เมื่อความตายใกล้เข้ามา หนิงเทียนก็คำรามลั่น กายาสุวรรณะนิรันดร์กำลังจะแตกสลายภายใต้แรงฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัว เส้นสีทองบนิัแตกร้าว โลหิตแดงฉานหลั่งริน
เฮ่อเจิ้งหยางเป็ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่าน ความแตกต่างระหว่างพวกเขามีมากเกินไป
ผู้ดูแลสำนักร้อยบุปผากรีดร้อง และใบหน้าของฉินเสี่ยวเยวี่ยก็มีความซับซ้อน
ผู้าุโของสำนักั์พฤกษาลอบหัวเราะคิกคัก ในที่สุดเด็กคนนั้นก็กำลังจะตาย
สำนักเชียนเฉ่าและสำนักทะยานเวหาเฝ้ามองอย่างเงียบงัน ชีวิตและความตายของหนิงเทียนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสำนักร้อยบุปผาถูกรุกรานโดยผู้บำเพ็ญหยวนซิว ทุกคนก็รู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย
“คุกเข่า!” เฮ่อเจิ้งหยางมองหนิงเทียนด้วยท่าทีสูงส่งและทรงพลัง มดเช่นนี้ไม่อาจดึงดูดสายตาเขาได้ ต้องให้คุกเข่าลงกับพื้นจึงจะถูกต้อง
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
ร่างกายของหนิงเทียนสั่นอย่างรุนแรง เืลมในร่างถูกเผาไหม้ อวัยวะทุกส่วนปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ กล้ามเนื้อและกระดูกคำรามลั่น แม้ิัของเขาจะปริแตก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และยังยืนนิ่งได้อย่างสมภาคภูมิ
ผู้ดูแลฝ่ายในาเ็สาหัส เขาจ้องหนิงเทียนด้วยความวิตกกังวลและโศกเศร้า
หนิงเทียนหนีไม่พ้นแล้ว ทว่าเขาไม่คิดแม้แต่จะร้องขอความเมตตา กระดูกของเขาแตกร้าว และดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“เป็เพียงมดยังหาญกล้าต่อต้านอาจารย์ของข้า นี่ไม่ต่างจากการแสวงหาความตายเลย!” หลานซานเยวี่ยด่าทอด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
“ไม่ยอมคุกเข่า เช่นนั้นก็ตายเสียเถิด!” เฮ่อเจิ้งหยางกดมือขวาลงมาอย่างไม่พอใจ พลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวทำให้เกิดเสียงกรีดร้องดังลั่น
หนิงเทียนคำรามอย่างไม่ยอมแพ้ต่อความโศกเศร้าและความโกรธ กายาสุวรรณะนิรันดร์กำลังจะพังทลายลงแล้ว
“ผู้ใดกล้ารังแกศิษย์ของข้า?”
ยามที่ทุกคนคิดว่าหนิงเทียนไม่รอดแล้ว ทันใดนั้น เสียงเ็าแฝงความแค้นเคืองอันท่วมท้นก็ดังไปทั่วเมืองไป่หลิง
ผู้ดูแลฝ่ายในของสำนักร้อยบุปผาใอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงนี้ จากนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็ความปีติยินดี!
ยอดฝีมือจากสำนักเชียนเฉ่า สำนักั์พฤกษา และสำนักทะยานเวหาต่างตกตะลึง หนิงเทียนยังมีอาจารย์อยู่อีกหรือ?
พายุโหมกระหน่ำ เวหาและพสุธาปั่นป่วน พลังที่เฮ่อเจิ้งหยางกระทำต่อหนิงเทียนก็พังทลายลงในพริบตา
พืชพรรณในเมืองไป่หลิงเปล่งประกายงดงาม ต้นไม้และเถาวัลย์เติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้เฝ้าดูการต่อสู้รอบจัตุรัสต่างคุกเข่าลง แล้วเริ่มกรีดร้องอย่างลนลาน
นอกจากหลานเซิ่งเจี๋ยและหลานซานเยวี่ยแล้ว เหล่ากองทัพของตระกูลหลานล้วนร่างะเิ สัตว์อสูรถูกไฟเผามอดไหม้ และส่งเสียงแหลมคมอย่างน่าสังเวช
สองพ่อลูกตระกูลหลานร้องคำราม ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความอัปยศ ิับนร่างปริแตก กล้ามเนื้อและกระดูกหักสลาย พร้อมหนังศีรษะที่เริ่มชา
สีหน้าของเฮ่อเจิ้งหยางเปลี่ยนไป เขาคำรามลั่น “ใคร? จงออกมา!”
