โจวลั่วเหยียนดวงตาเปล่งประกาย ตอบว่า “ข้าเคยพูดแล้วว่า นี่เป็คำกลอนคู่ส่วนแรกที่ข้าเค้นความคิดอย่างหนักกว่าจะคิดออกมาได้”
“เป็สิ่งที่เ้าคิดออกมาจริงหรือ” โจวโม่เสวียนคิดในใจว่า เ้าช่างเสแสร้งยิ่งนัก คิดว่าทุกคนล้วนเป็คนโง่งมหรือไร
“ย่อมเป็ข้าที่คิดออกมาเอง พี่ห้า หากท่านแต่งบทต่อไปไม่ได้ก็อย่ามาใส่ร้ายข้าเลย” ท่ามกลางทุกสายตาที่จับจ้อง โจวลั่วเหยียนกลับใช้คำพูดย้อนเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
“นี่คือบทต่อไป เ้าฟังให้ดีเล่า” โจวโม่เสวียนร่ายกลอนบทต่อไปที่เจียงชิงอวิ๋นท่องให้ฟังออกมาโดยพลัน เมื่อเห็น โจวลั่วเหยียนหน้าถอดสีก็รู้สึกสุขใจยิ่งนัก กระทั่งทุกคนชื่นชมจนพอใจแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าเพิ่งได้หนังสือคำกลอนมาเล่มหนึ่ง ด้านในรวบรวมคำกลอนคู่อันยอดเยี่ยมไว้มากมาย วันนี้เป็วันเกิดของพี่สี่ ข้าจึงนำคำกลอนคู่หกบทมามอบให้นางเป็ของขวัญ”
ในฐานะที่โจวฉยงรุ่ยเป็เ้าของวันเกิด นางจึงลุกขึ้นแล้วก้าวออกมา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โม่เสวียน เ้าช่างใส่ใจยิ่งนัก”
โจวโม่เสวียนยิ้มจนตาหยี “พี่สาว ปกติท่านคอยดูแลข้า กลอนคู่ทั้งหกบทที่ข้ามอบให้ท่านยังนับว่าเล็กน้อยเกินไป”
“เสี้ยนกง เสี้ยนจู่ ความสัมพันธ์สองพี่น้องช่างลึกล้ำยิ่งนัก”
“ข้าก็คิดว่าเมื่อตอนบ่ายท่านเสี้ยนกงไปที่ใดเสียอีก ที่แท้ก็ไปหาคำกลอนคู่มาให้เสี้ยนจู่นี่เอง”
ทุกคนมีสีหน้าริษยา พากันชื่นชมความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพี่น้อง
โจวโม่เสวียนท่องคำกลอนคู่ส่วนแรกอันยอดเยี่ยมทั้งหมดออกมา แเื่ที่ชื่นชอบคำกลอนคู่ต่างรู้สึกตะลึงพรึงเพริด คำกลอนคู่ที่หาได้ยากเช่นนี้ แต่ละบทช่างไพเราะยิ่งนัก ดีกว่ากลอนของโจวลั่วเหยียนเสียอีก
ทุกคนพากันกล่าวชื่นชม “พวกเราวิงวอน ขอให้ท่านเสี้ยนกงประกาศคำกลอนส่วนต่อไปด้วยเถิด!”
บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก โจวโม่เสวียนก็ไม่คิดเก็บซ่อน กล่าวคำกลอนส่วนต่อไปออกมาทันที
“ไม่ได้ยินคำกลอนคู่ที่ยอดเยี่ยมและประณีตเช่นนี้มานานแล้ว ฮ่าๆ...”
