อาจารย์กู้เห็นหรงจ้านยืนแอบฟังอยู่ด้านข้าง ทั้งยังเป็การแอบฟังอย่างเปิดเผย ก็เอ่ยว่า "ทำเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง"
หรงจ้านเลิกคิ้ว ย้อนถามกลับ "สิ่งใดเรียกว่าดี สิ่งใดเรียกไม่ดี ท่านได้ยินหรือว่าพวกนางคุยอะไรกัน?"
เขาหันหลังผละจากไปอย่างเยือกเย็น
"ข้าเป็บัณฑิตย่อมไม่ได้ยิน แต่เ้าเป็คนฝึกยุทธ์ ความสามารถในการได้ยินเป็เลิศ ด้วยระยะห่างเท่านี้ เป็ธรรมดาที่จะได้ยินพวกนางคุยกันมิใช่หรือ จะว่าไป่นี้เ้าก็มาค่อนข้างถี่ ทำเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ข้าไม่ชอบให้ใครมาจดๆ จ้องๆ ลูกศิษย์ข้าตาเป็มัน" อาจารย์กู้ยังคงสงบนิ่ง
หรงจ้านหยุดเท้า หัวเราะเยาะหยัน "คนรูปงามความสามารถเหลือล้นเช่นข้า จำเป็ต้องมาจดๆ จ้องๆ ลอบมองผู้อื่นด้วยหรือ คำกล่าวของท่านฟังแล้วขัดหูยิ่งนัก" เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ดวงหน้ายิ้มเ็าลงหลายส่วน "หรือข้าต้องเอาเยี่ยงอย่างคนตัวเปล่าเล่าเปลือยเช่นท่าน"
อาจารย์กู้มุมปากกระตุก แต่ดูเหมือนว่าจะชินกับแนวทางการพูดของหรงจ้านแล้ว "อย่างน้อยข้าก็ไม่วิปริตถึงขั้นมาถ้ำมองแม่นางน้อยที่ยังเด็กเพียงนี้" เขาเอ่ยเรียบๆ
หรงจ้านหัวเราะหึๆ "ข้าพอใจ มีอะไรหรือเปล่า?"
อาจารย์กู้ "ข้าเป็ตัวแทนของทุกคนในครอบครัวเหยียดหยันการกระทำของเ้า"
หรงจ้านมองอาจารย์กู้ั้แ่หัวจรดเท้า รู้สึกว่าคนผู้นี้ต้องป่วยแน่ๆ "ทุกคนในครอบครัว? ทั้งครอบครัวก็มีแต่ท่านคนเดียวมิใช่หรือ?"
อาจารย์กู้เป็คนเช่นนี้เอง เขาสอนหนังสือมาสิบกว่าปี ั้แ่ภรรยาเสียชีวิตไปก็ไม่แต่งงานใหม่ บุตรข้างกายไม่มีสักคน แต่ไรมาจึงเห็นลูกศิษย์เหมือนเป็บุตรของตนเอง การกระทำของหรงจ้านทำให้เขารู้สึกขวางหูขวางตา
หรงจ้านมองเขาปราดหนึ่ง "จะว่าไป ข้ารู้สึกว่า่นี้ท่านดูเหมือนจะว่างมาก"
"เ้าอย่าหางานมาให้ข้า" อาจารย์กู้มีท่าทางหวาดระแวงขึ้นมา หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "เื่เกี่ยวกับหอน้ำชาเจ็ดสมบัติที่เ้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ มีวี่แววอันใดบ้างหรือยัง?"
