นับั้แ่ที่หลงอวี้ก้าวเข้าสู่ขอบเขติญญาแท้ได้นั้น เขาก็ััได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสัญลักษณ์ัปรภพแน่นแฟ้นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ิญญาแท้ัปรภพในตันเถียนของเขาบางครั้งก็จะส่งข้อมูลอันเลือนรางบางอย่างมาให้กับเขา อย่างเช่นตอนนี้มันบอกให้เขาหยิบยืมพลังของอสนีบาตทั้งหลายมาใช้หล่อหลอมร่างกายตัวเอง
ตอนนี้ในหูของหลงอวี้มีแต่เสียงะเิของอสนีบาตดังกึกก้องอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น นอกจากเสียงฟ้าผ่าเหล่านี้แล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยอย่างสิ้นเชิง
อสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนได้สาดส่องจนสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้ายามรัตติกาล ภายใต้ท้องนภาอันกว้างใหญ่นี้ สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ผสานกันจนกลายเป็ดั่งข่ายสายฟ้าผืนหนึ่ง พวกมันถูกหลงอวี้ที่ยืนอยู่บนพื้นหินดึงดูดจนฟาดผ่าลงมา
แม้จะเป็พื้นที่ในดินแดนภาคเหนืออันหนาวเหน็บ แต่ภายในบึงอัสนีกลับไม่มีหิมะอยู่เลยแม้แต่เศษเสี้ยว
มันเป็พื้นโล่งที่ไกลสุดลูกหูลูกตา หลังจากถูกฟ้าผ่ามาเป็เวลานานหลายปี ทำให้พื้นหินของที่นี่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ถึงกับมีประกายสายฟ้าแลบขึ้นมาจากพื้นหินเหล่านี้เลยทีเดียว
‘ใช้สายฟ้าหล่อหลอมร่างกาย ตัวข้าในตอนนี้ยังไม่สามารถทนรับฟ้าผ่าเหล่านี้ตรงๆ ได้ ต้องใช้สัญลักษณ์ัปรภพมาดูดกลืนพลังสายฟ้าเหล่านี้ก่อนถึงนำมาหล่อหลอมร่างกายได้’
หลงอวี้ครุ่นคิดในใจ เริ่มกระตุ้นสัญลักษณ์ัปรภพขึ้นมา ทดลองดึงพลังแห่งอัสนีเสี้ยวหนึ่งออกมาจากในสัญลักษณ์
สายฟ้าทั้งหมดที่ฟาดผ่าลงมาบนหัวของหลงอวี้ล้วนถูกสัญลักษณ์ัปรภพดูดกลืนไว้ทั้งสิ้น พลังสายฟ้าที่ถูกกักเก็บไว้ในสัญลักษณ์ัปรภพตอนนี้มีมากจนใช้ไม่หมดแล้ว
เมื่อหลงวี้ลองดึงพลังสายฟ้าออกมาเสี้ยวหนึ่ง พริบตานั้นเขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ โดนไฟช๊อตแค่นิดเดียวก็ทำให้เขาเป็อัมพาตไปทั้งตัวได้แล้ว
แค่ร่างกายที่ผ่านการหล่อหลอมด้วยวิชากายาพิชิตมารอย่างเดียวนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่พลังทำลายสูงเหล่านี้ ก็ไม่อาจต้านทานได้เลย!