“วันนี้ได้ฟังคำกลอนคู่ดีๆ ถึงสองบท นับว่าได้รับสิ่งที่ดีมากมายจริงๆ”
คำกลอนคู่หกบทของโจวโม่เสวียน รวมกับสองบทของโจวลั่วเหยียน ก็เป็แปดบทพอดี
“เมื่อครู่ท่านเสี้ยนกงกล่าวว่า คำกลอนคู่ทั้งหกบทนี้มาจากหนังสือรวมคำกลอนเล่มหนึ่ง มิใช่คิดขึ้นมาเอง ท่านเสี้ยนกงช่างซื่อสัตย์จริงใจยิ่งนัก หากเป็ผู้อื่นคงกล่าวว่า คำกลอนคู่ทั้งหกบทนี้เป็ตนเองที่คิดออกมาเองแล้ว”
“ท่านเสี้ยนกงมีคำกลอนคู่อยู่หกบทแท้ๆ แต่กลับไม่นึกถึงคุณชายหกบ้าง จะอย่างไรท่านเสี้ยนกงก็เป็บุตรชายของภรรยาเอก บุคลิกเหนือกว่าบุตรชายอนุภรรยามากจริงๆ”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน โจวลั่วเหยียนรู้สึกอับอายจนหน้าแดง และมีท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย
จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า คำกลอนคู่ที่ใช้เงินหนึ่งพันตำลึงซื้อมาจากทางใต้จะถูกโจวโม่เสวียนต่อกลอนได้เช่นนี้ อีกทั้งโจวโม่เสวียนยังประกาศถึงที่มาของมันด้วย หักล้างคำเท็จของเขาจนสิ้น
เขาแทบอยากจะหารูแล้วมุดลงไปจริงๆ โจวโม่เสวียนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีกเลย
โจวฉยงรุ่ยมิได้ตำหนิที่โจวโม่เสวียนสั่งสอนโจวลั่วเหยียน กลับรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ
วันนี้เป็งานเลี้ยงวันเกิดของนาง แเื่ที่เชิญมาส่วนใหญ่เป็สหายของนางทั้งนั้น แต่โจวลั่วเหยียนถึงกับใช้คำกลอนคู่มาสร้างความลำบากให้กับโจวโม่เสวียนในงานวันเกิดของนางเช่นนี้ จะให้นางเอาหน้าไปไว้ที่ใด แล้วสหายของนางจะมองจวนเยี่ยนอ๋องเช่นไร
“เ้าไปได้หนังสือคำกลอนคู่มาจากที่ใดหรือ”
โจวโม่เสวียนก้มตัวกระซิบที่ข้างหูโจวฉยงรุ่ย “พี่สาว ข้าออกจากเมืองไปหาท่านอามา คำกลอนคู่หลายบทนี้ก็เป็ท่านอาที่บอกข้า”
โจวฉยงรุ่ยกระจ่างแจ้งโดยพลัน “ที่แท้ก็เป็ท่านอานี่เอง” ในใจยังนึกชื่นชมท่านอาที่มีความสามารถสูงส่ง แต่กลับถ่อมตนยิ่งนัก
“ท่านอามอบของขวัญให้ท่านด้วย เป็ภาพวาดที่เขาวาดเองกับมือ เขาไม่ชอบออกงานจึงฝากข้ามาให้ท่าน”
โจวฉยงรุ่ยเห็นโจวโม่เสวียนมองไปทางประตูหลายครั้ง ก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เ้ามองประตูทำไม”
“ท่านอาฝากแป้งย่างรสหวานมาให้ท่านย่า นี่ใกล้ถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้วกระมัง ข้าจะนำไปมอบให้ท่านย่าเอง”
“ท่านอาใส่ใจยิ่งนัก เช่นนั้นเ้าก็รีบไปเถิด” โจวฉยงรุ่ยยิ้มงามดั่งบุปผาเบ่งบาน ส่งโจวโม่เสวียนจากไป
สหายหลายคนเดินมาเบื้องหน้าโจวฉยงรุ่ย แล้วกล่าวว่า “หากข้ามีน้องชายเช่นท่านเสี้ยนกงก็คงดี”
“เสี้ยนจู่ช่างมีวาสนายิ่งนัก ถึงกับมีน้องชายดีๆ เช่นนี้เชียว”
