สายลมเคลื่อนคล้อย บุปผาเบ่งบาน ใบไม้ร่วงหล่น และผู้คนก็หวนคืนถิ่น
ในูเาพงไพร ชายชุดขาวเดินฮัมเพลงเบาๆ ด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว เขาเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมของมวลผกาและใบหญ้าเขียวขจี เคียงข้างมากับเงาต้นไม้ใหญ่ด้วยความสบายใจไร้กังวล
ต้นหญ้าต้นน้อยปูเป็พรมเขียวขจีบนพื้นดิน ดอกไม้ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งสองข้างทาง ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้าน เถาวัลย์โบกสะบัดกำจัดฝุ่นละออง
ตลอดทางกลับของหนิงเทียนมีหมู่บุปผาบานสะพรั่งทุกย่างก้าว ทุกบริเวณที่เขาเดินผ่าน เหล่าพฤกษาอสูรต่างหมอบคลาน ทั้งยังคร่ำครวญและเข้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวเขา
จำได้ว่ายามผ่านทางนี้เมื่อคราก่อน มักจะมีเหล่าพฤกษาก่อกวนไม่ต่างกัน ทว่าทิวทัศน์ขณะนี้กลับต่างออกไป
หนิงเทียนซึ่งอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสอง ไม่ว่าจะแผ่ขยายยุทธศาสตร์ครอง์ไปถึงแห่งหนใด เหล่าพฤกษาล้วนต้องศิโรราบ และเหล่าอสูริญญาก็ล้วนกระสับกระส่าย
“ฮ่าๆ มีเด็กหนุ่มชุดขาวผ่านมา หยุดเดี๋ยวนี้! ส่งหินิญญาและรากบ่มเพาะทั้งหมดมาให้ข้า”
ด้านนอกป่า คนสี่คนะโออกมาขวางทางหนิงเทียนอย่างกะทันหัน
“พวกเ้าทำอะไร?”
“ปล้นอย่างไรเล่า! ชัดเจนถึงเพียงนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ? ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนักเ้าเด็กโง่”
หวังเสี่ยวลิ่ววางมือเท้าสะโพก พร้อมเชิดหน้ายืดอกประหนึ่งตนคือาาแห่งขุนเขา
“อย่ามัวเสียเวลาเลยเ้าหนู เราแค่ปล้น ไม่ได้จะเอาชีวิต ดังนั้นรีบมอบของดีมาให้หมด!”
หลีอวี่ะโเสียงดังพร้อมเงาต้นไม้ข้างกายที่สั่นไหว เพียงมองแวบแรกก็ทราบได้ว่าพวกเขามาจากสำนักั์พฤกษา
หนิงเทียนมองทั้งสี่คนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ดสองคนและขั้นหกอีกสองคน กล้าดีอย่างไรมาดักปล้นอยู่ตรงนี้?
“นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ พวกเ้าไปเรียนเื่เช่นนี้มาจากผู้ใดกัน?” หนิงเทียนเอ่ยออกไปอย่างสบายๆ คาดไม่ถึงว่าหวังเสี่ยวลิ่วจะตอบคำถามของเขาอย่างจริงจัง
“แน่นอนว่าข้าย่อมเรียนมาจากศิษย์พี่เหลียนและศิษย์พี่หู พวกเขาไล่ปล้นไปทุกแห่งหน ส่วนเราเพียงมาดักจับปลาตัวเล็กตัวน้อยอยู่ที่นี่”
“ศิษย์พี่เหลียน? เหลียนจิ้น?”
หลีอวี่ตอบว่า “ย่อมเป็สหายเหลียนจิ้นผู้นั้น เ้าหนูอย่าคิดมาตีสนิท ส่งแหวนมิติมาเดี๋ยวนี้!”
“พวกเ้าปล้นคนตรงนี้ไปกี่คนแล้ว?” หนิงเทียนถามด้วยรอยยิ้ม
หวังเสี่ยวลิ่วกล่าวอย่างภาคภูมิ “หากรวมเ้าด้วยก็เป็ยี่สิบหกคน”
“เช่นนี้คงปล้นของดีมาเยอะเลยใช่หรือไม่?”
“เื่นั้นยังต้องกล่าวถึงอีกหรือ? แล้วเ้าจะถามไปทำไม?”
หลีอวี่กล่าว “เ้าเด็กนี่หน้าตาเ้าเล่ห์ยิ่งนัก มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี กดมันลง!”