ร่างของฉินเสี่ยวเยวี่ยสั่นเทา นางมองหนิงเทียนด้วยสายตาหวาดหวั่น ยามนี้นางกลัวแทบตายอยู่แล้ว
เขามีอาจารย์อยู่จริงๆ ทั้งยังเป็ผู้ที่น่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้อีกด้วย!
ร่างของหนิงเทียนเต็มไปด้วยเื เมื่อเสียงที่คุ้นเคยของอาจารย์ดังขึ้น ดวงตาของเขาก็เปียกชื้น
การเผชิญหน้ากับศัตรู เขายอมตายดีกว่ายอมจำนน แต่เมื่อนึกถึงยามที่ถูกรังแก ทั้งยังถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวจนไม่อาจทำสิ่งใดได้ ทำไมเขาจะไม่รู้สึกเสียใจเล่า?
มวลอากาศแยกออก เงาร่างดำราวสีหมึกข้ามห้วงมิติเวลาแล้วมาปรากฏข้างกายหนิงเทียน พร้อมทั้งกลืนกินแสงแห่ง์จนความสว่างทั่วทั้งเมืองค่อยๆ หายไป
ฟ้าดินร่ำไห้ ทุกสิ่งอย่างอยู่ในความตื่นตระหนก ขุมพลังที่ไม่อาจอธิบายได้เข้าปกคลุมสถานที่แห่งนี้ นอกจากหนิงเทียนและเฮ่อเจิ้งหยางแล้ว ทุกคนต่างก็นอนราบหรือไม่ก็นั่งคุกเข่ากับพื้น
เมื่อมองอาจารย์ของตน หนิงเทียนผู้แข็งแกร่งก็ถึงกับหลั่งน้ำตา ส่วนเฮ่อเจิ้งหยางก็มองผู้มาเยือนด้วยแววตาหวาดกลัว
“จะ...เ้าคือ...”
ดวงตาของเยี่ยหลิงหลานเยือกเย็นราวกับคมมีด และส่งเสียงพึมพำ “หยวนซิวขอบเขตเปลี่ยนผ่านขั้นแปด มาเพื่อรังแกศิษย์ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสอง ช่างเสียชื่อสำนักชื่อหยวนปังเหลือเกิน”
เฮ่อเจิ้งหยางรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงก้มศีรษะลงเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองของเยี่ยหลิงหลาน แล้วเอ่ยอย่างลังเล “ขะ...ข้า...”
“ข้าจะให้เ้าเลือกสองทาง สังหารตัวตายหรือให้ข้าลงมือ?”
คำพูดนี้แพร่กระจายไปทั่วเมือง ผู้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นต่างก็หวาดกลัว
เฮ่อเจิ้งหยางคือใคร?
เขาเป็หนึ่งในเก้ายอดฝีมือแห่งหอนักรบจากสำนักชื่อหยวนปัง ทั้งยังมีชื่อเสียงอันทรงเกียรติ ทว่าตอนนี้เยี่ยหลิงหลานกลับบอกให้เขาลงโทษตนเอง นี่ช่างน่ากลัวจริงๆ
ทันใดนั้นเฮ่อเจิ้งหยางก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ “อย่าเกินเลยไปนัก”
“เ้ารังแกศิษย์ของข้า คิดว่าตนจะสามารถกลับไปทั้งที่มีชีวิตได้อีกหรือ?”
