ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว บนยอดเขาต้วนเริ่นล้วนเต็มไปด้วยโลหิตที่กระจัดกระจายทั่วบริเวณ สายโลหิตไหลไปตามร่องหินบนยอดเขาและหยดลงมาที่พื้น ประหนึ่งน้ำตกเืก็ไม่ปาน
หลินเฟิงกับเมิ่งฉิงพากันกลับลงมายังช่องแคบเหมือนเดิม บรรยากาศรอบตัวพวกเขานั้นเย็นลงไปมาก
บนยอดเขาต้วนเริ่นไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่ เหล่าทหารที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ล้วนถูกสังหารหมด หลินเฟิงหวนนึกถึงอดีตที่หลิ่วชั่งหลันประจำการอยู่ที่เมืองต้วนเริ่น และยืนมองทิวทัศน์ของที่นี่ด้วยกัน หลินเฟิงไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะมีโอกาสสังหารเหล่าทหารที่เป็ปราการสุดท้ายของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ด้วยมือของตัวเอง
ตอนนี้เองกองกำลังดาบนภาโลหิตก็ควบม้าเข้ามายังช่องแคบของหุบเขา พวกเขาทั้งหมดเห็นศพจำนวนมากกองพะเนินอยู่ด้านหน้า และทุกร่างล้วนใส่ชุดเกราะเสวี่ยเยว่
“พวกเขาทุกคนขัดขวางไม่ให้พวกเราใช้เส้นทางนี้ ดังนั้นข้าจึงฆ่าพวกเขาทั้งหมด”
หลินเฟิงหันไปพูดกับกองกำลังดาบนภาโลหิตด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“ตอนนี้พวกเ้าทุกคนต้องตามข้ามาติดๆ ห้ามเว้นระยะห่างจากข้ามากนัก”
เมื่อพูดจบหลินเฟิงก็ะโขึ้นหลังม้าก่อนจะออกวิ่งนำหน้า โดยมีกองกำลังดาบนภาโลหิตควบม้าตามหลังมาติดๆ อย่างเงียบเชียบ
เมื่อข้ามชายแดนต้วนเริ่นเข้ามา ก็จะพบกับเมืองต้วนเริ่นที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล เมืองต้วนเริ่นในตอนนี้เหลือเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น รอบเมืองทั้งสี่ทิศล้วนดำเป็ตอตะโก นี่คือผลพวงจากการเผาเมือง
บนกำแพงเมืองยังคงมีเงาทหารของอาณาจักรเสวี่ยเยว่เฝ้าระวังอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของหลินเฟิงกำลังควบม้าเข้ามา ประตูเมืองก็พลันเปิดออก
ครั้งนี้หลินเฟิงไม่กล่าวอะไร เพียงแค่ควบม้าเข้าเมืองไปเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครขัดขวาง
กองกำลังทหารม้าโลหิตวิ่งเข้าไปในเมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว กลุ่มของหลินเฟิงผ่านเข้าเมืองมาได้ไม่นาน ประตูเมืองก็ค่อยๆ ปิดลง ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่นไปทั่วเมืองต้วนเริ่น
จากนั้นด้านหน้าของหลินเฟิงก็ปรากฏเงาร่างของเหล่าทหารที่สวมชุดเกราะออกมา พวกเขาทั้งหมดต่างปลดปล่อยลมปราณที่ทรงพลังออกมาขณะจ้องมองกลุ่มของหลินเฟิงที่ควบม้าเข้ามาใกล้ๆ อย่างเงียบงัน ราวกับว่าพวกเขากำลังรอการกลับมาของหลินเฟิงและคนอื่นๆ อยู่
เมื่อม้าศึกวิ่งเข้ามาใกล้ พวกเขาทั้งหมดก็ง้างธนูแล้วเล็งมาที่หลินเฟิง ทันใดนั้นหลินเฟิงกับคนอื่นๆ ก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แพร่กระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ โดยจิตสังหารเหล่านี้ต่างพุ่งเป้ามาที่พวกเขา
“หยุดอยู่ตรงนั้น!!! หากพวกเ้าก้าวเข้ามาอีกนิดเดียว พวกข้าจะปล่อยลูกศรทันที”
เสียงะโอย่างเ็าดังขึ้นมา
แต่หลินเฟิงกลับไม่สนใจ เขายังคงควบม้าพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ชายที่ะโเตือนพลันหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นมา ดวงตาของเขาทอประกายเ็าแล้วกล่าวต่อไปว่า
“ฆ่า!”
เขาสะบัดมือลงอย่างรวดเร็วขณะที่ะโออกคำสั่ง ทันใดนั้นสายธนูที่ดึงไว้ก็ถูกปล่อย ก่อนที่เสียงแหวกอากาศจะดังขึ้นมา ลูกศรทั้งหมดต่างพุ่งเข้าหาหลินเฟิงและคนอื่นๆ
“ฟิ้ว!!!”
