เขาเชื่อว่าขอเพียงสามารถหลบหลีกการโจมตีของลู่ซีได้ วิชาเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์ของเขาก็จะเลื่อนขึ้นสู่ระดับชั้นที่สองได้อย่างแน่นอน ฝึกฝนวิชาเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์ถึงระดับชั้นที่สองก็หมายความว่าตนเองเริ่มััรับรู้ได้ถึงพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินแล้ว จากนั้นก็จะสามารถเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขอบเขตาาจักรพรรดิ เมื่อถึงตอนนั้นโอกาสที่จะเอาชนะลู่ซีได้ก็มีมากขึ้นและผ่านด่านนี้ไปในที่สุด
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพคนหนึ่งเป็อาจารย์คู่ซ้อมใช้พลังกฎเกณฑ์แห่งพื้นที่โจมตีเข้าใส่เขาอยู่ตลอดในระดับพลังการโจมตีที่ควบคุมไว้อย่างเหมาะเจาะพอดี ถ้าหากเย่ชิงหานไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อรีบทำการััรับรู้ให้ได้ถึงพลังกฎเกณฑ์แห่งพื้นที่ละก็ เขาก็สมควรที่จะถูกฆ่าตายภายในนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบทำการฝึกฝนขึ้นพร้อมกับความเ็ปที่ปนไปด้วยความสุขขึ้นโดยทันที...
.................................
ลู่ซีเองก็อับจนปัญญา
เขานั่งเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่นี่มาหลายพันปี อืม...ใช้คำว่านั่งเฝ้ารักษาการณ์คงไม่ค่อยถูกต้องมากนัก น่าจะพูดว่าถูกขังอยู่ที่นี่มาหลายพันปีจะดูถูกต้องมากกว่า เื่ของเวลาสำหรับเขาซึ่งเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพแล้วถือไม่สำคัญอะไรนัก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพมีอายุขัยแทบจะเรียกได้ว่าเป็ะเลยก็ว่าได้ เวลาปกติที่ใช้เก็บตัวฝึกฝนแต่ละครั้งล้วนไม่ต่ำกว่าหลายร้อยปี ่เวลาเพียงแค่ไม่กี่พันปีสำหรับเขาแล้วถือว่าแค่พริบตาเดียวราวกับดีดนิ้วมือ
เพียงแต่ ถูกขังให้นั่งเฝ้ารักษาการณ์อยู่ทีู่เาสุสานทวยเทพแห่งนี้ก็ไม่ใช่เื่ดีอะไรนัก เขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพคนหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้องได้รับชื่อเสียงเกียรติยศตำแหน่งที่สูงส่งอะไรพวกนั้น อย่างน้อยขอเพียงแค่มีชีวิตอิสระเป็ของตัวเองที่จะทำอะไรก็ได้ แม้ว่านายท่านที่เป็ผู้สร้างูเาสุสานทวยเทพจะมอบเคล็ดวิชาระดับสูงสุดให้เขาฝึกฝนก็ตาม แต่ว่าการฝึกฝนทำความเข้าใจในพลังความลึกล้ำมหัศจรรย์ที่อยู่ภายในพลังกฎเกณฑ์ของเขาติดชะงักอยู่กับที่ไม่สามารถฝึกฝนให้ทะลวงผ่านไปได้ พลังฝีมือจึงหยุดอยู่เพียงแค่ระดับขั้นสูงสุดขอบเขตเทพ์