"นายใหญ่ที่อยู่เื้ัหอน้ำชาเจ็ดสมบัติคือฝ่าา ฉีจือโจวเป็เพียงแค่ผู้แทนตามกฎหมายเท่านั้น ดูท่าสาเหตุที่ฝ่าาทรงพระราชทานสมรสให้ไท่ไท่สามคงไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของซูซานหลางซึ่งเป็ศิษย์น้อง แต่น่าจะเป็เพราะอาจารย์ฉีกับฉีจือโจวมากกว่า" หรงจ้านกล่าวช้าๆ
อาจารย์กู้คิ้วขมวด หลังจากนั้นก็สงวนวาจา
ใครๆ ต่างก็นึกว่าฝ่าาเห็นแก่มิตรภาพ ถึงพระราชทานสมรสให้เมื่อซูซานหลางมาทูลขอ ใครเล่าจะคาดคิด คนเก่งกล้าที่แท้จริงคือสองพ่อลูกสกุลฉีที่สงวนถ้อยคำมาโดยตลอดต่างหาก พวกเขาทำงานไม่เคยมีข่าวรั่วไหลออกมาแม้แต่น้อย
"ยามอาจารย์ข้ายังมีชีวิตอยู่ก็ใช้คำบรรยายถึงอาจารย์ฉีว่าคนยิ่งแก่ยิ่งเ้าเล่ห์ ม้ายิ่งแก่ยิ่งรอบจัด ตอนนี้มานึกดู ก็น่าสนใจไม่น้อย"
หรงจ้านไม่พูดมากไปกว่านั้น เขามองหิมะโปรยปรายลงมา แล้วเอ่ยเสียงเรียบ "แม่ทัพิ่กลับมาครานี้ คงมีงิ้วโรงใหญ่ให้ชมอีกครา"
เนื่องจากหิมะตก วันนี้สำนักศึกษาจึงให้เลิกเรียนเร็ว เฉียวเยว่เปรยว่า "ข้าไม่รังเกียจเลยหากจะมีวันแบบนี้สักหลายๆ วัน"
คนสองสามคนที่เดินมาด้วยกันต่างหัวเราะ "เ้าตรงไปตรงมายิ่งนัก"
อีกครึ่งเดือนก็จะปิดภาคเรียนฤดูหนาวแล้ว
"อันที่จริงอยู่บ้านทั้งวันก็น่าเบื่อ แต่อากาศหนาวพานให้ไม่อยากลุกจากเตียงจริงๆ" เฉียวเยว่กล่าว
นางเคยชินกับการพูดแกมกระเง้ากระงอด
"เบื่อก็มาเที่ยวบ้านข้าสิ" ฉินอิ๋งเสนอ
นางหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วหัวเราะ "อันที่จริงข้าไปหาเ้าก็ได้" นางขบริมฝีปาก แล้วเอ่ยอีกว่า "ข้าไปหาเ้าได้หรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ย่อมได้สิ"
ฉินอิ๋งดีใจขึ้นมาทันควัน แท้จริงแล้วในหมู่สหายร่วมเรียน ทุกคนต่างรู้ว่าฉินอิ๋งชอบฉีอันมาโดยตลอด นางแสดงออกค่อนข้างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นทุกคนกลับไม่คิดว่านางจะสมหวัง ฉีอันเป็คนรักและปกป้องญาติมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉียวเยว่พี่สาวแท้ๆ ของตนเอง เมื่อก่อนนี้ฉินอิ๋งเคยมีเื่มีราวกับเฉียวเยว่มาก่อน แม้ว่าเฉียวเยว่จะไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ฉีอันกลับตรงข้าม เขาค่อนข้างเ็ากับฉินอิ๋ง ไม่ใช่ว่าทุกคนคิดมากไป แต่เป็เช่นนี้จริงๆ เมื่อเทียบกับสหายร่วมเรียนคนอื่นๆ ปฏิกิริยาที่เขามีต่อฉินอิ๋งค่อนข้างชัดเจน
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันปิดเรียนภาคฤดูหนาว ซึ่งปรกติแล้วจะหยุดกันสองเดือนเต็ม จู่ๆ ก็ว่างกะทันหัน เฉียวเยว่รู้สึกไม่คุ้นชินอย่างมาก
แต่ไม่ช้าท่านหญิงฉางเล่อก็ส่งเทียบเชิญมา ฉีอันไม่มีความรู้สึกดีต่อหรงฉางเกอเท่าไร เขาเอ่ยว่า "อยู่ดีๆ ก็มีไมตรีจิต หากมิใช่คนกลิ้งกลอกก็ต้องเป็โจร เ้าอยู่ห่างจากนางหน่อยดีกว่า"
เฉียวเยว่หัวเราะ ตอบกลับไป "ไม่จำเป็กระมัง? นางสามารถกินข้าได้หรือไร?"