ศิษย์สองคนในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหกเอื้อมมือมาจับร่างของหนิงเทียนโดยไม่พูดอะไร
“เ้าหนู ตั้งสติหน่อย...อ๊ะ! เ้าจะทำอะไร?”
“ปล้นไง! ข้าเองก็ชอบปล้นผู้อื่นมากที่สุดเช่นกัน” หนิงเทียนคว้าแขนของพวกเขาแล้วบีบเบาๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับร้องลั่นราวหมูถูกเชือด
หวังเสี่ยวลิ่วสะดุ้งก่อนจะะโเสียงดัง “เ้าหนู! ข้าอยู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ด จะ...เ้าอย่าเข้ามา อ๊าก!”
“ความสามารถน้อยนิดเพียงนี้กลับกล้าปล้นผู้อื่น ช่างดื้อด้านเสียจริง”
“เหอะ! หินิญญาเพียงสองสามพันก้อน รากบ่มเพาะก็แค่หกชิ้น ดูศักยภาพที่ต่ำต้อยของพวกเ้าสิ”
หนิงเทียนแสดงสีหน้ารังเกียจจนพวกเขาทั้งสี่คนโกรธมาก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาตอบโต้
“เนื่องจากพวกเ้าตั้งใจปล้นโดยไม่คิดเอาชีวิต วันนี้ข้าจะไม่ลงโทษพวกเ้า แต่วันหน้าหากอยากปล้นก็จงหาพวกแกะอ้วน อย่าเสียเวลากับเหล่าคนยากจน”
เมื่อมองร่างของหนิงเทียนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป หวังเสี่ยวลิ่วและหลีอวี่ก็แสดงท่าทางสับสน
คนผู้นี้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสองจริงหรือ?
...
บนูเา หญ้าเขียวขจีเริงระบำอย่างพลิ้วไหว บุปผาบานสะพรั่งสวยงาม และใบไม้ร่วงหล่นปลิวตามสายลมติดตามหนิงเทียน
เขามีบงกชสีมรกตคอยเคียงข้างและต้นไม้แห้งเหี่ยวซ่อนอยู่ด้านหลัง จึงสามารถเดินผ่านแดนลับได้ทีละหลายจั้ง และในไม่ช้าก็มาถึงทะเลสาบ
บนเกาะกลางทะเลสาบมีต้นไม้ั์สูงประมาณร้อยจั้ง ทั้งยังมีหลุมเก้าหลุม ซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
ในวันที่สิบสี่ ศิษย์ส่วนใหญ่เดินทางออกจากแดนลับเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงสิบคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงคำรามที่ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง ก่อนร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเืจะตกลงมาจากกลางอากาศ
“ศิษย์พี่เฉิน!”
สุ้มเสียงแสนไพเราะของหญิงสาวร่ำไห้อย่างโศกเศร้า ชุดสีน้ำเงินของนางเปื้อนเื ใบหน้างดงามดุจดอกไม้เต็มไปด้วยความอ้างว้าง
หูเถี่ยซินมองนางด้วยสายตาเ็าแล้วพูดอย่างขมขื่น “หากไม่ใช่เพราะพวกเ้า ศิษย์พี่หลานซานหู่จะตายที่นี่ได้อย่างไร? ยามนี้เ้าเด็กหน้าเหม็นหนิงเทียนนั่นไม่เหลือกระดูกแล้ว ก็ย่อมเป็เ้าที่ต้องรับผิดชอบความแค้นของศิษย์พี่หลาน!”
“ไม่! ศิษย์น้องหนิงต้องไม่ตาย เ้ากำลังพูดไร้สาระ” เสิ่นซินจู๋ได้ยินเช่นนี้ก็หน้าถอดสี ร่างอันละเอียดอ่อนสั่นไหว และมีหยาดน้ำตาไหลอาบดวงหน้า
เฉินจี๋ซึ่งอาบไปด้วยเืพยายามลุกขึ้นมองนางด้วยสายตาเศร้าสร้อย “ศิษย์น้อง... ข้าจะหยุดเขาไว้เอง จะ...เ้ารีบหนีไปเถิด”
หูเถี่ยซินหัวเราะเยาะ “หนีหรือ? ช่างเพ้อฝันยิ่งนัก!”
เสิ่นซินจู๋กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเกลียดชัง “ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนกระทำ การตายของหลานซานหู่ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่เฉิน! ปล่อยเขาไป...”