“น้องชายข้าอายุพอๆ กับท่านเสี้ยนกง วันๆ เอาแต่ทะเลาะกับข้า ไหนเลยจะทำเหมือนที่ท่านเสี้ยนกงปฏิบัติต่อเสี้ยนจู่”
โจวฉยงรุ่ยรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว “พวกเ้าชอบน้องชายข้าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็มาเป็น้องสะใภ้ข้าให้หมดเถิด”
สหายของนางหลายคนอายุมากกว่าโจวโม่เสวียนเพียงหนึ่งถึงสองปี สิ่งที่โจวฉยงรุ่ยพูดก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ แต่ตำแหน่งภรรยาเอกมีเพียงตำแหน่งเดียว ผู้อื่นจะต้องได้รับความอยุติธรรมแล้ว
“จะเป็ไปได้อย่างไร”
“เสี้ยนจู่หยอกล้อพวกเราแล้ว”
“เสี้ยนกงราวกับเทพเซียน ไหนเลยจะคู่ควรกับสตรีธรรมดาเช่นพวกเรา”
“เสี้ยนจู่ หากท่านเป็บุรุษก็คงดี พวกเราจะยอมแต่งให้ท่าน”
โจวฉยงรุ่ยหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ชาติหน้าข้าจะเป็บุรุษ พวกเ้าก็เป็สตรีของข้า”
“โอ้... เสี้ยนจู่ของข้า ท่านคิดจะมีสามภรรยาสี่อนุจริงหรือ”
ทุกคนพูดคุยยิ้มแย้มกับโจวฉยงรุ่ยอย่างกลมเกลียว ไม่มีผู้ใดสนใจโจวลั่วเหยียนที่ค่อยๆ ลุกออกจากที่นั่งของตนเลย
“คุณชายหก เหตุใดจึงจะไปแล้วเล่า”
“ไม่เห็นหรือว่าเสี้ยนจู่ไม่มองเขาแม้เพียงหางตา เขาจะไปก็ปล่อยไปเถิด”
“คุณชายหกคิดแต่จะเปรียบเทียบกับท่านเสี้ยนกง ไม่คิดบ้างว่าท่านเสี้ยนกงมีฐานะอย่างไร คุณชายหกช่างไม่รู้จักประเมินสถานการณ์จริงๆ”
“เดิมทีคุณชายหกอยากให้ท่านเสี้ยนกงขายหน้า ไหนเลยจะคาดเดาได้ว่าตนเองกลับขายหน้าเสียเอง”
“ท่านเสี้ยนกงมีจิตใจกว้างขวาง มิได้ทำให้คุณชายหกตกที่นั่งลำบาก ไม่เช่นนั้นคุณชายหกคงขายหน้าไปแล้ว”
แเื่ทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา เฉกเช่นที่โจวโม่เสวียนคาดเดา ทุกคนไม่ใช่คนโง่งม ความฉลาดน้อยของโจวลั่วเหยียนไม่ใช่สิ่งที่ต้องสนใจด้วยซ้ำ
ทางด้านโจวโม่เสวียน เขากำลังเข้าไปที่จวนเพื่อจัดแจงให้เด็กรับใช้นำแป้งย่างรสหวานไปอุ่นในครัว กระทั่งเขาต้องขอตัวออกจากงานของโจวฉยงรุ่ย เด็กรับใช้จึงนำขนมแป้งย่างรสหวานร้อนๆ มาให้เขา
เขาถือขนมแป้งย่างรสหวานเดินไปอย่างรวดเร็วผ่านลานเรือนแต่ละแห่ง เพียงไม่นานก็เข้าไปในลานเรือนที่ใหญ่ที่สุด กระทั่งถึงโถงด้านข้างอันงดงาม ก็พบฉินไท่เฟยและสองสามีภรรยาเยี่ยนอ๋องที่กำลังรับประทานอาหารเย็นเป็เพื่อนนาง
ฉินไท่เฟยและเยี่ยนหวังเฟยล้วนมีสายตาที่อ่อนโยน ส่วนโจวปิงก็ยิ้มให้กับโจวโม่เสวียนอย่างหาได้ยากยิ่ง
“ท่านย่า ข้าเพิ่งกลับมาจากจวนท่านอา ท่านอากล่าวว่า เพิ่งได้ขนมแป้งย่างรสหวานมา ให้ข้านำมาให้ท่านลองชิมขอรับ”
ฉินไท่เฟยเอ่ยถาม “ท่านอาของเ้าสบายดีหรือไม่”
