บรรยากาศตึงเครียดและอึดอัดเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความไม่ไว้วางใจและข้อสงสัยล้นเอ่ออยู่ในอากาศ สองหนุ่มต่างก็เก็บงำคำถามและความกังวลเอาไว้ในใจโดยไม่เอ่ยถึง
จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ โจเซฟจึงอดไม่ไหวตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อน
"เอาล่ะ... มีอะไรอยากถามรึเปล่า ฉันรู้ว่านายสงสัย"
"..." ชาร์ลส์นิ่งไปครู่หนึ่ง เขากะพริบตาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามออกไป "ที่นั่น... ฐานลับใต้ดิน มันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมต้องลับๆ ล่อๆ ขนาดนั้นด้วย"
"เป็หนึ่งในสถานที่ที่พวกเราหน่วยพิเศษใช้ประชุมและซ่อนตัวไงล่ะ ้ามองเผินๆ เหมือนแค่ซากเก่าทั่วไป แต่ภายในมีการติดตั้งกลไกซ่อนทางเข้าที่ยากจะเดาออก รวมถึงมีเวทมนตร์ป้องกันด้วย ไม่ใช่ใครก็ใครจะเข้าไปได้"
ชาร์ลส์รู้สึกสงสัยมากขึ้น จึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ "นี่ นายมาลงเอยเป็หน่วยพิเศษนี่ได้ยังไงกัน"
โจเซฟยิ้มขำเล็กน้อยกับคำถามนั้น เขาส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเล่าเื่ราวในอดีตให้อีกฝ่ายฟัง
"ฉันถูกชักชวนเข้าร่วมหน่วยพิเศษหลังจากเหตุการณ์ที่เรือล่มเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นฉันและนายรอดชีวิตมาได้ เหล่าข้าราชการและคณะทูตล้วนสิ้นชีพตกทะเลยกคณะ ทำให้เหล่าคู่อริของฉันได้โอกาสเล่นงานฉันใน่นั้น"
"พวกเขาใส่ร้ายป้ายสีให้ฉันเป็ผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของฉันเลย ฉันถูกกล่าวหาว่าประมาท ไม่ดูแลความปลอดภัยของคณะทูต ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่ออาณาจักร"
โจเซฟกำหมัดแน่น ั์ตาฉายแววขุ่นเคืองเมื่อนึกถึงความอยุติธรรมที่เขาต้องเผชิญ
"ฉันถูกปลดจากตำแหน่งทางการทูต ถูกตัดสิทธิ์ทางสังคม และถูกกักบริเวณ จนกระทั่งคุณอาของฉัน เอ็ดเวิร์ด คาเว็นดิช เข้ามาหยิบยื่นโอกาสให้ฉัน"
"ท่านชักชวนให้ฉันเข้าร่วมหน่วยพิเศษ ตอนแรกฉันลังเล เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเหมาะกับงานเสี่ยงอันตรายแบบนั้น แต่คุณอาท่านก็ให้เหตุผลที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้" แววตาของโจเซฟมุ่งมั่น "ท่านบอกว่านี่คือโอกาสที่จะได้กลับไปสร้างผลงาน ได้รับการยอมรับ และที่สำคัญที่สุด… คือโอกาสที่จะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมหาเสนาบดีผู้พิพากษา"
ชาร์ลส์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ "มหาเสนาบดีผู้พิพากษา?"