แต่กระนั้นหลงอวี้ก็ยังกัดฟันชักนำพลังสายฟ้าเสี้ยวนั้นให้ค่อยๆ ไหลผ่านไปในเส้นชีพจรทั่วทั้งร่างกาย ก่อนจะนำมันมาหลอมเข้ากับลมปราณของตัวเองในเส้นชีพจร
หลังจากที่เขาหลอมรวมพลังสายฟ้าเสี้ยวนี้เข้าไปในลมปราณแล้ว ตัวเขาก็อ่อนล้าทันที ไม่เหลือแรงเลยแม้แต่น้อย เขาพลันทรุดตัวลงไปบนพื้นหินที่แข็งกระด้างสุดขีดทันที
สัญลักษณ์ัปรภพได้ใช้พลังอันสูงส่งที่สืบทอดมาแต่โบราณกาลคุ้มครองหลงอวี้ไว้โดยไม่ถูกสายฟ้าข้างนอกทำร้าย
หลงอวี้พึ่งจะดูดกลืนพลังสายฟ้าไปเพียงเสี้ยวเดียวก็หมดแรงจนล้มลงนอนกับพื้น
ไม่ใช่เพราะจิตใจเขาแข็งแกร่งหนักแน่นไม่พอ แต่เป็เพราะกายเนื้อเขาไม่อาจทนรับพลังสายฟ้าที่ทรงพลังขนาดนี้ได้จริงๆ แม้จะเพียงเสี้ยวเดียวก็มากพอที่จะทำให้เขาสูญเสียพลังต่อสู้ทั้งหมดไปได้แล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
หลงอวี้ได้กระตุ้นสัญลักษณ์ัปรภพขึ้นมา ดึงพลังสายฟ้าอีกเสี้ยวหนึ่งออกมาอีกครั้ง โดยพลังสายฟ้าที่ดึงออกมาครั้งนี้หนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย แต่ทรงพลังกว่าเดิมด้วยเล็กน้อยเช่นกัน พอจะจินตนาการได้เลยว่ามันจะทำร้ายร่างกายได้สาหัสกว่าเดิมมากแค่ไหน
แต่การจะใช้พลังสายฟ้ามาฝึกฝนหล่อหลอมร่างกายให้สำเร็จอย่างแท้จริงได้ จำเป็ต้องทนความเ็ปจากพลังสายฟ้าเหล่านี้ไปให้ได้
เพื่อที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม หลงอวี้ก็พร้อมจะทนรับความเ็ปทุกรูปแบบ!
พลังสายฟ้าเสี้ยวแล้วเสี้ยวเล่าได้ถูกหลงอวี้ดึงออกมาใช้งาน โดยเขาเริ่มจากการหล่อหลอมเส้นลมปราณเป็อย่างแรก ซึ่งก็เป็เพราะพลังใจอันเข้มแข็งของเขาถึงทำให้เขาทนความเ็ปนี้ต่อไปได้
หากเปลี่ยนเป็คนอื่นล่ะก็ แค่ตอนที่พลังสายฟ้าเสี้ยวแรกเข้าไปในร่างกายก็คงจะเ็ปจนไม่คิดจะฝึกต่อไปแล้ว
แต่หลงอวี้กลับยังคงดึงพลังสายฟ้าเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีขาดตอน!
เขานอนกางแขนกางขาแผ่หลาอยู่ในใจกลางของบึงอัสนีซ่อนฟ้าทั้งอย่างนั้น มีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดผ่าลงบนตัวเขา แต่ก็ถูกสัญลักษณ์ัปรภพดูดกลืนไว้ทั้งหมด
จากนั้นเขาค่อยดึงเอาเสี้ยวหนึ่งของพลังสายฟ้าที่กักเก็บอยู่ในสัญลักษณ์ัปรภพออกมาหล่อหลอมเส้นลมปราณ
วันคืนเช่นนี้ได้ไหลผ่านไปอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดเขาก็สามารถทนรับสายฟ้าที่หนาประมาณนิ้วก้อยได้ เส้นลมปราณของเขานั้นแข็งแรงขึ้นกว่าตอนแรกถึงสิบเท่า!
แต่ตอนนี้ร่างกายของเขากลับถึงขีดจำกัดแล้ว
ในตอนที่เขากำลังจะเริ่มใช้พลังสายฟ้ามาหล่อหลอมิัและกล้ามเนื้อนั่นเอง ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็มืดลง เขาหมดสติไปทั้งอย่างนั้น!
สัญลักษณ์ัปรภพได้บังคับให้เขาหมดสติเพื่อพักผ่อนร่างกาย
เกรงว่าสัญลักษณ์ัปรภพเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าหลงอวี้จะทุ่มสุดชีวิตขนาดนี้
เพื่อป้องกันไม่ให้เขารับพลังสายฟ้าเข้ามามากเกินไปจนร่างกายพังทลายอย่างสมบูรณ์ สัญลักษณ์ัปรภพจึงได้แต่บังคับให้หลงอวี้เข้าสู่สภาวะหลับใหลไปเท่านั้น
ส่วนหลงอวี้ที่หมดสติไปนั้นรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
‘ความฝัน นี่มันภาพนิมิตต่อจากก่อนหน้านี้!’
หลงอวี้ตื่นตะลึงขึ้นมาทันที!