พลังความลึกล้ำมหัศจรรย์ที่อยู่ภายในพลังกฎเกณฑ์นั้นไม่ใช่ว่าอาศัยเพียงแค่การนั่งเข้าสมาธินิ่งๆ ทำการวิเคราะห์พิจารณาแล้วจะสามารถทำให้เข้าใจได้ ดังนั้นเขาจึงอยากที่จะออกไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าออกไปที่อื่นเพื่อผจญภัย เอาแค่ท่องเที่ยวไปภายในทวีปัเพลิงแห่งนี้ก็พอ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เขาเกิดการเข้าใจอะไรขึ้นมาในฉับพลันได้บ้าง อีกทั้งการหมกตัวอยู่แต่ในที่แห่งนี้หลายพันปีเขารู้สึกเบื่อหน่ายเป็อย่างมาก เขาปรารถนาชีวิตที่ตื่นเต้นโลดโผน ปรารถนาอิสระ ปรารถนาอากาศบริสุทธิ์และแสงแดดภายนอก
เพียงแต่...ม่านพลังป้องกันของูเาสุสานทวยเทพที่มาจากหอเทพเล็กๆ ที่อยู่้าูเาถ้าไม่ถูกคนเปิดออกม่านพลังป้องกันก็จะไม่เลือนหายไป หากพูดถึงพลังฝีมือของเขาในทวีปัเพลิงแห่งนี้แม้จะนับว่าอยู่ในระดับสูงสุดแล้วก็ตาม แต่กลับไม่สามารถทำลายม่านพลังป้องกันออกไปได้
ห้าร้อยปีแล้วในที่สุดเขาพบบุคคลที่สองที่สามารถทะลวงผ่านด่านในเส้นทางเชื่อมหุ่นเชิดูเามาได้ถึงด่านสุดท้าย แต่ทว่ากลับกลายเป็เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่แม้แต่ระดับขั้นพลังฝีมือยังไม่ถึงระดับขอบเขตาาจักรพรรดิเลยด้วยซ้ำ
อืม...แม้พลังฝีมือจะต่ำไปบ้างแต่ก็ไม่เป็ไร เพราะไม่ว่าอย่างไรด่านทดสอบต่างๆ ที่อยู่ภายในูเาสุสานทวยเทพล้วนสร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบพร์ในด้านต่างๆ ของผู้ที่เข้ารับการทดสอบอยู่แล้ว ทั้งทางด้านศักยภาพแฝง สติปัญญาและวาสนาโชคชะตา อีกทั้งเ้าเด็กคนนี้ยังได้รับแหวนจักรพรรดิิญญาอีกซึ่งแสดงให้เห็นว่าดวงชะตาของเขาดีอย่างสุดๆ อายุเพียงเท่านี้มีพลังฝีมืออยู่ในระดับขั้นนี้ สติปัญญาและศักยภาพก็ไม่เลวอีกด้วย
เพียงแต่...เ้าเด็กโง่คนนี้ทำไมไม่ไปฝึกฝนพลังยุทธ์? ทำไมไม่ไปคิดหาทางััรับรู้ให้เข้าใจถึงพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินทั้งหลาย? แต่ทำไมถึงมาขอให้ตนเองซ้อมทุบตีอยู่ตลอดทั้งวันเช่นนี้?
เย่ชิงหานไม่รู้เท่านั้นเองว่าความจริงแล้วตนเองมองออกั้แ่แรกแล้วว่าเขามีสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งรวมไปถึงพลังฝีมือที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ และเย่ชิงหานไม่รู้อีกว่าความจริงแล้วระดับเงื่อนไขในการผ่านด่านที่ตนเองตั้งขึ้นมานั้นอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดแล้วจากเงื่อนไขทั้งหมดที่นายท่านผู้สร้างูเาสุสานทวยเทพกำหนดเอาไว้
เย่ชิงหาน้าอาศัยการโจมตีจากพลังกฎเกณฑ์ของคนอื่นเพื่อััรับรู้ถึงพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดิน การคิดเช่นนี้ไม่ได้ผิดอะไรและสามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่ซีเมื่อได้ฟังเย่ชิงหานพูดเสนอออกมาก็คิดว่าเป็อีกหนทางหนึ่งที่พอทำได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกจากพลังกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ตนเองฝึกฝนที่ค่อนข้างง่ายที่สุดอย่างพลังกฎเกณฑ์แห่งพื้นที่มาโจมตีใส่เขาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เขามีโอกาสได้ััรับรู้ถึงพลังกฎเกณฑ์แล้วบรรลุถึงระดับขอบเขตาาจักรพรรดิ จากนั้นเข้าไปภายในด่านที่สามเสี่ยงดวงดูเผื่อโชคดีทะลวงผ่านไปได้เข้าไปรับเอากระบี่เทพทำลายม่านพลังป้องกันูเาสุสานทวยเทพลงได้ เมื่อถึงตอนนั้นตนเองก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วยได้ออกจากที่แห่งนี้ที่คุมขังตนเองมาหลายพันปี
เพียงแต่...สิ่งที่ทำให้ลู่ซีโกรธจนลมออกหูก็คือ เ้าเด็กคนนี้ทำตัวราวกับลิงฉันนั้น ะโโลดเต้นไปมาอยู่อย่างนี้มาครึ่งปีแล้วยังไม่เห็นว่าจะมีการพัฒนาใดๆ ขึ้นมาแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูจากลักษณะแล้วเขาดูจะมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้และยังคิดจะะโโลดเต้นไปมาเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อีก
เขาไม่รู้เหรอว่าการััให้รู้ถึงพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินหากวิธีการหนึ่งใช้ไม่ได้ก็ยังมีอีกหลายเส้นทางที่เลือกเดินได้ จำเป็ขนาดที่ต้องยืนกระต่ายขาเดียวเลือกเดินเฉพาะเส้นทางนี้เส้นทางเดียวรึ? มองดูกำหนดเวลายิ่งนับวันยิ่งใกล้เข้ามาทุกทีแต่เ้าเด็กคนนี้กลับยิ่งะโโลดเต้นอย่างมีความสุขมากขึ้นทุกที ภายในใจของลู่ซีร้อนรนจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
ตามกฎกติกาเดิมที่ผ่านมาผู้ที่เข้าด่านทดสอบล้มเหลวไม่สามารถทะลวงผ่านด่านไปได้ในระยะเวลาที่กำหนดจะต้องถูกสังหารในทันที เพียงแต่ผู้ที่อยู่เื้ัเ้าเด็กคนนี้ยิ่งใหญ่จนเกินไป หญิงสาวเสื้อคลุมแดงผู้นั้นเพียงแค่กลิ่นไอพลังที่แผ่พุ่งออกมาก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่กล้าแม้แต่คิดที่จะต่อต้านใดๆ แม้หญิงสาวเสื้อคลุมแดงคนนั้นจะพูดว่าหากล้มเหลวให้ทำลายวรยุทธ์แล้วโยนออกไปก็ตาม
แต่ว่า ลู่ซีก็กลัวว่าหากทำเช่นนั้นจริงจะทำให้หญิงสาวเสื้อคลุมแดงไม่พอใจขึ้นมาได้ แต่ถ้าหากเขาไม่ทำเช่นนั้นก็จะเป็การละเมิดกฎกติกาที่นายท่านเ้าของูเาสุสานทวยเทพที่ได้ตั้งเอาไว้
ดังนั้นเขาจึงอับจนปัญญาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
ยิ่งมองเห็นเย่ชิงหานะโโลดเต้นอย่างเป็สุขยิ่งทำให้เขาอับจนปัญญาขึ้นไปอีก ครั้นแล้วเขาจึงเพิ่มระดับความรุนแรงของพลังโจมตีขึ้นอีกต่อทุกๆ ครั้งเมื่อทำการโจมตี ตัดสินใจว่าจะทำให้เ้าเด็กคนนี้ะโโลดเต้นอย่างไม่มีความสุขอีกต่อไป
เป็ดั่งที่คิดเอาไว้! ห้านาทีต่อมาเย่ชิงหานนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมกับโบกมือขึ้นมาอยู่ไม่ขาด ส่งสัญญาณบอกว่าตนเองถึงขีดจำกัดแล้ว หากสู้ต่อไปตนเองจะถูกตีตายแน่ๆ
.................................