"ใช่" โจเซฟพยักหน้า "ผู้พิพากษาสูงสุดของอาณาจักร มีอำนาจตัดสินคดีความสำคัญและคดีที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก รวมถึงมีสิทธิ์เสนอกฎหมายใหม่เพื่อปรับปรุงระบบยุติธรรม และที่สำคัญที่สุด… คือสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้"
แววตาของโจเซฟลุกโชนด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่นอันแรงกล้า "ฉันอยากใช้อำนาจนั้นเพื่อสร้างความยุติธรรมที่แท้จริงให้เกิดขึ้น เพื่อให้ทุกคนในอาณาจักรนี้ได้รับความเป็ธรรมอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อลงโทษคนเลวและขุนนางที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด"
"ฉันอยากเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ดีขึ้น และตำแหน่งมหาเสนาบดีผู้พิพากษา คือหนทางที่จะทำให้ฉันทำสิ่งเ่าั้ได้"
ชาร์ลส์มองเพื่อนรักด้วยความเข้าใจ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าโจเซฟมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ อดรู้สึกชื่นชมในอุดมการณ์อันแรงกล้านั้นไม่ได้
"ฉันเข้าใจแล้ว" ชาร์ลส์พยักหน้า "แต่นายจะมั่นใจได้ยังไง ว่าการเข้าร่วมหน่วยพิเศษจะทำให้นายได้เลื่อนตำแหน่งเป็ถึงมหาเสนาบดีผู้พิพากษา"
โจเซฟยิ้มอย่างมีเลศนัย "แน่นอนว่าการเข้าร่วมหน่วยพิเศษเป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น" เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น "เื้ัฉันยังมีผู้สนับสนุนอีกหลายคน พวกเขาล้วนมีอำนาจและอิทธิพลมากพอที่จะคานอำนาจกับพวกขุนนางอำนาจเก่าที่คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลง"
"หมายความว่ายังไง?" ชาร์ลส์ถามอย่างสงสัย
"ฉันบอกได้แค่ว่า พวกเขาเป็ผู้ที่้าเห็นความเปลี่ยนแปลงในอาณาจักรนี้เช่นเดียวกับฉัน"
"และพวกเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนฉันอย่างเต็มที่"
ชาร์ลส์มองเพื่อนรักด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาพอรู้ว่าโจเซฟนั้นมีเส้นสาย แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเป็เส้นสายที่แข็งแกร่งเช่นนี้
หลังจากที่พูดจบ ชาร์ลส์สังเกตเห็นที่ขาของโจเซฟกำลังขยับมากกว่าปกติ เขาขยับขาซ้ายขวาสลับกันไปมาอย่างเห็นได้ชัด ชาร์ลส์มองอย่างสงสัยครู่หนึ่ง ก่อนจะหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาจับผิด
"ขานายเป็อะไร?" ชาร์ลส์ถามเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงเจือความหงุดหงิด
"หืม? อ๋อ...ฉันน่าจะพูดเพลินไปหน่อย เลยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าขยับขามากไปหรือเปล่า" โจเซฟตอบกลับมาทันควัน สีหน้ายังคงดูใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ดวงตากลับมีแววลุกวาบ และริมฝีปากก็กระตุกยิ้มอย่างอดไม่ได้ นั่นทำให้ชาร์ลส์มั่นใจมากขึ้นว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจกวนประสาทเขาโดย ล้อเลียนอาการาเ็ที่ขาของเขา
"ตั้งใจกวนประสาทกันนี่หว่า รอถึงทีนายก่อนเถอะ" ชาร์ลส์พูดขึ้นพลางมองค้อนใส่โจเซฟ
"เื่นั้นคงไม่ง่ายหรอก" โจเซฟยักไหล่พลางหัวเราะในลำคอ ทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้
และแล้วการสนทนาเรื่อยเปื่อยระหว่างสองสหายก็ดำเนินต่อไป
รถม้ามาจอดเทียบหน้าบ้านพักของชาร์ลส์อย่างนุ่มนวล แสงตะเกียงสีส้มอ่อนจากภายในรถสาดส่องลงบนพื้นดินยามค่ำคืน สร้างเงาทะมึนของชายหนุ่มสองคนทาบทับบนผนังอิฐเก่าคร่ำคร่า โจเซฟค่อยๆ ประคองชาร์ลส์ที่ยังมีสีหน้าเ็ปจากแผลลงจากรถอย่างระมัดระวัง
"ระวังหน่อยนะ" โจเซฟกล่าวเสียงทุ้มนุ่มด้วยความห่วงใย ดวงตาสีฟ้าอ่อนมองอีกฝ่ายอย่างเป็ห่วง "แผลยังไม่หายดี ค่อยๆ ลงก็พอ"
"ขอบใจ" ชาร์ลส์พูดด้วยน้ำเสียงขอบคุณ มือยันกายด้วยไม้เท้าหัวเงินเงางามที่โจเซฟยื่นให้ "ฉันขอยืมไม้เท้านี่ก่อน พรุ่งนี้นายมารับฉันที่หน้าบ้านเลยก็ได้"
"ไม่มีปัญหา"
"พรุ่งนี้เจอกัน"
ชาร์ลส์พยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆ เดินกะเผลกเข้าบ้านพักไป โจเซฟมองตามแผ่นหลังเพื่อนจนลับสายตา ถอนหายใจเบาๆ แล้วขึ้นรถม้ากลับบ้านไป ปล่อยให้บรรยากาศเงียบงันของยามวิกาลครอบคลุมอยู่รอบกายอย่างเดียวดาย
เมื่อชาร์ลส์เปิดประตูเข้าไปในบ้านพักอันมืดสลัว เขาเดินตรงดิ่งไปยังห้องนอนเล็กๆ โดยจุดเทียนไฟ แล้วถอดเสื้อนอกออกแขวนไว้กับหลังเก้าอี้ นั่งลงถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย เอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกหนีบไว้ระหว่างหนังสือเล่มเก่าที่ซ้อนทับกันอยู่ แสงจันทร์ที่รอดผ่านหน้าต่างส่องไปบนแผ่นกระดาษ ปรากฏเป็ตัวอักษร
"คำทำน…"
ชาร์ลส์พึมพำกับตัวเองอย่างครุ่นคิด สายตาจ้องมองไปที่กระดาษแผ่นนั้น ความเหนื่อยล้าและาแที่ได้รับยังคงทำให้เขานั่งหลับตาพริ้มลงตรงโต๊ะไม้ตัวเก่าครู่หนึ่ง ก่อนจะเผลอหลับไปท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน...