ลูกศรที่ปล่อยออกมาล้วนแฝงไปด้วยคลื่นพลังที่รุนแรง เห็นได้ชัดว่านักธนูเหล่านี้ล้วนเป็ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด พวกเขาทั้งหมดมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตแห่งจิติญญา
ม้าโลหิตที่ถูกลูกศรเสียบเข้าร่างค่อยๆ ล้มลงไปกองกับพื้นและขาดใจตาย
ลูกศรชุดแรกเล็งไปที่ม้า ไม่ใช่คน
หลังจากพวกเขาปล่อยลูกศรรอบแรกออกไปแล้ว ก็รีบง้างคันธนูอีกครั้งเพื่อเตรียมยิงระลอกที่สอง ซึ่งครั้งนี้พวกเขาเล็งไปที่คน
ทันใดนั้นเงาร่างของคนสองคนก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ ราวกับว่าพวกเขาสามารถเดินบนอากาศได้ ทั้งสองต่างพุ่งไปหาเหล่าทหารตรงหน้า โดยไม่ใส่ใจลูกศรที่ถูกปล่อยมาอีกครั้ง
“แช่แข็ง”
เมิ่งฉิงที่สวมชุดสีขาวะโเสียงดัง ฉับพลันเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่ขยายไปในชั้นบรรยากาศ ทำให้ลูกศรที่พุ่งมาหานางถูกแช่แข็งในพริบตา เสียงใสๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดก็ไม่มีลูกศรดอกไหนที่พุ่งเข้ามาได้อีก
ส่วนหลินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เมิ่งฉิง ก็ได้ปลดปล่อยประกายแสงสีม่วงออกมา ก่อนที่แสงสีม่วงเ่าั้จะรวมตัวกลายเป็งูั์ที่มีลำตัวยาวกว่าหลายร้อยเมตร
ลำตัวของอสูรปีศาจงูสีม่วงที่ลอยอยู่กลางอากาศ วนร่างเป็วงกลมเหนือศีรษะของหลินเฟิง ขณะเดียวกันมันก็ก้มมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างดุร้าย
เมื่อเห็นฉากที่น่าะเืขวัญนี้ สีหน้าของนักธนูเ่าั้ก็เปลี่ยนไป หัวใจของพวกเขาเต้นรัวเมื่อมองไปยังงูั์สีม่วงตัวนั้น ความหวาดกลัวได้เกาะกุมไปทั้งหัวใจ
นี่คือจิติญญาที่หลินเฟิงดูดกลืนจากทะเลสาบโลหิตสีม่วง ถึงแม้ว่าจิติญญากลืน์จะดูดกลืนพลังเยือกแข็งในร่างของเมิ่งฉิงไปหลังจากนั้น แต่จิติญญาดวงใหม่นี้ก็ยังคงเหมือนเดิม มันยังเป็จิติญญางูม่วงที่ทรงพลังเช่นเคย
งูปีศาจที่น่ากลัวตัวนี้ช่างคล้ายคลึงกับอสูรปีศาจงูสีม่วงในพื้นที่หวงห้ามของตระกูลจื่อถึง 8 ส่วน ซึ่งโลหิตของอสูรปีศาจงูสีม่วงที่ยิ่งใหญ่ได้มารวมตัวกันเป็ทะเลสาบ ก่อให้เกิดพลังชีวิตมหาศาล “โฮก!!!”
เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ก่อนที่งูั์สีม่วงตัวนั้นจะพุ่งเข้าหาผู้คน ลำแสงสีม่วงนับไม่ถ้วนพลันเปล่งประกายขึ้นมา ก่อนที่งูั์ตัวนั้นจะกลายเป็ของเหลวสีม่วง เมื่อลูกศรที่พุ่งเข้ามาัักับของเหลวสีม่วงนั้น มันก็ละลายหายไปกลางอากาศทันที
ของเหลวสีม่วงที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าได้พุ่งหาเหล่าทหารของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ทำให้หัวใจของพวกเขาพลันเต้นโครมครามจนแทบทะลุออกจากอก สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตสังหารที่เย็นะเืในตอนแรกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มันเป็ไปได้อย่างไร? ทำไมหลินเฟิงถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?
จากที่พวกเขาได้ทราบมาหลินเฟิงเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 เท่านั้น ดังนั้นผู้บ่มเพาะพลังในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 เช่นพวกเขาก็น่าจะสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายไม่ใช่หรือ?! ถ้าหลินเฟิงมีชีวิตรอดกลับมาเช่นนี้ล่ะก็ ด้วยพลังของพวกเขาก็น่าจะสามารถฝังหลินเฟิงอยู่ที่เมืองต้วนเริ่นตลอดกาลได้ ทว่าความแข็งแกร่งของหลินเฟิงนั้นเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้!!!