ย่อมไม่ถึงขั้นกินลงไป แต่ท่านหญิงผู้นี้ใจร้ายจริงๆ
"แล้วเ้าจะไปหรือ?" ฉีอันถาม
เฉียวเยว่ย้อนถามกลับ "ข้าไม่ไปได้หรือ?" หลังจากนั้นก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า "เ้าไม่ต้องเป็ห่วง แค่ไปเที่ยวเล่นเท่านั้นเอง ไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่อันใด"
คำตอบนี้แสดงว่าไป
ฉีอันเม้มปาก รู้สึกวิตกเล็กน้อย "ข้าไปเป็เพื่อนดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก "ผู้อื่นมิได้เชิญเ้า เ้าจะไปทำไม ไม่เป็ไรหรอก วางใจเถอะ ข้าไปกับโม่หลัน ถึงอย่างไรก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อีกอย่างถึงแม้หรงฉางเกอจะเอาแต่ใจ แต่่นี้พฤติกรรมของนางดีขึ้นมาก ข้ากับนางเป็สหายร่วมเรียนกันมานาน ความสัมพันธ์พอใช้ได้"
"นางไม่มีหัวคิด จะทำอันใดออกมาบ้างก็สุดรู้ได้" ฉีอันท่าทางจริงจัง
เฉียวเยว่มองน้องชายของตนอย่างพินิจ พลันรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มผู้สุภาพเรียบร้อยอันใดเลย แท้จริงแล้วเขาค่อนข้างปากร้าย เฉียวเยว่ตรองดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่รู้ว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจากผู้ใด
นางพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะไม่นึกถึงพี่จ้าน
กระซิกๆ
"ไม่เป็ไร เ้าวางใจเถอะ ก็แค่สหายร่วมเรียนไม่กี่คนเท่านั้นเอง"
มิใช่ว่าเฉียวเยว่หลับหูหลับตามองโลกในแง่ดี ตอนแรกนางก็ไม่เข้าใจหรงฉางเกอมากนัก แต่ถึงอย่างไรก็เรียนร่วมกันมาสองปีแล้ว กล่าวได้ว่ารู้นิสัยใจคอของคนผู้นี้ว่าเป็เช่นไร
วันต่อมานางเปลี่ยนเป็เสื้ออ่าวสีเขียวเข้ม สวมทับด้วยเสื้อคลุมกันลมตัวใหญ่สีม่วงอ่อน ขับเน้นความหรูหรามีระดับอย่างเต็มที่
"ควรเป็เช่นนี้แหละ จะเอาจวนอ๋องไปเทียบกับที่อื่นไม่ได้ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม" ไท่ไท่สามเอ่ย
นางกำชับเฉียวเยว่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าออกไปข้างนอกอย่าเอาแต่ใจเกินไปจนทำให้เกิดปัญหา
เฉียวเยว่อมยิ้มรับปาก
เมื่อคืนหิมะตกอีกรอบ วันนี้พื้นถนนค่อนข้างลื่น เฉียวเยว่นึกถึงการปั้นตุ๊กตาหิมะกับการเล่นปาหิมะของยุคปัจจุบัน น่าเสียดายที่่วัยตอนนี้ของนางไม่เหมาะสมที่จะเล่นเยี่ยงนั้นอีกแล้ว หากไม่ต้องโตตลอดไปเสียก็ดี
"วันแบบนี้ กินหม้อไฟร้อนๆ ดีที่สุด" นางบ่นพึมพำ
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะออกมา "คุณหนูนี่น่ารักจริงๆ"
เฉียวเยว่เชยคางของอวิ๋นเอ๋อร์ "รู้สึกว่าข้าดีมาก น่ารักมากใช่หรือไม่?"