เย่ชิงหานเองก็อับจนปัญญา
ระยะเวลาผ่านไปเกือบจะแปดเดือนแล้ว ทุกๆ วันเขาไม่ต่างจากลิงที่ะโโลดเต้นไปมา ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยาแหาส่วนที่สมบูรณ์ไม่เจอ ต้องเผชิญกับความเ็ปทุกๆ วัน แต่กลับยังไม่สามารถที่จะคลำหาทางััรับรู้ได้ถึงปากทางเข้าประตูพลังกฎเกณฑ์แห่งพื้นที่ได้เลย
แม้ว่าครึ่งปีมานี้เขาถูกทุบตีและถูกแหวนจักรพรรดิิญญารักษาจนร่างกายเปลี่ยนเป็แข็งแกร่งพลังป้องกันเพิ่มพูนขึ้นเป็อย่างมาก ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์ก็ฝึกฝนจน “เคลื่อนย้ายดั่งใจปราถนา” ได้จริงๆ แล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองของประสาทััก็พัฒนาขึ้นอย่างน่ากลัว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่สามารถที่จะคลำหาปากทางเข้าประตูพลังกฎเกณฑ์แห่งพื้นที่ได้เจอเลย ท่าเท้าไม่สามารถฝึกฝนถึงระดับชั้น “เปลี่ยนรูปย้ายเงา” ได้ และไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขอบเขตาาจักรพรรดิได้
ความจริงแล้ว...เื่นี้จะตำหนิเขาซะทีเดียวก็ไม่ได้ จะบอกว่าสติปัญญาในการรับรู้สรรพสิ่งของเขาไม่ดีก็ไม่ได้ จะบอกว่าลู่ซีเป็อาจารย์ฝึกซ้อมให้ได้ไม่ดีก็ไม่ได้ แต่ที่เป็เช่นนี้เพราะพื้นฐานและความรู้ที่เย่ชิงหานมีนั้นน้อยจนเกินไป เขาอายุสิบห้าปีพลังฝีมือถึงค่อยบรรลุถึงระดับขั้นแรกขอบเขตขั้นสูง จนถึงตอนนี้พลังฝีมือที่ได้ล้วนมาจากการได้พบเจอกับของวิเศษล้ำค่ามหัศจรรย์ต่างๆ บวกกับความมุมานะเพียรพยายามในการฝึกฝนอย่างยากลำบาก รวมไปถึงแหวนจักรพรรดิิญญาและผลไม้วิเศษภายในูเาสุสานทวยเทพช่วยเหลือ
ที่สำคัญก็คือก่อนอายุสิบห้าปีตำแหน่งฐานะภายในตระกูลยังเทียบไม่ได้กับบ่าวรับใช้ระดับสูง เป็เพียงลูกหลานลำดับเจ็ดจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะศึกษาเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับการฝึกยุทธ์และเคล็ดวิชาระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เคยได้รับการสอนหรือแนะนำเกี่ยวกับความรู้ในการฝึกฝนอย่างเป็ทางการที่เป็ระบบจากยอดฝีมือคนใดเลยสักครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้เย่ชิงหนิวและเย่รั่วสุ่ยจะเคยพูดอธิบายบอกกับเขาอยู่บ้าง แต่ว่าความรู้ทฤษฎีเกี่ยวกับการฝึกยุทธ์ของเขามีน้อยจนเกินไป น้อยจนกระทั่งไม่ว่าลูกหลานระดับหัวกะทิของทั้งห้าตระกูลคนใดล้วนมีความรู้มากกว่าเขาหลายเท่า...
ไม่มีพื้นฐานความรู้ที่ดีแต่คิดที่จะอาศัยแค่ระดับสติปัญญาเพื่อััรับรู้ให้ได้ถึงพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินในระยะเวลาอันสั้น? การคิดเช่นนี้ไม่ต่างจากการคาดหวังให้ครอบครัวที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะขุดถ่านหินขาย จะให้พวกเขาเข้าใจถึงคุณสมบัติของความเป็ตระกูลผู้ดีในระยะเวลาอันสั้นให้ได้อย่างไรกัน?
.................................
“เ้าหนู เ้ายังคิดที่จะสู้ต่อไปอยู่อีกอย่างนั้นรึ?” ลู่ซีมองดูเย่ชิงหานนอนกองอยู่กับพื้นแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเ็ปพร้อมกับหอบหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงราวกับสุนัขตัวหนึ่ง เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างอดสงสารไม่ได้
“แน่นอน!” เย่ชิงหานแยกเขี้ยวยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น แต่อาจจะเป็เพราะยิ้มแรงจนเกินไปจนไปกระทบถูกอาการาเ็ส่วนอื่นๆ ทำให้รอยยิ้มดูฝืนๆ แปลกพิกลไม่เป็ธรรมชาติ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้