“สบายดีขอรับ ท่านอายังมอบภาพวาดให้พี่สาวข้าด้วย ข้านำมาด้วยขอรับ ท่านอยากดูหรือไม่” โจวโม่เสวียนส่งกล่องขนมไปให้บ่าวรับใช้ จากนั้นจึงนั่งลงข้างกายฉินไท่เฟย เข้าไปกอดแขนนาง
“อยากดู” ฉินไท่เฟยกล่าวจบก็ได้กลิ่นหอมของเหมยกุ้ยจางๆ เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ถือขนมแป้งย่างออกมาก็ยิ้ม “ที่แท้ก็เป็แป้งย่างเหมยกุ้ยนี่เอง”
“ข้าไม่กินนะขอรับ ไม่รู้ว่าเป็แป้งย่างอันใด” ในตอนที่โจวโม่เสวียนลุกขึ้นก็ได้เห็นสายตาจากบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยนหวังเฟย เขาจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าจะไปนำรูปมาให้ท่าน”
ที่แท้ก่อนที่โจวโม่เสวียนจะเข้ามาเมื่อครู่นี้ เ้านายสูงสุดทั้งสามคนของจวนเยี่ยนอ๋องได้ทราบเื่ที่เขาต่อกลอนคู่ และประกาศบทกลอนคู่อันยอดเยี่ยมทั้งหกบทในงานวันเกิดของโจวฉยงรุ่ยแล้ว
มิน่าเล่าโจวปิงจึงยิ้มให้เขา
ฉินไท่เฟยชมภาพดอกเหมยอย่างระมัดระวัง นางที่มาจากตระกูลใหญ่ชอบภาพตันชิง (ภาพที่เน้นสีแดงและสีเขียว) มาตลอด แม้ทักษะการวาดจะยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ แต่ก็สามารถนำมาชื่นชมได้ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เอ่ยชมออกมาว่า “ทักษะการวาดภาพของชิงอวิ๋นพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”
เยี่ยนหวังเฟยก็เป็ผู้ที่ชื่นชอบในภาพอักษรและภาพวาดเช่นเดียวกัน ทั้งยังประสบความสำเร็จมากด้วย นางรับภาพวาดดอกเหมยมาจากมือฉินไท่เฟย หลังจากพินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้า “ญาติผู้น้องวาดได้โดดเด่นกว่าอาจารย์หลายท่านที่ข้ารู้จักเสียอีก หากข้าไม่ทราบว่าเป็เขา คงคิดว่าชายชราอายุหลายสิบปีเป็ผู้วาดเสียอีก”
ดวงตาของฉินไท่เฟยทอประกายหม่นหมองจางๆ กล่าวอย่างยินดีว่า “ภาพของชิงอวิ๋นดีจริงๆ เพียงแต่ยังไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนกับภาพวาดจากฝีมือของเด็กหนุ่ม”
เยี่ยนหวังเฟยรู้สึกเสียใจกับคำพูดของตน จึงรีบกล่าวไปว่า “ต้องตำหนิที่ข้ากล่าวผิดไป ท่านแม่ ท่านอย่าได้คิดมากไปเลย”
โจวโม่เสวียนนำรูปมาให้โจวปิงดูแล้วก็เก็บกลับมา เมื่อเห็นฉินไท่เฟยอารมณ์หดหู่ไร้ซึ่งความสุขก็กล่าวไปว่า “วันนี้ข้าไปเจอท่านอามา สีหน้าดีขึ้นมากเลยทีเดียว ทั้งยังยิ้มและพูดกับข้าหลายครั้ง เล่าเื่น่าสนใจให้ฟังด้วยขอรับ”
ฉินไท่เฟยถามด้วยความแปลกใจ “เื่น่าสนใจอันใด”
โจวโม่เสวียนหัวเราะกล่าวขึ้นว่า “ท่านทานขนมแป้งย่างรสหวานให้เสร็จก่อน ข้าค่อยเล่าให้ฟัง”
_____________________________
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้