ในขณะเดียวกัน ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลคาเว็นดิช ยามค่ำคืนเงียบสงบ ปราศจากสุ้มเสียง มีเพียงแสงจันทร์นวลผ่องโผล่พ้นจากเงามืดของเมฆสีเทาทะมึน ส่องสะท้อนกับกระจกหน้าต่างบานใหญ่ เมื่อรถม้าของโจเซฟแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์หลังโต แสงไฟจากโคมระย้าสีทองอร่ามภายในก็สาดส่องออกมาต้อนรับ
"กลับมาแล้วเหรอคะ" เสียงใสหวานของรีเบคก้าภรรยาสาวดังขึ้น เธอสวมชุดนอนผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ตัดกับผมสีน้ำตาลอมแดงอ่อนยาวสลวยที่ปล่อยสยายลงมาพลิ้วไหวเคลียไหล่ราวกับผืนผ้าแพรไหม
"ครับผมกลับมาแล้ว" โจเซฟยิ้มนิดๆ ให้ภรรยา ก่อนจะก้าวลงจากรถม้า ความเหนื่อยล้าจากงานในวันนี้ปรากฏชัดบนใบหน้า
"ทานอาหารเย็นหรือยังคะ?" รีเบคก้าถามด้วยความห่วงใย มองสามีด้วยสายตาอ่อนโยน
"ยังเลยครับ" โจเซฟส่ายหน้า
"งั้น...เดี๋ยวฉันไปอุ่นอาหารให้นะคะ" รีเบคก้ายิ้มหวาน เดินนำสามีเข้าไปในคฤหาสน์ ท่ามกลางแสงไฟสลัวนวลจากตะเกียงน้ำมันและโคมไฟระย้า
โจเซฟเดินตามภรรยาเข้าไปในห้องอาหารอันโอ่อ่าหรูหรา แสงเทียนจากโคมไฟส่องสว่างให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็กันเอง โต๊ะอาหารไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ถูกจัดเตรียมเก้าอี้สำหรับไว้สำหรับสองที่นั่ง บรรยากาศหวานชื่นกรุ่นกลิ่นอาหารหอมกรุ่น ราวกับฉากจากนิยายรัก
"วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ทานข้าวเสร็จไปแล้วค่ะ" รีเบคก้าบอกสามีที่ยืนเคียงข้าง ขณะเธอกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่
โจเซฟพยักหน้ารับ ไม่แปลกใจนัก เขารู้ดีว่าั้แ่เข้าร่วมกับหน่วยพิเศษ บางวันก็มีความจำเป็ต้องกลับบ้านดึก ทำให้เวลาอยู่กับครอบครัวไม่ค่อยตรงกัน
"ท่านทั้งสองคงเห็นว่าคุณยังไม่กลับ เลยทานไปก่อนแล้ว" รีเบคก้ายิ้มอ่อนโยน วางจานอาหารตรงหน้าสามีพร้อมกล่าว "ไม่เป็ไรค่ะ เรามาทานด้วยกันแค่สองคนก็ได้นะ"
โจเซฟส่งยิ้มให้ภรรยา ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามและหยิบส้อมขึ้นมาแทงเนื้อย่างบนจานเข้าปาก รสชาติอร่อยถูกใจผสานกับความอบอุ่นของบรรยากาศช่วยขับไล่ความอ่อนล้าจากการทำงานไปได้
"วันนี้...คุณดูเหนื่อยๆ นะคะ" รีเบคก้าถามสามีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย "งานยุ่งมากหรือเปล่า"
โจเซฟส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มจางผุดขึ้นบนใบหน้าที่แม้จะดูอ่อนล้าแต่ก็ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ เขาพยายามไม่ทำให้ภรรยาต้องเป็ห่วง
"ก็มีเื่ให้ต้องคิดหนักอยู่บ้าง แต่ไม่ต้องเป็ห่วง ผมไม่เป็อะไรมากหรอก" โจเซฟตอบ มือหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมาจิบเล็กน้อย รสฝาดขมนิดๆ ผสานกับความหอมหวานจากองุ่นชั้นดีช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้บ้าง
รีเบคก้ามองโจเซฟตาปรือด้วยแววตาเข้าใจ เธอรู้ดีว่าสามีกำลังปิดบังเื่บางอย่างเอาไว้ แต่นั่นก็เป็หน้าที่ของเขา เธอคงไม่อาจเซ้าซี้ถามได้
"ฉันเข้าใจค่ะ...แต่คุณก็อย่าฝืนตัวเองมากนะคะ" หญิงสาวบีบมือของสามีเบาๆ "สุขภาพของคุณก็สำคัญนะ"
