวนเคยรับปากแล้วสิ่งของทั้งหมดในร้านให้เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการตามสะดวก
“เสี่ยวหลาน หลานดูอะไรน่ะ?”
“ลุง ลุงมาช่วยฉันถือแถบวัดหน่อย ฉันจะวัดขนาด ดูว่าร้านสามคูหานี้ควรตกแต่งอย่างไรดี”
หลิวหย่งกวาดสายตามองสถานที่ มิใช่ใหม่เอี่ยมทีเดียวหรือ? เพียงให้คนมาทำความสะอาดก็สามารถจัดแจงเปิดกิจการได้เลยแน่นอนว่ายังต้องทำใบอนุญาตขอเปิดกิจการด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานขีดๆ เขียนๆ ลงบนสมุด จดขนาดทั้งหมดเอาไว้
หลังจากนั้นก็เดินเตร่ที่ตลาดวัสดุก่อสร้างกับหลิวหย่ง... ปี 83 ยังไม่มีแิเกี่ยวกับวัสดุตกแต่งภายใน วนจนทั่วซางตู มีเพียงร้านค้าไม่กี่แห่งที่ขายวัสดุก่อสร้างพื้นฐานบางอย่างประปรายกระเบื้องล้วนเป็แผ่นเล็ก ยังดีที่มีไม้ปาร์เกต์ขายของสิ่งนี้ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานปลื้มปริ่มมาก เครื่องใช้ที่เป็ไม้จะดูมีระดับด้วยการเคลือบสีแต่สีออกแดงสดนั้นทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกแสบตาทว่าพื้นปาร์เกต์ส่วนใหญ่คือสีดั้งเดิมของไม้
มีพื้นพีวีซีที่ออกมาใหม่ด้วย สามารถปูลงบนพื้นซีเมนต์ได้โดยตรง
ทั้งยังมีพรมแดงซึ่งราคาย่อมเยาเป็พิเศษบ้านพักรับรองมีระดับหน่อยถึงจะใช้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถยอมให้ในร้านของตนแดงไปทั่วทุกพื้นที่ผู้คนเหยียบดินเข้ามา พรมยิ่งทำความสะอาดยากไม่น้อย
ไม่พื้นซีเมนต์ก็พื้นกระเบื้อง หรือปูพื้นปาร์เกต์
เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิดทั้งคืนร่างภาพจำนวนหนึ่งโดยยึดจากขนาดและโครงสร้างของหน้าร้าน ให้หลิวหย่งดูในวันต่อมา
“ลุง ลุงลองดูทีว่าตกแต่งตามแบบนี้ได้หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1]หมายถึง หลังสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม
[2]黑心鬼 ผีใจดำ หมายถึง ตระหนี่ถี่เหนียว นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตน
