ทันทีที่คําพูดนี้ออกมา บนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เหยาซื่อเฟิงยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ
“อวี้เอ๋อร์เป็พี่ รังนกเพียงชามเดียวเหตุใดต้องมาแย่งกับน้องเล่า ช่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย เชียนเชียนเอ๋ย เ้ากินเองเสียเถิด”
มือของเหยาอวี้เอ๋อร์ที่กำลังจะยื่นออกไปจำต้องดึงกลับมา ใบหน้าฉายแววไม่พอใจ
ใช่แล้ว ก็แค่รังนกชามเดียวเท่านั้น ถ้าให้นางกินแล้วจะเป็อะไรไปเล่า ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อได้สิ่งนี้มาเมื่อใดกัน มันดูแตกต่างจากรังนกทั่วไปที่นางเคยกิน นางเองก็อยากลองชิมเช่นกัน
“ท่านพ่อกล่าวอะไรเช่นนั้นเล่า คนเป็น้องตามหลักก็ควรจะเคารพคนเป็พี่สิเ้าคะ” เหยาเชียนเชียนยกชามรังนกไปให้เหยาอวี้เอ๋อร์ด้วยตัวเองและแย้มยิ้ม “หากพี่หญิงชอบก็รับไปเถิด ั้แ่เล็กเราสองพี่น้องก็เป็เช่นนี้มาตลอด สิ่งใดที่พี่หญิงชอบ น้องไม่เคยตระหนี่ขี้เหนียวเลย”
“ขอบใจน้องหญิง”
เหยาอวี้เอ๋อร์รับชามมาราวกับเป็เื่ปกติธรรมดา นางลอบเหยียดหยามในใจพลางทอดมองใบหน้าที่ราวกับบ่าวทาสนั้นของเหยาเชียนเชียน ถึงแม้จะเป็พระชายาของชิงผิงอ๋องแล้วอย่างไร หมายจะได้รับชื่อเสียงอันดีในด้านการมีคุณธรรมและจิตใจกว้างขวางต่อหน้าท่านอ๋อง ช่างไม่ดูสถานะของตัวเองเอาเสียเลย
เป็เพียงลูกอนุจะสามารถมีมาดอันใดได้ แม้ว่าครั้งที่แล้วนางจะเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าชิงผิงอ๋อง แต่นางก็ทำให้ท่านอ๋องได้รู้แจ้งถึงความรู้สึกของนาง ท่าทางเสแสร้งนี้ของเหยาเชียนเชียนน่าจะคงอยู่ได้ไม่นานนักหรอก
“อวี้เอ๋อร์!”
เหยาซื่อเฟิงปั้นหน้าเ็า เขามองไปที่เป่ยเหลียนโม่ซึ่งยังคงมีท่าทีสงบสง่างาม จึงทำได้เพียงระงับไฟโทสะไว้เท่านั้น
“ต่อพระพักตร์ท่านอ๋อง เ้าจะไปแย่งสิ่งของกับน้องหญิงของเ้าได้อย่างไร น้องหญิงของเ้าสุขภาพไม่ดีนัก พ่อจึงได้เสาะหารังนกชามนี้กลับมา เ้ายังอยากจะแย่งกับนางอยู่อีกหรือ ระเบียบและมรรยาทเ่าั้ที่เคยร่ำเรียนเ้าเอาไปไว้ที่ใดเสียหมด ยังไม่วางลงอีก!”
เป่ยเหลียนโม่ดึงเหยาเชียนเชียนกลับมาเบาๆ เมื่อนางนั่งอยู่ข้างกายเขาเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“แค่รังนกชามเดียว เมื่อครั้งอยู่ที่จวนหวังเฟยก็ทานไปไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังมียาต้มชนิดต่างๆ ทุกวันไม่เคยขาด เจตนาอันดีของใต้เท้าเหยาหวังเฟยได้รับไว้แล้ว ส่วนรังนกชามนั้น ในเมื่อคุณหนูเหยาชอบ เช่นนั้นก็ทานไปเถิด ไม่สลักสำคัญขนาดนั้น”
เหยาอวี้เอ๋อร์ยิ้มอย่างเขินอาย ที่จริงแล้วชิงผิงอ๋องก็ไม่ถือว่าไร้เยื่อใยกับนางมากนัก จึงยกรังนกขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ พลางเหลือบมองเหยาเชียนเชียนแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขอบคุณเป่ยเหลียนโม่ด้วยตัวเอง
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ อันที่จริง่สองสามวันมานี้สุขภาพของอวี้เอ๋อร์ก็ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน แต่หลังจากได้ทานรังนกที่ท่านอ๋องพระราชทานให้ วันหน้าก็น่าจะแข็งแรงแล้วเพคะ"
นางเป่ารังนกในช้อนให้เย็นลงและทำท่าจะกิน เหยาซื่อเฟิงกัดฟันกรอดและอาศัยจังหวะที่ยังไม่มีผู้ใดทันตอบสนองยื่นมือไปปัดชามทิ้ง รังนกชามนั้นจึงตกแตกกระจายเป็เสี่ยงๆ อยู่บนพื้นเสียงดังก้อง
เหยาอวี้เอ๋อร์ถูกตบจนเซล้มลงบนพื้น นางมองไปยังเหยาซื่อเฟิงด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
“ท่านพ่อ...”
“เ้านี่มันช่างไม่รู้กาลเทศะเลยจริงๆ” เหยาซื่อเฟิงกล่าวเสียงเข้ม “ข้าถือศีลธรรมจรรยาในการควบคุมตระกูลมาเสมอ ผู้ใดจะคาดคิดว่าข้าจะมีบุตรสาวที่ไม่รู้จักมรรยาทประเพณี ทั้งยังตื้นเขินและโง่เขลาเช่นเ้า เด็กๆ ส่งคุณหนูรองกลับห้อง อย่าให้นางออกมาหากข้าไม่อนุญาต!”
ฮูหยินใหญ่รีบลุกขึ้นร้องขอความเมตตา เหยาซื่อเฟิงกวาดมองด้วยสายตาดุดัน
“หากเ้าอยากกลับห้องไปทบทวนตนเองด้วยก็ไปเองได้เลย ไม่ต้องพูดกับข้าให้มากความ”
ฮูหยินใหญ่ปิดปากทันที และกลับไปนั่งอีกครั้งอย่างอึดอัดใจ ปกติแล้วนายท่านจะรักอวี้เอ๋อร์มาก เหตุใดวันนี้เขาถึงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟเพียงเพราะนางอยากกินรังนกแค่ชามเดียว หรือว่าในอนาคตเหยาเชียนเชียนจะสามารถอาศัยชิงผิงอ๋องมาโอ้อวดอำนาจในจวนได้จริงๆ หรือ?
ใช่แล้ว ยามนี้นางคนต่ำผู้นั้นถูกย้ายกลับไปที่สุสานบรรพชนแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นในอนาคตเล่า หากในอนาคตชิงผิงอ๋องได้ขึ้นครองราชย์ เหยาเชียนเชียนก็จะพลอยมั่งคั่งรุ่งเรืองไปด้วย เช่นนั้นนางจะไม่ยกย่องนางคนต่ำที่เป็มารดาผู้ให้กำเนิดของนางด้วยหรือ
ฮูหยินใหญ่ยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่น และรู้สึกว่าการตบของเหยาซื่อเฟิงเมื่อครู่นี้ราวกับตบลงบนหัวใจของนาง นางอยากไปดูลูกสาว แต่ก็กลัวว่าหากไปแล้วนางจะพลาดเื่สำคัญบางอย่างไป ทำให้นางนั่งกระวนกระวายไม่น้อย
“เหตุใดท่านพ่อจะต้องโกรธด้วยเล่า” เหยาเชียนเชียนทอดถอนใจ “แค่รังนกชามเดียวเท่านั้น พี่หญิงอยากทานก็ให้ทานไปเถิด แม้แต่ท่านอ๋องเองก็ไม่ว่าอะไร ทว่าคราวนี้พี่หญิงกลับถูกตบไปโดยเสียเปล่า รังนกก็ไม่ได้ทานด้วยซ้ำ”
เหยาซื่อเฟิงยิ้มอย่างไม่แยแส กล่าวว่าโดยปกติเขาตามใจบุตรสาวคนนี้มาโดยตลอด ั้แ่อายุยังน้อยที่ไม่รู้ความใดๆ จนเวลานี้อายุมากแล้ว นางไม่สามารถเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ได้อีกแล้ว
“พี่หญิงของเ้าถูกข้าตามใจจนเสียผู้เสียคนแล้ว สมัยก่อนเ้าก็มักจะยอมให้นางเสมอ ยามนี้เ้าก็แต่งงานแล้ว จะปล่อยให้นางประพฤติตัวเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกต่อไป จะต้องควบคุมเสียบ้าง”
เช่นนั้นหรือ? เหยาเชียนเชียนเหลือบมองรังนกบนพื้นพลางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เหยาอวี้เอ๋อร์เป็แก้วตาดวงใจของของเหยาซื่อเฟิงมาโดยตลอด แม้ว่าจะคอยดูแลนางให้อยู่ในกรอบ ทว่าแรงตบวันนี้ก็ค่อนข้างหนัก
ทุกอย่างประเดประดังเข้ามา ทั้งย้ายหลุมศพทั้งอาหารบำรุง เอาอกเอาใจเพื่อหวังผลประโยชน์ หากไม่สับปลับก็ต้องลักขโมย ไม่รู้ว่าเหยาซื่อเฟิงกำลังวางแผนใดอีก
หลังจากเหยาอวี้เอ๋อร์เอะอะโวยวายเช่นนั้น บนโต๊ะอาหารก็ไม่มีผู้ใดส่งเสียงตามอำเภอใจอีก มีเพียงเป่ยเหลียนโม่ที่คอยตักอาหารให้หวังเฟยของเขาอย่างขันแข็ง ทำให้คนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมีความคิดที่แตกต่างออกไป
ดูท่าว่าชีวิตของเหยาเชียนเชียนในจวนชิงผิงอ๋องจะเป็ไปได้ด้วยดี ไม่มีผู้ใดเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของชิงผิงอ๋องมาก่อน ส่งผลให้พวกเขาแยกแยะไม่ออกไปชั่วครู่ว่าผู้ใดเป็ฝ่ายถูกมอมเมากันแน่
เหยาเชียนเชียนทรยศองค์ชายสามเพราะฟังคำของเป่ยเหลียนโม่ หรือว่าเป่ยเหลียนโม่รักนางหลงนางในทุกๆ ทางเพราะฟังคำของเหยาเชียนเชียน
“เชียนเชียน หลังทานอาหารเสร็จเ้าไปดูหลุมศพที่เตรียมไว้แล้วกับพ่อนะ” เหยาซื่อเฟิงกล่าว “พ่อขอให้คนไปทดสอบทำเลซึ่งมีฮวงจุ้ยดีไว้แล้ว และยังสามารถช่วยปกปักรักษาเ้าได้เช่นกัน เ้าจะได้ไปจุดธูปคารวะด้วย”
“เ้าค่ะ ย่อมไปอย่างแน่นอน”
เหยาเชียนเชียนมองไปที่เป่ยเหลียนโม่แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องไปกับหม่อมฉันนะเพคะ”
“ในเมื่อเป็มารดาของหวังเฟย เปิ่นหวังย่อมต้องไปด้วย”
ดวงตาของเหยาซื่อเฟิงเป็ประกายวาบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหารโดยไม่พูดอะไร มีเพียงฮูหยินใหญ่เท่านั้นที่บีบตะเกียบในมือแน่น เป็เพียงหญิงขับร้องชั้นต่ำ ไม่คิดเลยว่ายังกล้าเชิญชิงผิงอ๋องไปสักการะได้อีก หากบุตรสาวของนางได้เป็หวังเฟย เช่นนั้นจะมีเกียรติมากเพียงใด
พวกเขาไปที่สุสานบรรพชนของตระกูลเหยาด้วยกัน ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงดังเอะอะมาจากทางด้านหนึ่ง เหยาเชียนเชียนเห็นคนสองสามคนกำลังดึงลากหญิงสาวนางหนึ่ง จึงสั่งให้คนเข้าไปตำหนิทันที
“บังอาจ ท่านอ๋องและหวังเฟยก็อยู่ที่นี่ เหตุใดพวกเ้าถึงทำเสียงดังอึกทึกเช่นนี้!”