เขาลืมตามองไปรอบๆ พบว่าตัวเองลอยอยู่บนอากาศ ด้านล่างนั้นเป็ฟ้าดินอันแสนกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
ด้านหน้าของเขานั้นคือ ชนเผ่า “ผู้สืบทอดของั” ที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้นั่นเอง!
เขามองออกไปเห็นว่าภายในชนเผ่า “ผู้สืบทอดของั” ตอนนี้ มีผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกวิชาฝึกกายอันทรงพลังอยู่ภายในชนเผ่าเป็จำนวนมาก
อีกทั้งยังมียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยที่สามารถเหยียบอากาศอันว่างเปล่า เดินเหินบนท้องฟ้าได้ราวกับเทพเซียน!
‘ในภาพที่ข้าเคยเห็นก่อนหน้านี้ล้วนเป็ภาพที่เกิดขึ้นบนพื้นดินเท่านั้น ไม่ได้เห็นบนท้องฟ้าเลย คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าบนท้องฟ้าของชนเผ่านี้จะมียอดฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวอยู่เยอะขนาดนี้ แต่ละคนสามารถเหาะเหินเดินอากาศกันได้หมดแล้ว’
พวกนี้ก็คือยอดฝีมือระดับคนผสานฟ้าในตำนานนั่นหรือ?
หลงอวี้รู้สึกพรั่นพรึงในใจ
ต่อให้นับในทั่วทั้งอาณาจักรต้าถังมียอดฝีมือระดับคนผสานฟ้าไม่ถึงห้าคน อีกทั้งยังแทบไม่ปรากฏตัวออกมาให้คนอื่นเห็นเลยด้วย
แต่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ แค่ชนเผ่าเดียวก็มียอดฝีมือระดับคนผสานฟ้าอยู่นับไม่ถ้วน!
ภาพนิมิตตรงหน้าเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง
กลายเป็ภาพภายในลานประลองที่ชนเผ่านี้ใช้ฝึกฝนวรยุทธ์ มีเด็กหนุ่มอายุสิบห้า สิบหกจำนวนไม่น้อยที่สามารถปล่อยิญญาแท้ของตัวเองออกมาได้แล้ว พวกเขาได้เข้าต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ใช้วิทยายุทธ์ต่างๆ ออกมาได้อย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ
เด็กหนุ่มเหล่านี้ ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนมีพร์สูงส่งทัดเทียมกับยอดฝีมือระดับต้นๆ ของอาณาจักรต้าถังทั้งสิ้น!
ในนั้นมีเด็กหนุ่มอายุสิบห้าคนหนึ่งที่สามารถก้าวขึ้นไปสู่ขอบเขตผสานิญญาแท้ได้แล้ว กำลังจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตคนผสานฟ้าในตำนานได้ในไม่ช้า!
ไม่สิ บางทีระดับคนผสานฟ้าในชนเผ่านี้อาจเป็แค่ระดับที่ธรรมดาทั่วไปก็เป็ได้
ิญญาแท้ที่เด็กหนุ่มเหล่านี้ปล่อยออกมานั้น ล้วนเป็ิญญาแท้ัปรภพทั้งสิ้น วิทยายุทธ์ที่ใช้ก็เป็หมัดัปรภพและวิทยายุทธ์ที่ทรงพลังยิ่งกว่าหมัดัปรภพ
หลงอวี้จดจำภาพนิมิตเหล่านี้ไว้ในหัว
เขาพอจะรู้ว่าภาพนิมิตความทรงจำในความฝันเหล่านี้กำลังชี้นำให้เขาเรียนรู้วิธีใช้สัญลักษณ์ัปรภพ การสังเกตดูการต่อสู้ประลองยุทธ์ระหว่างเด็กหนุ่มทั้งหลายในลานประลองส่งผลต่อการพัฒนาของหลงอวี้ไม่น้อยเลยจริงๆ
ภาพนิมิตได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ภายในกระท่อมฟางหลังหนึ่งของชนเผ่า มีชายชราที่ดูอ่อนโยนใจดีผู้หนึ่งกำลังสอนพื้นฐานของวิถียุทธ์ให้กับเด็กน้อยอายุราวๆ ห้าหกขวบจำนวนหนึ่ง
“ในฟ้าดินผืนนี้ ในโลกเทพยุทธ์นี้ มีกฎเกณฑ์อยู่ทั้งหมดเก้าพันชนิด ผู้ฝึกยุทธ์สามารถควบคุมพลังแห่งฟ้าดินได้ผ่านทางกฎเกณฑ์ และบรรลุสู่วิถีแห่งวรยุทธ์อันสูงส่ง”
“กฎเกณฑ์เหล่านี้แบ่งออกเป็ทั้งหมดสี่ระดับ ระดับศิลาเหลือง ระดับหยกวิเศษ ระดับลัญจักรดิน และระดับผลึกฟ้า! กฎเกณฑ์ระดับศิลาเหลืองเป็ระดับที่อ่อนที่สุด ส่วนระดับผลึก์นั้นนับเป็ระดับที่ทรงพลังที่สุด อานุภาพน่าสะพรึงกลัวที่สุด!”