พวกเขารู้สึกเสียใจเป็ที่สุดและความรู้สึกนั้นได้แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ความเชื่อมั่นที่คิดว่าหลินเฟิงเป็เพียงหมูในอวยได้กลายเป็อดีตไปแล้ว
ของเหลวสีม่วงได้ตกลงมาท่วมร่างของพวกเขา ทำให้ร่างกายของพวกเขาละลายหายไปในอากาศ ทหารนับร้อยได้ตกตายในพริบตาเดียว
การหลอมละลายคงเป็ความสามารถพิเศษของอสูรปีศาจงูสีม่วงตัวนี้ คาดว่าใน่เวลาที่มันยังมีชีวิตอยู่นั้น แค่น้ำลายของมันก็คงละลายมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อโลหิตของมันได้กลายเป็ทะเลสาบ จึงทำให้พลังของมันลดลงและทำได้เพียงละลายเสื้อผ้าของคนเท่านั้น แต่หลังจากที่ทะเลสาบสีม่วงได้ซึมเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะสามารถดึงพลังดั้งเดิมของจิติญญางูสีม่วงกลับมาได้ และนี่คือผลลัพธ์ของพลังที่น่าสะพรึงกลัวนั่น
หลังจากที่ทะเลสาบสีม่วงถูกจิติญญากลืน์ดูดกลืน มันก็ได้กลายเป็จิติญญาของหลินเฟิง และยังได้ความสามารถหลอมละลายนี้ติดตัวมาด้วย
กองกำลังดาบนภาโลหิตต่างมองหลินเฟิงไม่ต่างจากพระเ้า พวกเขาแต่ละคนจ้องมองหลินเฟิงด้วยสายตาตกตะลึง ขณะเดียวกันหัวใจของพวกเขาก็สั่นระรัวไปด้วยความยำเกรง
แข็งแกร่ง… หลินเฟิงช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ถึงแม้พวกเขาจะผ่านการต่อสู้ในามา แต่พลังที่พวกเขาได้รับมาก็ยังเทียบกับความแข็งแกร่งของหลินเฟิงไม่ได้
เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ที่คิดจะโจมตีพวกหลินเฟิงจากทางด้านหลังพลันหยุดชะงัก พวกเขามองร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความหวาดกลัว ใต้ฝ่าเท้าของหลินเฟิงปรากฏของเหลวพุ่งขึ้นมา ทำให้ร่างของเขาลอยอยู่ในอากาศ
หลินเฟิงที่ยืนอยู่เหนือของเหลวสีม่วงนั้น ค่อยๆ หันกลับมามองเหล่าทหารเสวี่ยเยว่ข้างหลัง ต่อให้คนเหล่านี้ไม่พูด หลินเฟิงก็ทราบดีว่าพวกเขาคิดจะลอบโจมตีจากทางด้านหลัง
เมื่อเห็นสายตาของหลินเฟิง หัวใจของพวกเขาก็เต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่งและเกิดความรู้สึกเย็นะเืที่หัวใจ
“พวกเราได้รับคำสั่งมา แต่ตอนนี้พวกเราจะจากไปแล้ว”
คนที่เป็หัวหน้ามองหลินเฟิงอย่างขลาดกลัว หลังจากกล่าวประโยคนี้จบเขาก็รีบดึงบังเหียนให้ม้าหันหลังเพื่อหนีไป
“คิดจะฆ่าก็ฆ่า พอฆ่าไม่ได้ก็หนี เหอะ… ช่างน่าขันยิ่งนัก”
หลินเฟิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า คนเหล่านี้ล้วนได้รับคำสั่งให้มาสังหารเขา แต่เมื่อไม่สามารถสังหารเขาได้ก็คิดหนี บนโลกใบนี้มีเื่ที่ปล่อยไปง่ายๆ ขนาดนี้เชียวหรือ?