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะพรืดออกมา
ช่างเป็เด็กซุกซนจริงๆ
ตอนแรกเฉียวเยว่นึกว่ามีแต่สหายร่วมชั้นในสำนักศึกษา แต่ไม่คิดว่าจะได้พบองค์หญิงหรงเหยียน พอเห็นสีหน้าหรงฉางเกอไม่สู้ดีนัก เฉียวเยว่ก็คาดคะเนว่าอีกฝ่ายคงมาโดยมิได้รับเชิญ
แม้ไม่รู้สาเหตุ แต่นางยังคงถวายบังคมอย่างสง่าผ่าเผย หลังจากนั้นก็ไปนั่งข้างโม่หลัน
หรงเหยียนมองประเมินเฉียวเยว่ นับจากที่เคยพบกันคราก่อนก็เป็เวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว แม้แต่่ที่คณะทูตซีเหลียงเดินทางมาเมืองหลวง พวกนางสองคนก็ไม่ได้พบกัน ปรกติแล้วนางมักถือสาเื่ขาของตนเอง จึงไม่ยินดีปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากมาย นับประสาอันใดกับคณะทูตซีเหลียงที่เป็ยิ่งกว่าคนนอก
ได้ยินว่าตอนนั้นซูเฉียวเยว่โดดเด่นเป็พิเศษ หรงเหยียนมองนางั้แ่หัวจรดเท้า ก็เห็นความสดใสเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาของนาง
นอกจากหรงเหยียน ก็ยังมีสวี่ม่านหนิงที่ไม่พบหน้ากันมานานแล้ว ั้แ่ฮ่องเต้ทรงทำให้ตระกูลสวี่สูญสิ้นหน้าตาและศักดิ์ศรีเป็ต้นมา สวี่ม่านหนิงก็ไม่ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนนานแล้ว ครานี้จึงทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
เฉียวเยว่ไม่แยแสสวี่ม่านหนิงมากนัก แม้ว่ามารยาทที่ควรมียังต้องมีอยู่ แต่นางไม่คิดจะคบค้าสมาคมด้วย สตรีผู้นี้แสดงตัวชัดเจนว่า้าแย่งชิงสามีพี่สาวของนาง ทั้งยังจงใจทำให้ครอบครัวของพวกเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนงานอภิเษกสมรส นางหาใช่คนประเภทที่จะยิ้มหน้าระรื่นให้กับคนพรรค์นี้
ทุกคนต่างมองพิจารณาซึ่งกันและกัน หรงเหยียนหัวเราะเนิบๆ พลางเอ่ยเสียงเบา "ไม่ได้พบกับคุณหนูเจ็ดสกุลซูนานแล้ว ยิ่งโตเป็สาว ก็ยิ่งดูน่ารักสดใส"
"องค์หญิงทรงชมเกินไปแล้ว กลับเป็ท่านเสียอีกที่ดูเหมือนจะงดงามยิ่งกว่าเดิม" เฉียวเยว่ตอบกลับทันที
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่กลับไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น
หรงเหยียนหัวเราะอีกครา "น้องสาวยังคงปากหวานไม่เปลี่ยน"
ั้แ่ประจบสอพลอองค์หญิงหรงเหยียนติด สวี่ม่านหนิงก็แทบจะไม่มาหาหรงฉางเกออีกเลย นางย่อมรู้สึกขัดหูขัดตาเมื่อเห็นนาง มีสิ่งใดจะเจ็บยิ่งกว่าการถูกสหายทรยศหักหลัง แต่นางย่อมไม่ชักสีหน้าใส่สวี่ม่านหนิงต่อหน้าหรงเหยียน ทว่าลอบขึงตาใส่ไม่หยุดอย่างลับๆ
สวี่ม่านหนิงไหนเลยจะไม่รู้ แต่นางไม่อาจพูดออกไปตรงๆ ว่าองค์หญิงใช้ประโยชน์ได้มากกว่าท่านหญิง
นางทำเป็พูดคล้อยตาม "คุณหนูเจ็ดสกุลซูเฉลียวฉลาดน่ารักมาแต่ไหนแต่ไร ทุกคนล้วนชมชอบทั้งสิ้น ข้ายังเคยได้ยินคำชื่นชมอยู่หลายหน"
เฉียวเยว่มองนางปราดหนึ่ง ก่อนยิ้มน้อยๆ แต่ไม่เอ่ยคำใด