“ผู้ฝึกยุทธ์จะเริ่มต้นบรรลุกฎเกณฑ์ฟ้าดินจากจินตภาพ ค่อยๆ พัฒนาไปเป็แก่น มหาพลัง เขตแดน และขั้นสุดท้ายคือการบรรลุกฎเกณฑ์ แต่การจะบรรลุขั้นกฎเกณฑ์ได้นั้นผู้ฝึกยุทธ์จำเป็ต้องยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตคนผสานฟ้าให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะบรรลุได้มากสุดถึงแค่เขตแดนเท่านั้น”
“แผ่น์นั้นมีความจำเป็ต้องผู้ฝึกยุทธ์เป็อย่างมาก เพราะสิ่งที่บรรจุอยู่ล้วนเป็กฎเกณฑ์ระดับลัญจกรดินทั้งสิ้น ผู้ที่อยู่ในระดับคนผสานฟ้าจะดูดกลืนพลังในแผ่น์เพื่อบรรลุกฎเกณฑ์ระดับลัญจกรดินได้อย่างรวดเร็ว และสามารถแสดงพลังที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิมออกมาได้”
“นอกจากนี้ ผู้าุโในวิถียุทธ์เองก็สามารถผสานกฎเกณฑ์ฟ้าดินลงไปในวิชาฝึกพลังได้ด้วย ขอเพียงฝึกวิชาฝึกพลังที่ว่าก็จะสามารถบรรลุกฎเกณฑ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น...”
หลงอวี้ที่ลอยอยู่ข้างๆ นั้น พอได้ยินคำพูดของชายชราผู้นี้แล้วก็เข้าใจเื่ของกฎเกณฑ์ทันที
ที่แท้กฎเกณฑ์ฟ้าดินก็เป็ตัวตนที่มีอยู่ทั่วในโลกนี้ อีกทั้งยังมีมากถึงเก้าพันรูปแบบด้วย!
ระดับศิลาเหลือง ระดับหยกวิเศษ ระดับลัญจกรดิน ระดับผลึกฟ้า
กฎเกณฑ์ฟ้าดินทั้งสี่ระดับนั้น แต่ละระดับล้วนมีอานุภาพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กฎเกณฑ์ที่บรรจุอยู่ในแผ่น์นั้น ล้วนเป็กฎเกณฑ์ระดับลัญจกรดิน
อย่างนั้นก็หมายความว่า กฎเกณฑ์สยบฟ้า กฎเกณฑ์ดาบสะบั้น เหล่านี้ล้วนเป็เพียงกฎเกณฑ์ระดับศิลาเหลืองที่อ่อนแอที่สุดทั้งสิ้น
ส่วนวิชาฝึกพลังของตระกูลมหาอำนาจทั้งสามแห่งอาณาจักรต้าถังนั้นล้วนบรรจุไว้ด้วยกฎเกณฑ์ระดับหยกวิเศษทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ทั้งสามตระกูลมหาอำนาจสามารถคงอยู่และสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
‘แต่กระนั้น แผ่น์จันทราที่ข้าได้รับมากลับแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์ระดับลัญจกรดิน มันจึงทรงพลังยิ่งกว่าคัมภีร์จักรพรรดิชุนชิวและเคล็ดัโลหิต!’