โจเซฟมองรีเบคก้าตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก บีบมือบางของภรรยาตอบกลับอย่างแ่เบา ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเป็ห่วง พวกเขาสบตากันครู่หนึ่ง แววตาที่เห็นในกระจกหัวใจของกันและกันมีเพียงความรักที่มอบให้แก่กัน
เมื่อทานอาหารจนอิ่มหนำ รีเบคก้าลุกขึ้นยืนอาสาเก็บจานชามไปล้าง โจเซฟมองตามแผ่นหลังบอบบางของภรรยาด้วยความรู้สึกขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างเขาทุกเวลา
"ให้ผมช่วยนะ ที่รัก" โจเซฟเดินเข้าไปกอดรีเบคก้าตรงครัวจากด้านหลัง โน้มหน้าไปจูบแก้มเธอด้วยความรักอย่างอ่อนโยน
"ไม่เป็ไรค่ะ...ฉันจัดการเองได้" รีเบคก้าหันไปส่งยิ้มหวานให้สามี สายตาอ่อนหวานเอ่ยปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
"ผมอยากช่วยนะ" โจเซฟขอร้องเสียงนุ่ม ไม่พอใจนิดๆ ที่ถูกปฏิเสธ จนรีเบคก้าต้องหัวเราะคิกคักในท่าทางงอแงของสามี
"ถ้าคุณอยากช่วยขนาดนั้น...งั้นช่วยเช็ดจานแล้วเก็บให้เรียบร้อยด้วยนะคะ" เธอแกล้งบอกอย่างเอาจริง แต่แอบยิ้มข่มขันใส่
โจเซฟทำหน้ายิ้มแป้นให้ภรรยา "ก็ได้ ผมจัดการให้เอง" เขายักคิ้ว ก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดถ้วยชามแล้วเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อยอย่างขะมักเขม้น
ทั้งคู่ทำงานไปคุยกันไปด้วยความสนุกสนานราวกับเป็เื่ปกติที่เคยทำประจำ ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นและความหวานซึ้งให้กับคืนนี้ได้เป็อย่างดี
ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีเงาร่างหนึ่งกำลังยืนแอบมองคู่รักหนุ่มสาวอยู่ที่ขอบประตูห้อง เป็เลดี้อลิซ มารดาของโจเซฟนั่นเอง เธอกำลังแอบเฝ้าดูความสุขของลูกชายและลูกสะใภ้ ความปลาบปลื้มสุขใจฉายออกมาจากรอยยิ้มประทับใจบนใบหน้า
ทันใดนั้น หางตาของเลดี้อลิซก็เหลือบไปเห็นแสงไฟของเทียนที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ เธอจึงหันไปสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะพบว่า เป็หญิงรับใช้คนหนึ่งในคฤหาสน์ที่กำลังเดินถือเชิงเทียนมุ่งหน้ามาทางพวกเขา ใบหน้าของเธอดูอ่อนล้า ดวงตาอิดโรย ไหล่ห่อเหี่ยว
เลดี้อลิซจึงรีบเดินไปหาหญิงรับใช้อย่างไม่ทันให้สติด เธอยกมือห้ามเ้าหญิงรับใช้ด้วยสีหน้าจริงจัง บอกเป็นัยให้เธอรีบกลับไป รักษาความเงียบเอาไว้อย่าให้ใครรู้ตัว อย่ามารบกวนเวลาของคู่รัก แล้วเธอก็กลับมาที่จุดเดิมแอบมองโจเซฟกับรีเบคก้าต่อ
คนรับใช้มีสีหน้าสงสัยกับการกระทำของเลดี้ แต่ไม่กล้าถามอะไร เมื่อเห็นว่าโจเซฟกับรีเบคก้ากำลังทำงานเสร็จ เลดี้อลิซก็หลบออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้สองสามีภรรยาจับได้ว่ากำลังแอบมอง
เช้าวันรุ่งขึ้น...โจเซฟก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น เขามองภรรยาที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายด้วยความรักใคร่อ่อนโยน แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงไปแต่งกายเพื่อไปทำงาน
หลังจากทานอาหารเช้ากับครอบครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจเซฟก็เดินออกจากคฤหาสน์ไปยังโรงรถม้า คนรับใช้ประจำที่นั่นได้เตรียมรถม้าไว้ให้เขาพร้อมสรรพ โจเซฟขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วขับมุ่งหน้าไปรับชาร์ลส์ที่บ้านพักตามที่ได้นัดหมายกันไว้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้