พลังอันรุนแรงไม่ต่างจากเขาไท่ซานกดทับลงมาจาก้า ร่างเฮ่อเจิ้งหยางสั่นะเืและกระดูกคำรามจนแทบคุกเข่า
เฮ่อเจิ้งหยางแผดเสียงลั่น ก่อนจะมีบางอย่างลอยออกมาจากอ้อมแขนของเขา แล้วลุกเป็ไฟแตกสลายกลางอากาศ
เยี่ยหลิงหลานเห็นมันอย่างชัดเจนทว่าไม่คิดหยุดเขา นางหันกลับมามองหนิงเทียนแล้วยื่นมือออกมาบีบหน้าเขา พร้อมประกายแสงนุ่มนวลที่ส่องจากดวงตา
“ในฐานะบุรุษ ความปราชัยเล็กน้อยไม่อาจนับเป็สิ่งใดได้”
หนิงเทียนผลักมือของอาจารย์ออกไปแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่เด็กนะ ท่านอย่าบีบหน้าข้าสิ”
“เ้าอายหรือ? แต่อาจารย์เอ็นดูเ้านะ”
เยี่ยหลิงหลานหัวเราะเบาๆ โดยผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางซึ่งปกคลุมด้วยความมืดได้ มีเพียงหนิงเทียนเท่านั้นเห็นชัดเจน
“เอ็นดูข้า แล้วเหตุใดไม่มาให้เร็วกว่านี้?” หนิงเทียนจ้องมองอาจารย์อย่างขุ่นเคืองใจ
“ทุกครั้งที่ัักับชีวิตและความตายล้วนเป็การทดสอบจิติญญา เส้นทางแห่งการฝึกฝนจะต้องเดินด้วยตัวเอง เ้าไม่สามารถพึ่งพาอาจารย์สุ่มสี่สุ่มห้าได้ ไม่เช่นนั้นความสำเร็จในอนาคตของเ้าจะถูกทำลาย”
เยี่ยหลิงหลานพูดอย่างจริงจัง พร้อมลากปลายนิ้วไปตามใบหน้าของเขา พลังอันสง่างามหล่อเลี้ยงร่างกายของหนิงเทียน และช่วยรักษาอาการาเ็ภายในของเขาได้ทันที
หนิงเทียนไม่พอใจและรู้สึกว่าอาจารย์จะปรุงแต่งวาจาให้ดีเพียงใดก็ย่อมได้
ผู้ดูแลฝ่ายในของสำนักร้อยบุปผาพยายามลุกเดินไปหาเยี่ยหลิงหลาน ก่อนจะคำนับนางอย่างยิ่งใหญ่
“ไม่ต้องมากพิธีเ้าคนปลิ้นปล้อน เ้ารู้ว่าเขาเป็ศิษย์ของข้า เพราะเหตุนี้เ้าจึงพยายามอย่างหนักใช่หรือไม่?”
ผู้ดูแลเขินอายเล็กน้อย “ศิษย์...”
“ช่างเถอะ เห็นแก่ความพยายามของเ้า ข้าจะมอบยาจิติญญาบุปผาฤทัยสีหยกให้หนึ่งเม็ด”
“ขอบพระคุณอาจารย์อา” ผู้ดูแลฝ่ายในแห่งสำนักร้อยบุปผาดีใจมาก ขณะที่เหล่าผู้ดูแลและผู้าุโของสำนักเชียนเฉ่า สำนักั์พฤกษา และสำนักทะยานเวหาที่ได้ยินดังนั้นล้วนตกตะลึง
ยาจิติญญาบุปผาฤทัยสีหยก เป็ยาอายุวัฒนะชั้นยอดของสำนักวั่นจื๋อ ซึ่งสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของยอดฝีมือในขอบเขตเปลี่ยนผ่านได้อย่างมาก แม้มีเงินเป็หมื่นเหรียญทองก็ยากจะคว้ามาได้
หลังจากได้ยาอายุวัฒนะแล้ว ผู้ดูแลฝ่ายในก็เหลือบมองผู้คนที่คุกเข่าอยู่รอบตัวแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์อา คนเหล่านี้ล้วนเป็จื๋อซิว ท่านว่า...”
เยี่ยหลิงหลานบ่นเบาๆ ก่อนจะลดแรงกดดันจากพลังหลิงเทียนลง แล้วความกดดันบนหัวของทุกคนก็หายไปในทันใด
ครู่ต่อมา ยอดฝีมือจากสำนักเชียนเฉ่า สำนักั์พฤกษา และสำนักทะยานเวหาต่างก็ออกมาแสดงความเคารพนาง ยามนี้หลายคนเริ่มเดาตัวตนของเยี่ยหลิงหลานได้แล้ว
บรรดาผู้าุโสำนักั์พฤกษาหวาดกลัวมาก พวกเขาก้มศีรษะจนเกือบติดพื้น ด้วยเกรงว่าหนิงเทียนจะกล่าวถึงสิ่งเลวร้ายที่ตนกระทำให้เยี่ยหลิงหลานฟัง
“อาจารย์อา นี่คือตี๋เยี่ยนจวิน ศิษย์จากสำนักของเรา ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาเกินห้าหมื่นจินแล้ว...”
“อืม ไม่เลว พยายามได้ดี”
เยี่ยหลิงหลานมองตี๋เยี่ยนจวิน จากนั้นก็กลับมามองหนิงเทียนแล้วพูดว่า “หลังจากนี้ เ้าก็ควรลองเช่นกัน”
หนิงเทียนมองอนุสาวรีย์พฤกษาจิตหยั่งลึกด้วยดวงตาเร่าร้อน และตอบตกลงโดยไม่ลังเล
ผู้ดูแลสำนักทะยานเวหาตกตะลึง เด็กคนนี้อยู่ในจิตหยั่งลึกขั้นสองแต่อยากฝากชื่อไว้บนอนุสาวรีย์พฤกษาจิตหยั่งลึกหรือ?