หลงอวี้รู้สึกยินดีเล็กน้อย
แต่น่าเสียดายที่หากยังขึ้นไปไม่ถึงขอบเขตคนผสานฟ้าจะไม่มีทางสามารถบรรลุขั้นกฎเกณฑ์ได้อย่างเด็ดขาด บรรลุได้มากสุดก็แค่เขตแดนเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น ขอเพียงหลงอวี้สามารถบรรลุกฎเกณฑ์จันทราให้ถึงขั้นเขตแดนได้เขาก็สามารถเข้าใกล้คำว่าไร้เทียมทานในอาณาจักรต้าถังได้แล้ว
แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็ยังเป็ระดับวิถียุทธ์อยู่ดี
ผู้ฝึกยุทธ์ที่ระดับวิถียุทธ์ขั้นหนึ่ง ถึงแม้จะบรรลุเขตแดนจันทราได้แล้ว ก็ไม่มีทางต่อกรกับยอดฝีมือระดับิญญาแท้ได้อย่างเด็ดขาด
ต่อจากนั้น ในตอนที่ภาพที่หลงอวี้มองเห็นกำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้งนั่นเอง ชายชราก็ได้เอ่ยพูดขึ้นอีกครั้งเป็ประโยคสุดท้าย
“เหล่านักรบของชนเผ่าปรภพเรานั้น ล้วนเป็ผู้สืบทอดของัทั้งสิ้น ท้ายที่สุดแล้วล้วนสามารถบรรลุกฎเกณฑ์ปรภพได้ทั้งหมด! กฎเกณฑ์ปรภพนั้นอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งเก้าพันรูปแบบ เป็กฎเกณฑ์เพียงหนึ่งเดียวที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกนี้...”
ภาพตรงหน้าได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่คำพูดของชายชรากับยังคงดังกังวานอยู่ในหัวของหลงอวี้
กฎเกณฑ์ปรภพ!
กฎเกณฑ์ที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกนี้!
อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งเก้าพันรูปแบบ ซึ่งกฎเกณฑ์ปรภพนี้มีต้นกำเนิดมาจากสัญลักษณ์ัปรภพนี่เอง
เื่นี้ไม่ได้ทำให้หลงอวี้รู้สึกยินดีอะไรนัก กลับกัน มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิม
พลังที่ร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ พลังที่อยู่เหนือขอบเขตของโลกใบนี้ไปแล้วเช่นนี้ เขาได้มันมาอย่างง่ายดายเพียงนี้ได้อย่างไร?
หลงอวี้ไม่เคยเชื่อเลยว่าโลกนี้จะมีสิ่งของที่ได้รับมาเฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร
แม้แต่สามตระกูลมหาอำนาจแห่งต้าถังเอง ที่พวกเขาสามารถแข็งแกร่งทรงอำนาจมากถึงเพียงนี้ได้ ก็เป็เพราะยอดผู้มือที่เป็บรรพบุรุษของพวกเขาได้นำกฎเกณฑ์ระดับหยกวิเศษบรรจุเข้าไปในวิชาฝึกแล้วสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้คนรุ่นหลังได้รับผลประโยชน์ไปอย่างมหาศาล
แต่ชนเผ่าผู้สืบทอดของั ชนเผ่าปรภพนี้ กลับดูเหมือนว่าจะไม่เคยมียอดฝีมือที่ร้ายกาจสุดขีดถือกำเนิดขึ้นมาก่อนเลย
หลงอวี้รู้แค่เพียงว่า มีัปรภพตัวหนึ่งที่ได้สิ้นลมอยู่ภายในหุบเขาที่เป็ที่อยู่อาศัยของชนเผ่านี้ั้แ่ในสมัยโบราณ หรือว่า พลังของัปรภพนั่นจะสามารถตกทอดมาได้นานขนาดนี้เลยหรือ?
แต่เื่พวกนี้สำหรับหลงอวี้แล้วล้วนเป็เพียงเื่รองเท่านั้น
สิ่งสำคัญคือ สตรีที่อยู่ในภาพนิมิตความทรงจำเมื่อครั้งก่อน อวี๋เฟยสวมชุดผ้าไหมสีขาว ดูสูงศักดิ์แต่ก็ดูเลือนราง ไม่รู้ว่าเป็ใครกันแน่?
ทำไมถึงได้มาสลักสัญลักษณ์ัปรภพบนหน้าอกของเขา!
แล้วผู้สืบทอดของั ชนเผ่าปรภพในตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน?
คำถามเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่ยังไม่ได้รับคำตอบทั้งสิ้น!
และในจังหวะนั้นเอง อยู่ๆ หลงอวี้ก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็มีเสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มกึกก้องขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
เขาเบิกตาทั้งสองข้างขึ้นมา มองเห็นแต่เพียงอสนีบาตที่ฟาดผ่าอยู่บนท้องนภา