หญิงสาวอายุราวสิบหกหรือสิบเจ็ดปีวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา เมื่อเห็นเหยาเชียนเชียนก็คุกเข่าลงพร้อมกับโขกศีรษะทันที และกล่าวว่านางเป็ลูกสาวของคนดูแลที่นี่ บิดาของนางเสียชีวิตด้วยอาการป่วยเมื่อสองวันก่อน ตามหลักแล้วศพก็ควรจะถูกฝังไว้ที่มุมหนึ่งของสุสานแห่งนี้เพื่อดูแลสุสานต่อไป
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง มีคนมาที่นี่ั้แ่เช้า แจ้งว่าที่ฝังบิดาของหม่อมฉันไม่ดีต่อฮวงจุ้ย ดังนั้นจึงขอให้หม่อมฉันขุดศพบิดาออกไปฝังที่อื่น หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง บิดาของหม่อมฉันตายไปแล้ว ไม่อาจไปรบกวนผู้ใดได้แล้วจริงๆ เพคะ ยิ่งไปกว่านั้น บิดาเฝ้าดูแลที่นี่มาตลอดชีวิต เขาจะสามารถไปที่ใดได้อีกเล่าเพคะ?”
ตามกฎของตระกูลเหยา เมื่อคนดูแลสุสานเสียชีวิตไปแล้วก็ต้องถูกฝังไว้ในสุสานนี้เช่นเดียวกัน เพื่อให้คอยเฝ้าดูแลสุสาน และทายาทของคนผู้นั้นก็ต้องรับ่ต่อจากรุ่นก่อนหน้า รั้งอยู่ดูแลสุสานต่อไป
แม้ว่าเหยาเชียนเชียนจะไม่ค่อยเข้าใจความงมงายประเภทนี้ แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวร้องไห้อย่างน่าสงสารก็รู้สึกว่าไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้เลยจริงๆ
“ผู้ตายนั้นมีเกียรติ ควรได้พักผ่อนอย่างสงบ” นางมองไปทางเหยาซื่อเฟิง “ในเมื่อศพถูกฝังไปแล้ว หากไปรบกวนอีกก็คงไม่ดีนัก ท่านแม่เป็คนมีน้ำใจดีมาโดยตลอด และคงไม่ยินยอมให้ตนเองสร้างปัญหาแก่ผู้อื่น เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็สถานที่อื่นเถิดเ้าค่ะ ถึงอย่างไรสุสานแห่งนี้ก็กว้างใหญ่ยิ่งนัก”
เหยาซื่อเฟิงยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยคำใด หญิงสาวที่อยู่ด้านนั้นก็คำนับด้วยซาบซึ้งในพระคุณเสียก่อนแล้ว
“ขอบพระทัยหวังเฟยเหนียงเหนี่ยง!”