ตี๋เยี่ยนจวินมองหนิงเทียนด้วยแววตาที่ซ่อนเร้นความดูถูก
เสิ่นซินจู๋ยืนอยู่ในระยะไกลและตื่นเต้นมาก การปรากฏตัวของเยี่ยหลิงหลานช่วยหนิงเทียนจากอันตราย ซึ่งผู้ที่มีความสุขที่สุดก็คือซิ่งอวี่เจวียนและเสิ่นซินจู๋
หลานซานเยวี่ยนอนอยู่บนพื้นด้วยความเกลียดชัง ดวงตามีเพียงความบ้าคลั่ง “ท่านอาจารย์...”
ทว่า เฮ่อเจิ้งหยางไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่ามได้อีก เขาหันกลับมาแล้วมองดูเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง
เขาคิดว่าหนิงเทียนเป็มดที่ไม่โดดเด่น คาดไม่ถึงว่าเขาจะต้องประสบปัญหาใหญ่ ส่งผลให้ยามนี้เขาไม่ต่างจากขี่หลังเสือแล้วยากจะลง[1]
ทันใดนั้นบนเส้นขอบฟ้าก็มีเปลวไฟลุกโชน เพลิงเมฆาแผดเผาท้องนภา และมุ่งหน้าตรงมายังเมืองไป่หลิง
สีหน้าของเฮ่อเจิ้งหยางสว่างวาบด้วยความหวัง ผู้ดูแลแห่งหอนักรบมาถึงแล้ว!
“เอาละ มาจัดการเื่ของเรากันก่อนจะดีกว่า”
เยี่ยหลิงหลานเหลือบมองหลานเซิ่งเจี๋ยและหลานซานเยวี่ยอย่างเ็า
“จงประกาศคำสั่งในนามข้า กวาดล้างตระกูลหลานแห่งจักรวรรดิเชียนซานเสียให้สิ้น!”
ผู้ดูแลและผู้าุโจากทั้งสี่สำนักตอบรับพร้อมกัน “ขอรับ!”
ท่าทางของหลานเซิ่งเจี๋ยเปลี่ยนไปมาก เขาส่งเสียงอย่างร้อนรน “ไม่...”
ทว่าหลานซานเยวี่ยกลับแผดเสียงต่อต้าน “เ้ากล้าดีอย่างไร?”
พลันเสียงคำรามดังมาจากท้องฟ้ากลางอากาศ
“ผู้ใดกล้าทำร้ายคนจากสำนักชื่อหยวนปังของข้า?”
เรือรบทองคำสีเพลิงล่องผ่านห้วงอากาศ แล้วปรากฏเหนือน่านฟ้าเมืองไป่หลิง ทั้งยังมีชายวัยกลางคนสวมเกราะสีแดงบนหัวเรือมองลงมาด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
เฮ่อเจิ้งหยางกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านผู้ดูแล! ในที่สุดท่านก็มา”
หนิงเทียนมองเรือรบทองคำสีเพลิง้าด้วยความประหลาดใจ
เรือลำนี้มีความยาวประมาณร้อยจั้ง มีแสงสีทองและสีแดงเพลิงเปล่งประกายไปทั้งลำ พร้อมสลักอักขระจำนวนมาก ปล่อยคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถบดขยี้ห้วงอากาศ และส่งแรงกระแทกไปทั่วทุกทิศ
ชายวัยกลางคนผู้สวมเกราะสีแดงคือผู้ดูแลหอนักรบของสำนักชื่อหยวนปังนามว่า เหยียนซิงป้า เขามีกลิ่นอายทรงพลัง ดวงตาคมดุจมีด มีอำนาจครอบงำแบบหนึ่งซึ่งปราศจากความโกรธเกรี้ยว
“ยอดฝีมือหอนักรบ เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” เสียงของเหยียนซิงป้าดังสะท้อนอยู่ในใจของทุกคนราวกับเสียงฟ้าคำราม
“ท่านผู้ดูแล หลานซานเยวี่ยลูกศิษย์ของข้ามาเพื่อล้างแค้นให้กับน้องชายของเขา ตระกูลหลานอดทนกับเื่นี้มานานแล้ว ทว่าอีกฝ่ายขอให้ข้าจบชีวิตตนเอง พวกเขาไม่เห็นสำนักชื่อหยวนปังในสายตาเลย”
เหยียนซิงป้าตวาดลั่น “จบชีวิตตนเอง? ช่างเป็คำพูดที่ยิ่งใหญ่เสียจริง! จื๋อซิวหยิ่งผยองจนกล้ารังแกสำนักชื่อหยวนปังของข้าั้แ่เมื่อใด? พวกมันไม่้าชีวิตอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ทุกคนบนพื้นหันมองร่างมืดมิดด้วยความสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
หนิงเทียนขมวดคิ้วพลางคิดว่า การวางตัวของหยวนซิวไม่เป็ที่น่าพอใจเลยจริงๆ
“ท่านอาจารย์ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สนท่านเลย”
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว อีกครู่พวกเขาทุกคนจะต้องคุกเข่าลงกับพื้นและขอร้องให้ข้าไว้ชีวิต”
“บังอาจยิ่งนัก! เ้าเป็ใคร? จงแจ้งนามมา!”