“เมิ่งฉิงเ้าช่วยยึดม้าศึกพวกนั้นที”
หลินเฟิงหันมาพูดกับเมิ่งฉิง ม้าศึกของพวกเขาล้วนถูกลูกศรยิงตายไปหมดแล้ว หลังจากนี้พวกเขาคงเดินทางกันไม่สะดวก และหากให้หลินเฟิงเป็คนลงมือล่ะก็ เกรงว่าทั้งคนและม้าคงถูกหลินเฟิงฆ่าตายในทันที
“ได้”
เมิ่งฉิงพยักหน้ารับคำสั่งก่อนะโขึ้นไปในอากาศ นางปลดปล่อยลมปราณเย็นะเืออกมาสายหนึ่ง ทำให้หัวใจของเหล่าทหารเสวี่ยเยว่สั่นเทาด้วยความหนาว
นอกจากหลินเฟิงแล้ว ที่นี่ยังมียอดฝีมือระดับขอบเขตลี้ลับอยู่คนหนึ่ง กล่าวได้ว่าแม้พลังของหลินเฟิงจะไม่แข็งแกร่ง แต่มันคงเป็ไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสังหารหลินเฟิง เดิมทีความคิดนี้มันก็ไร้สาระอยู่แล้ว
ตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใจที่กระทำลงไปอย่างนั้น ในเมื่อพวกเขารับคำสั่งนี้ พวกเขาก็ต้องแบกรับผลที่จะตามมาด้วย
“แช่แข็ง”
เพียงเมิ่งฉิงสะบัดมือเบาๆ คลื่นความหนาวเย็นก็ทะลักออกมา ร่างกายของพวกเขาพลันแข็งทื่อ เหล่าทหารั้แ่ด้านหน้าจนถึงด้านหลังล้วนถูกคลื่นอันหนาวเย็นนี้แช่แข็งทั้งหมด พวกเขากลายเป็ประติมากรรมน้ำแข็งก่อนจะตกลงจากหลังม้า
“ขึ้นม้าเร็ว! พวกเราต้องรีบเดินทางต่อ”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาเก็บจิติญญาของตัวเองก่อนะโขึ้นไปบนหลังม้า คนอื่นๆ ต่างรีบะโขึ้นหลังม้าเช่นกัน
“หลินเฟิงมันเกิดอะไรขึ้น?”
ต้วนซินเยี่ยที่ควบม้าตีคู่หลินเฟิงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย
“มีใครบางคนอยากสังหารพวกเรา มันไม่้าให้พวกเรากลับไปที่เมืองหลวง” หลินเฟิงหันมาตอบต้วนซินเยี่ย
“แล้วข้าล่ะ พวกมันก็้าสังหารข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
เห็นหลินเฟิงพยักหน้ายืนยันคำตอบเช่นนั้นแล้ว ทำให้ต้วนซินเยี่ยใจสั่นขึ้นมา กระทั่งนางที่เป็องค์หญิง พวกมันก็้าให้นางตาย
“ทหารตายไปในานับแสนคน ส่วนองค์หญิงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงแม้าในครั้งนี้พวกเราจะเป็ฝ่ายชนะ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็กำหนดโทษตายให้กับท่านแม่ทัพหลิ่วอยู่ดี แม้จะได้รับชัยชนะแต่ก็เป็ชัยชนะที่น่าเศร้า นอกจากนี้พวกเขายังไม่สามารถปกป้ององค์หญิงได้ จนเป็เหตุให้พวกอาณาจักรโม่เยว่ลักพาตัวไป อีกทั้งเป็ตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่มีใครทราบ ดังนั้นเ้ากับข้าจึงไม่สามารถกลับไปที่เมืองหลวงได้ เพราะถ้าเ้าไปปรากฏตัวอยู่ที่เมืองหลวง พวกเขาก็ไม่อาจดำเนินการปะาชีวิตท่านแม่ทัพหลิ่วได้”
คำพูดของหลินเฟิง ทำให้ต้วนซินเยี่ยรู้สึกหนาวเย็นที่หัวใจ
เพื่อกำหนดโทษปะาของหลิ่วชั่งหลัน แม้แต่ตัวนางที่เป็องค์หญิงก็ต้องตาย?!
บางทีคงไม่ได้มีแค่หลิ่วชั่งหลันที่พวกเขาไม่อยากให้มีชีวิต แม้แต่ตัวนางที่เป็องค์หญิงก็คงไม่อยากให้มีชีวิตเช่นกัน ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้ ต้วนซินเยี่ยก็เริ่มเข้าใจเื่ราวทุกอย่างได้ดี
เพียงแต่ต้วนซินเยี่ยไม่เข้าใจเลยสักนิด เพื่อลักพาตัวนางแล้ว อาณาจักรเสวี่ยเยว่และอาณาจักรโม่เยว่ถึงกับต้องร่วมมือกันเชียวหรือ? และถ้าหากเป็คำสั่งของเขา แล้วเหตุใดถึงปล่อยให้นางมีชีวิตรอด? จะสังหารนางระหว่างทางก็ย่อมได้ไม่ใช่หรือ?
คนคนนั้นก็คือพี่ชายของนาง องค์รัชทายาทต้วนหวู่ต้าวผู้โเี้และอำมหิตคนนั้น
นางกับองค์ชายรองต้วนหวู่หยาค่อนข้างสนิทกันมาก และระหว่างองค์รัชทายาทกับองค์ชายรองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันเท่าไร ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยเชื่อฟังต้วนหวู่ต้าวสักเท่าไร สมควรตาย!!! ด้วยเื่แค่นี้เขาถึงกลับวางแผนสังหารนางเชียวหรือ!!!