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือหนากระทบใบหน้างามดังสนั่น นางกระเด็นออกไปสามจั้งและแก้มบวมแดงขึ้นทันที
“แม้ในยามใกล้ตายเ้ายังกล้าเจรจาต่อรอง เ้ากล้าดีอย่างไร?”
“ศิษย์น้องเสิ่น!”
ศิษย์สำนักร้อยบุปผาที่เห็นเหตุการณ์ต่างร้องไห้อย่างเศร้าใจ ทว่าพวกเขาไม่กล้าก้าวออกมา
“ศิษย์น้องฉิน โปรดเห็นแก่มิตรภาพในอดีต ช่วยพูดอะไรเพื่อศิษย์น้องเสิ่นหน่อยเถิด”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยเมินเฉยคำขอของเฉินจี๋ แม้สหายร่วมสำนักอีกหลายคนจะขอร้องนาง แต่นางก็ยังคงเพิกเฉยพวกเขา
ยามนั้นที่หนิงเทียนสังหารหลานซานหู่ เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองนางเลยสักนิด
ในเวลานั้นเสิ่นซินจู๋ก็ภูมิใจนักหนา นางเคยนึกถึงความรู้สึกของฉินเสี่ยวเยวี่ยบ้างหรือไม่?
ยามนี้คนจากสำนักั์พฤกษากลับมาแก้แค้น นางก็สมควรโดนแล้ว
เสิ่นซินจู๋หันมองฉินเสี่ยวเยวี่ยและทันเห็นใบหน้าเ็าของนาง จึงหัวเราะเย้ยหยันตนเอง “มีคำกล่าวว่าสหายในยามยากคือมิตรแท้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว คนส่วนใหญ่ในใต้หล้าล้วนมีภายนอกสวยดั่งทองและหยก[1]”
ร่องรอยความอับอายและหงุดหงิดปรากฏบนใบหน้าของฉินเสี่ยวเยวี่ย เดิมทีนางยังมีความรู้สึกผิดต่อเสิ่นซินจู๋อยู่บ้าง ทว่ายามนี้ร่องรอยความเห็นอกเห็นใจครั้งสุดท้ายนั้นได้หายไปแล้ว
ดอกไม้รูปร่างประหลาดแปดดอกเบ่งบานรอบกายเฉินจี๋ เขาาเ็สาหัสแต่ไม่อาจล้มลงได้ เขา้าความหวังอันริบหรี่เพื่อช่วยชีวิตเสิ่นซินจู๋
“ศิษย์น้องรีบหนีไป!” เสียงคำรามบ่งบอกถึงความดื้อรั้นและความคิดที่ว่าเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ[2]ของเฉินจี๋ ไม่ว่าเขาจะสามารถช่วยเสิ่นซินจู๋ได้หรือไม่ เขาก็เลือกที่จะทำเช่นนี้
“ศิษย์พี่เฉิน!”
ศิษย์ร่วมสำนักหลายคนร้องไห้เสียใจ เสิ่นซินจู๋กรีดร้องโหยหวน ดอกไม้ทั้งเจ็ดข้างกายควบแน่นเป็วังวน นางดีดกายตีลังกากลับหัวด้วยไม่อาจทนมองศิษย์พี่เฉินตายในที่แห่งนี้ได้
หากจะมีคนต้องตาย ผู้นั้นควรเป็นาง!
พลังของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ดไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่เสิ่นซินจู๋ลืมเื่ความเป็และความตายไปแล้ว ยามนี้นางไร้ซึ่งความกลัว
“ตั๊กแตนตำข้าวขวางทางเกวียน[3]!”
หูเถี่ยซินอยู่ขั้นเก้าของขอบเขตจิตหยั่งลึก ทั้งยังเป็โหราจารย์และมีธนูศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ นอกจากเหล่าผู้บำเพ็ญขอบเขตผนึกดาราแล้ว ในที่นี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเขาได้
“ทรุดลงไปเสีย!”