เหยาเชียนเชียนเห็นว่าคนตรงหน้ายังเด็ก นอกจากนี้ยังเป็สตรี หากต้องรั้งอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตก็น่าสงสารเกินไป นางจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เ้าชื่ออะไรหรือ?”
“บ่าวชื่อเป่าหวาเพคะ”
เหยาเชียนเชียนเอ่ยออกเสียงสองครั้ง รู้สึกว่าชื่อนี้ฟังแล้วรื่นหูดีเหลือเกิน นางมองไปทางเหยาซื่อเฟิงแล้วกล่าวว่า “แม่นางผู้นี้ดูเฉลียวฉลาด รั้งทำงานอยู่ที่นี่ก็น่าเสียดายอยู่บ้าง มิสู้ท่านพ่อเปลี่ยนงานให้นางดีหรือไม่”
แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว แน่นอนว่าเหยาซื่อเฟิงย่อมรับปาก เขาสั่งให้บ่าวไพร่พาตัวนางไป และกำชับว่าต้องหางานเบาๆ ให้นางทำด้วย เหยาเชียนเชียนพยักหน้า ก่อนจะเดินวนไปวนมาตามทุกคนอยู่สองรอบ เมื่อกำหนดหลุมฝังศพใหม่ของมารดาได้แล้วจึงเดินทางกลับจวนตระกูลเหยา
“ท่านอ๋อง ระหว่างทางกลับเอาขนมกลับไปฝากอาเหยียนด้วยสิเพคะ นานๆ ทีจะได้ออกมาข้างนอกสักครั้ง”
เป่ยเหลียนโม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนพูดคุยกระซิบกระซาบกันโดยไม่สนใจเหยาซื่อเฟิงและฮูหยินใหญ่ ราวกับว่ากิจอันเป็เหตุให้มาในครั้งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาสองคนก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ แล้ว
เสียง ‘พลั่ก’ ดังขึ้น ระคนไปกับเสียงด่าทอของเหยาอวี้เอ๋อร์และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ กลุ่มคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในจวนจึงได้ยินเสียงวุ่นวายดังไปทั่ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
เหยาซื่อเฟิงเดิมทีก็หายใจไม่ทั่วท้องอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงดังวุ่นวายก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก
พ่อบ้านเข้ามารายงาน เขามองไปยังเหยาเชียนเชียนอย่างลำบากใจ และกล่าวว่าหญิงสาวที่เพิ่งถูกส่งกลับมาเดิมทีจะให้รับใช้คุณหนูรอง แต่เมื่อคุณหนูรองได้ยินว่าเป็ความประสงค์ของหวังเฟยจึงพลันไม่พอใจขึ้นมา
“สตรีผู้นั้นเองก็ทั้งกระด้างและโง่เขลา คาดว่าไม่สามารถรับใช้คุณหนูรองได้ดีเป็แน่” พ่อบ้านพยายามกล่าวเสริม “ผู้น้อยจะจัดสรรงานอื่นให้นางพ่ะย่ะค่ะ”
เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้ว ตามหลักแล้วงานรับใช้คนในจวนเป็งานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และนั่นเป็งานที่สบายที่สุดแล้วจริงๆ พ่อบ้านน่าจะตั้งใจไว้เช่นนี้ั้แ่แรก ทว่าเหยาอวี้เอ๋อร์เกลียดชังนางเข้ากระดูก แน่นอนว่าต้องไม่ชอบคนที่นางช่วยไว้ไปด้วย
“พี่หญิงเป็คุณหนูรองของที่จวน บ่าวไพร่มากมายวอนขออยากรับใช้แต่ก็ไม่ได้มีวาสนานั้น ข้าไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นั้นจะรับใช้ได้ไม่ดี เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
นางไม่กล้าปล่อยให้เป่าหวารั้งอยู่กับเหยาอวี้เอ๋อร์แล้ว เมื่อได้รู้ว่านางเคยดูแลเป่าหวามาก่อน เหยาอวี้เอ๋อร์จะไม่รังแกแค่นางคนเดียวแน่
พวกเขาพูดคุยกันไปตลอดทางจนมาถึงเรือนของเหยาอวี้เอ๋อร์ เป่าหวาไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียด้วยซ้ำ นางคุกเข่าอยู่ท่ามกลางเศษเครื่องลายครามที่แตกหัก และมีเืซึมออกมาจากกระโปรง
“นางคนต่ำ คิดว่านางช่วยเ้าพูดไม่กี่ประโยคแล้วจะวิเศษวิโสมากแล้วหรือ เป็เพียงคนชั้นต่ำ ล่อลวงท่านอ๋องแล้วยังกล้าเอาหน้ามาให้ข้าเห็นอีก พวกเ้ายืนเซ่อทำอะไรอยู่ ตีนางแรงๆ สักยกสิ!”
เหยาเชียนเชียนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วสองก้าว นางผลักสาวใช้าุโที่กำลังจะลงโทษเป่าหวาออกไป และกล่าวเสียงเย็นว่า “ทำอะไรของเ้า!”
เหยาอวี้เอ๋อร์ไม่คิดว่าพวกเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นเป่ยเหลียนโม่ลูกตาของนางก็แทบจะถลนออกมา ทั้งร่างราวกับจะไหลลงมาจากเก้าอี้ นางรีบคุกเข่าลงอย่างลนลาน
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง...พระองค์เสด็จมาที่นี่ได้อย่างไรเพคะ” นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “อวี้เอ๋อร์เพียงแค่โมโหสาวใช้ผู้นี้ นางไม่รู้ระเบียบใดเลยจริงๆ ดังนั้นอวี้เอ๋อร์จึงสั่งให้คนลงโทษนางเล็กน้อยเพคะ...”
เหยาเชียนเชียนปลอบโยนเป่าหวาพลางยืนขึ้นมาอย่างช้าๆ หญิงสาวผู้นี้เจ็บเสียจนหน้าไร้สีเื ทว่ายังคงไม่กล้าทิ้งน้ำหนักร่างกายลงมา นางแก้ต่างให้ตัวเองแ่เบา
“คุณหนูรองบอกว่าบ่าวเป็คนที่หวังเฟยส่งมา จะต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน แต่บ่าวยังไม่ได้ทำอันใดเลย ยามที่ถูกพามาก็ต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่ แล้วจะล่วงเกินคุณหนูได้อย่างไรเล่า?”
เหยาอวี้เอ๋อร์ก่นด่าอย่างรุนแรง “นางบ่าวชั้นต่ำ เ้ากล้าใส่ร้ายข้าหรือ!”
“ใส่ร้าย?” เหยาเชียนเชียนยิ้มเย็น “เช่นนั้นพี่หญิงช่วยอธิบายสิ่งที่ข้ากับท่านอ๋องได้ยินยามที่เข้ามาหน่อยสิ ผู้ใดคือคนต่ำ ผู้ใดล่อลวงท่านอ๋องจนทำให้พี่หญิงบันดาลโทสะเช่นนั้น หวังเฟยเช่นข้าจะได้ระวังให้มากขึ้นด้วย”
เชิงอรรถ
[1] ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว เป็กลยุทธ์อย่างหนึ่ง โดยเมื่อฝ่ายที่มีความเข้มแข็งมากกว่า หรือแคว้นที่มีกองกำลังทหารภายใต้สังกัดมากมาย ข่มเหงรังแกแคว้นเล็กหรือผู้ที่มีกำลังทหารน้อยกว่า ควรที่จะใช้วิธีการตักเตือนให้เกิดความเกรงกลัวและยำเกรง หากแสดงความเข้มแข็งให้ได้ประจักษ์ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่อ่อนแอกว่า ถ้าหาญกล้าใช้ความรุนแรง ก็จะได้รับการยอมรับนับถือจากผู้ที่อ่อนแอกว่า