ความโกรธปกคลุมใบหน้าของเหยียนซิงป้า ห้วงอากาศบิดเบี้ยว รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วเมืองจนทุกคนเริ่มอึดอัด
“แค่การต่อสู้กับหอนักรบ เ้าไม่สมควรทราบนามของข้า จงออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ นี่เป็หนทางเดียวที่จะสามารถรักษาชีวิตสุนัขของเ้าไว้ได้ ไม่เช่นนั้นเ้าจะต้องเสียใจ” เสียงของเยี่ยหลิงหลานมีความหนาวเย็น อุณหภูมิทั่วทั้งเมืองลดลงอย่างรวดเร็ว
เหยียนซิงป้าหัวเราะด้วยความโกรธ “ช่างเป็สตรีที่หยิ่งยโสเสียจริง! ข้าอยากเห็นแล้วสิว่าเ้าจะมีความสามารถเพียงใด”
เหยียนซิงป้าเปิดฉากโจมตีอย่างกราดเกรี้ยว เรือรบทองคำสีเพลิงใต้เท้าปล่อยกระแสไฟอันประกอบด้วยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งสามารถเผาิญญาและผู้คนให้เป็เถ้าถ่านได้
เปลวเพลิงหมุนวนก่อนจะพุ่งเข้าหาเยี่ยหลิงหลาน เขาพยายามบังคับให้นางปรากฏตัวและ้าสอนบทเรียนให้นาง
“ในเมื่ออยากเห็น เช่นนั้นก็เปิดตาสุนัขของเ้าเสีย”
เยี่ยหลิงหลานเยาะเย้ยพร้อมจับเรือรบทองคำสีเพลิงด้วยมือขวา พลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวเกิดท่ามกลางห้วงอากาศปั่นป่วน ทั้งยังพุ่งเข้ากัดกร่อนทุกสิ่ง ดูดกลืนห้วงเวลา ทำให้ประกายแสงทองของเรือรบดับลง
เวลาต่อมา ห้วงอากาศในบริเวณที่เรือรบทองคำสีเพลิงตั้งอยู่ก็ะเิออก ฟากฟ้าถล่ม เสียงดังลั่นมาพร้อมเสียงคำรามและเสียงกรีดร้อง เรือรบทองคำสีเพลิงซึ่งเป็ตัวแทนของหอนักรบพังทลายลงทันที ยอดฝีมือหลายคนบนเรือถูกสังหารในพริบตาจนผืนพสุธาเปื้อนโลหิต
เหยียนซิงป้าคำรามอย่างดุเดือด ความสยดสยองปรากฏขึ้นในดวงตา เกราะบนร่างกลายเป็ผุยผง ิัทั่วทั้งตัวแตกออกจนร่างโชกเื พร้อมทั้งเกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดิน
เฮ่อเจิ้งหยางหวาดกลัวแทบตาย เขาไม่เชื่อสายตาตนเอง นั่นคือผู้ดูแลซึ่งเป็หัวหน้าของเหล่าผู้นำหอนักรบจากสำนักชื่อหยวนปัง และเป็วีรบุรุษผู้ทรงพลังในดินแดนหยวนซิง ใครจะคาดคิดว่าเขาจะจบชีวิตในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้
---------------------------------------
[1] ขี่หลังเสือแล้วยากจะลง (骑虎难下) หมายถึง เมื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วพบอุปสรรคใหญ่ แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด ไม่อาจหยุดกลางคันได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้