หูเถี่ยซินโจมตีเพียงฝ่ามือเดียว ความรุนแรงนี้สามารถทำให้แขนของเฉินจี๋หักและทรุดลงกับพื้น และเืของเขาก็ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดทันที
“คุกเข่าลงแล้วจงยอมรับโทษทัณฑ์” หูเถี่ยซินใช้มือซ้ายจับแขนเสิ่นซินจู๋แล้วกดร่างนางลงกับพื้นอย่างแรง
เสิ่นซินจู๋พยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แม้ภายนอกนางจะดูอ่อนโยน ทว่าภายในช่างแข็งแกร่ง นางยอมสู้จนตัวตายมากกว่ายอมคุกเข่าให้ศัตรู ทั้งยังบิดตัวอย่างแรงก่อนจะถูกหูเถี่ยซินทุ่มลงพื้น จนเืไหลออกจากปากและจมูก
“ศิษย์พี่เหลียน ท่านจะลงมือเองหรือให้ข้าลงมือ?” หูเถี่ยซินมองไปทางเหลียนจิ้นที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ั์แล้วถามความคิดเห็นของเขา
เหลียนจิ้นเหลือบมองเสิ่นซินจู๋ที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ยามนี้นางไม่หลงเหลือความงามอีกแล้ว ดวงตาแห่งความเกลียดชังและการแสดงออกอันดื้อรั้นของนางก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขามากนัก
“ให้เป็หน้าที่ของเ้าเถิด”
“เช่นนั้นข้าจะล้างแค้นแทนศิษย์พี่หลานด้วยมือของข้าเอง!”
หูเถี่ยซินมองเสิ่นซินจู๋อย่างเยาะเย้ย ก่อนจะเตะนางจนกระเด็นไปไกลกว่าหกเจ็ดจั้ง
“ศิษย์น้อง...” เฉินจี๋เอ่ยเสียงเศร้าพร้อมหันหน้ามองนางอย่างยากลำบาก
ศิษย์จากสำนักร้อยบุปผาในที่เกิดเหตุล้วนมีแววตาวิตกกังวลและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
บางคนวิ่งเข้าไปหาฉินเสี่ยวเยวี่ย แล้วคุกเข่าขอร้องให้นางช่วยเสิ่นซินจู๋ ทว่าฉินเสี่ยวเยวี่ยยังคงเมินเฉยเช่นเดิม
“ตายเสียเถอะ!” หูเถี่ยซินคำรามก้อง เขาถลาร่างลงมาราวนกั์ และเตรียมใช้ฝ่ามือฟาดหัวเสิ่นซินจู๋
“ไม่! อย่านะ...”
เสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วเกาะ บรรดาศิษย์สำนักร้อยบุปผาเต็มไปด้วยความเศร้า แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้
หูเถี่ยซินทั้งดุร้ายและโเี้ มุมปากของเขายกยิ้มเย้ยหยัน ฝ่ามือนี้ทรงพลังมากจนทำให้ทุกสารทิศต้องตื่นตระหนก
ขณะที่เขากำลังจะปลิดชีพเสิ่นซินจู๋ด้วยฝ่ามือ กลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็นก็เข้าปกคลุมหัวใจเสียก่อน
ทันใดนั้นหูเถี่ยซินก็เปลี่ยนกลยุทธ์ตามสัญชาตญาณ เขาละทิ้งการสังหารเสิ่นซินจู๋แล้วเบี่ยงร่างหลบหนีไปอีกทาง
ในเวลาเดียวกัน ร่างในชุดขาวราวหิมะก็ปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นซินจู๋ พร้อมโอบประคองนางไว้ในวงแขน
เืย้อมผ้าขาวจนแดงฉาน แสดงถึงอารมณ์รกร้างยากที่จะพรรณนา ความโกรธแค้นเดือดดาลปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ
ใบหน้าหล่อเหลาของหนิงเทียนฉายแววตาคมกริบราวมีดสังหาร ขณะที่ร่างในอ้อมแขนอาบเื แก้มบวมเป่ง และลมหายใจถี่ สถานการณ์ของนางเลวร้ายมาก
หูเถี่ยซินเหงื่อตก หลังจากตั้งหลักได้แล้วเขาก็เคลื่อนกายออกไปสองสามจั้งแล้วะโถาม “นั่นใคร?”
ทันทีที่ฉินเสี่ยวเยวี่ยมองร่างขาวราวหิมะ ร่างกายอันละเอียดอ่อนของนางก็สั่นสะท้าน นางรู้สึกรำคาญใจจนไม่อาจบรรยายได้
เขายังไม่ตายอีกหรือ? เหตุใดยังรอดมาได้อีก?