ต่อให้เป็จวนอ๋อง เฉียวเยว่ก็ไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่าย สวี่ม่านหนิงเองก็ไม่นึกว่าซูเฉียวเยว่จะทำตัวเป็เด็กขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็มากับองค์หญิง การกระทำเช่นนี้แสดงถึงความเอาแต่ใจอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยอีกว่า "หลายวันก่อนพบกับชายารัชทายาทโดยบังเอิญ มองอยู่ไกลๆ นึกว่าเป็คุณหนูเจ็ดสกุลซูเสียอีก พวกท่านสองพี่น้องหน้าตาคล้ายคลึงกันจริงๆ มิน่าเล่ายามรัชทายาททรงพระเยาว์ถึงโปรดปรานคุณหนูเจ็ดเป็ที่สุด เมื่อทรงเจริญวัยขึ้นมาก็ยังอภิเษกคุณหนูห้าเป็ชายา"
สวี่ม่านหนิงทอยิ้มอ่อนจาง แต่คำพูดกลับซ่อนความนัยบางอย่าง ขอเพียงเป็คนมีมันสมองมากหน่อยก็จะฟังรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เช่นเฉียวเยว่เป็ต้น
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า "ข้าว่าคุณหนูสวี่ระมัดระวังถ้อยคำไว้จะดีกว่า ท่านกล่าวเยี่ยงนี้ ดูเหมือนเป็การด้อยค่ารัชทายาท และสบประมาทพี่สาวของข้าด้วย"
เฉียวเยว่ตอกหน้าสวี่ม่านหนิงโดยไม่ลังเล จนเ้าตัวถึงกับตะลึงพรึงเพริด เดิมทีนางนึกว่าซูเฉียวเยว่จะไม่โต้กลับ แต่ดูจากตอนนี้เห็นทีจะไม่ใช่
เฉียวเยว่ยังคงกล่าวอย่างเฉยชา "เสด็จพี่รัชทายาทกับพี่สาวข้าเหมาะสมกันดังกิ่งทองใบหยก แต่คำกล่าวของท่านกลับทำให้คนรู้สึกแตกต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนที่คิดมักใหญ่ใฝ่สูง ถ้าอยากจะครองตำแหน่ง ก็ควรดูว่าตนเองมีความสามารถเยี่ยงนั้นหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเสด็จพี่รัชทายาทก็มิได้ตบแต่งชายาเพียงเพราะหน้าตาเหมือนผู้ใด แต่เพราะพี่สาวของข้ามีความสามารถเหนือใครหลายคนต่างหากเล่า"
คำพูดของเฉียวเยว่ไม่เร็วไม่ช้า แต่กลับตบหน้าอีกฝ่ายเพียะๆๆ "ข้ารู้ คุณหนูสวี่มีความคิดเป็ของตนเอง แต่ฝ่าาทรงมีพระบัญชาออกมาแล้ว ท่านอย่าได้เอาเยี่ยงอย่างผู้าุโในตระกูลจะดีกว่า ถ้อยคำเหลวไหลสิ้นคิดเช่นนี้อาจนำพาภัยพิบัติมาสู่ตัวได้"
ดวงตาของสวี่ม่านหนิงแดงกำในชั่วพริบตา ซูเฉียวเยว่ผู้นี้กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว
นางขบริมฝีปาก ถูกอีกฝ่ายพูดจนไร้ถ้อยคำจะตอบโต้
หรงเหยียนกวาดตามองปราดหนึ่ง มุมปากโค้งขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "คุณหนูเจ็ดสกุลซูพูดอะไรเยี่ยงนั้น ม่านหนิงมิได้มีเจตนาร้าย"
เฉียวเยว่ย่อมไม่หักหน้าองค์หญิง เพียงยิ้มน้อยๆ "หม่อมฉันทราบว่าคุณหนูสวี่หาได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่รู้สึกว่าการพูดจาควรคิดหน้าคิดหลังให้มากหน่อยจะดีกว่า ขนาดหม่อมฉันอายุเพียงเท่านี้ยังตระหนักได้ว่าภัยพิบัติมักเกิดจากลมปาก การพูดส่อเสียดหาใช่สิ่งที่ดีนักสำหรับสตรี"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้