ฉินเสี่ยวเยวี่ยกัดฟัน ความรู้สึกสูญเสียที่อธิบายไม่ได้เอ่อล้นในจิตใจราวกับนางพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไปแล้ว
“ศะ...ศิษย์น้องหนิง” เฉินจี๋ร้องออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาหลั่งไหลราวสายพิรุณ เขารู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก
“หนิงเทียน! จะ...เ้า...ยังมีชีวิตอยู่?” หูเถี่ยซินใอย่างมาก
ั้แ่ครั้งแรกที่เห็นเด็กคนนี้ เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็ตัวหายนะ จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดเขาออกไป แต่ผู้ใดจะคิดว่าเ้าเด็กนี่จะอยู่รอดมาจนถึงยามนี้ โชคชะตาของเขาช่างยิ่งใหญ่เสียจริง
เสิ่นซินจู๋เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและคิดว่าตนคงถึงฆาตแล้ว คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีแขนแข็งแกร่งคู่หนึ่งมาโอบนางไว้ทันเวลา
ยิ่งได้เห็นใบหน้านี้ชัดเจนผ่านม่านน้ำตา นางก็ยิ่งตกตะลึง
“ศิษย์น้องหนิง! ข้าฝันไปหรือ?”
แสงอันนุ่มนวลส่องประกายในดวงตาของหนิงเทียน รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นที่มุมปาก “นี่ไม่ใช่ความฝัน ข้ากลับมาแล้ว”
“พะ...พวกเขา...บอกว่าเ้าตายแล้ว ขะ...ข้าคิดว่ามันเป็เื่จริง” เสิ่นซินจู๋ร้องไห้ ยามนี้ความเศร้าและความคับข้องใจทั้งหมดปะทุออกมา
หนิงเทียนกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเขาเห็นสภาพที่น่าสังเวชของเฉินจี๋ แสงเย็นวาบก็สาดส่องเข้ามาในดวงตา และจ้องมองฉินเสี่ยวเยวี่ยอย่างเยือกเย็น
เมื่ออีกฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าลงด้วยไม่กล้าเผชิญหน้าเขา
หูเถี่ยซินหยิบธนูยาวออกมา ความกลัวแต่เดิมถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย
“ไม่ตายก็ดี! ส่งพู่กันนั้นมา แล้วจงคุกเข่าลงรับโทษทัณฑ์!” หนิงเทียนร่อนกายลงพื้นแล้วเดินเข้าไปหาเฉินจี๋ โดยมีเสิ่นซินจู๋อยู่ในอ้อมแขน
“ศิษย์น้องหนิง พวกเขาโกรธศิษย์น้องเสิ่นเพราะเื่ของหลานซานหู่ เ้าระวังเหลียนจิ้นไว้ด้วย เขาอยู่ขอบเขตผนึกดาราขั้นแรกแล้ว”
“หลานซานหู่? ยอดไปเลย!” หนิงเทียนค่อยๆ วางเสิ่นซินจู๋ลง แล้วบอกให้นางอยู่ข้างกายเฉินจี๋
เมื่อมองหูเถี่ยซินที่ถือธนูยาว หนิงเทียนก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ย
“วันนั้นหลานซานหู่รังแกศิษย์พี่ของข้า ข้าจึงสังหารเขา! มาวันนี้เ้าก็ยังมารังแกศิษย์พี่ของข้าอีก เ้าว่าข้าควรถลกหนังเ้าออก หรือหั่นร่างเ้าเป็พันๆ ชิ้นดีเล่า?” รอยยิ้มของหนิงเทียนเผยให้เห็นความเ็าที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก
เ้าเด็กนี่แข็งแกร่งพอๆ กับเขาผู้อยู่ในฐานะโหราจารย์ ทั้งยังมีหลากหลายหนทางในการต่อสู้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
“คิดขู่ข้าหรือ? เ้ายังเด็กเกินไป ถ้าวันนี้ไม่ส่งพู่กันมา แม้กระทั่งาา์ก็ช่วยเ้าไม่ได้!”
คันธนูไม้ในมือกระแทกลงกับพื้น เงาต้นไม้เกี่ยวพัน จากนั้นภูมิประเทศก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
นี่คือวิธีการที่โหราจารย์ใช้ดักจับและฆ่าศัตรู!
---------------------------------------
[1] ภายนอกสวยดั่งทองและหยก (金玉其外) หมายถึง สวยแต่รูป จูบไม่หอม
[2] เห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ (视死如归) หมายถึง ไม่สะทกสะท้านต่อความตาย
[3] ตั๊กแตนตำข้าวขวางทางเกวียน (螳臂当车) หมายถึง ไม่รู้จักประมาณตน ทำเื่เกินกำลัง หรือไม่เจียมตัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้