ในตำหนักใหญ่ของวิทยาลัยเซิ่งตู
อาจารย์ใหญ่หญิงงามเห็นหลิ่วเทียนฉีเดี๋ยวใช้ยันต์วิเศษวางกับดัก เดี๋ยวใช้ยันต์วิเศษทำกำแพงกับเกราะป้องกัน เด็กคนนี้ช่างเป็ผู้ใช้ยันต์วิเศษได้อย่างมหัศจรรย์จนนางรู้สึกอิจฉาจริงเชียว
“โธ่ ครั้งนี้วิทยาลัยยันต์ของศิษย์พี่อู๋ฉิงถูกกำหนดให้ได้ผู้มีความสามารถเพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว!”
“ไม่แน่หรอก เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน!” อู๋ฉิงมองหลิ่วเทียนฉีในกระจกก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ใช่แล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ตอนนี้จะเดินทางมาถึงทางออกเร็วที่สุดก็ต้องยี่สิบวัน หรือก็คือ หากเฉียวรุ่ยเลื่อนระดับไม่สำเร็จ พวกเขาก็ออกจากถ้ำูเาไม่ได้ภายในสิบวัน หากเป็เช่นนั้นต้องถูกคัดออก ตกรอบแล้วล่ะ!” อาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยกระบี่ลูบเคราแพะ กล่าวเสริมขึ้นมา
“สิบวันเลื่อนเป็ระดับสร้างรากฐานหรือ? รีบเร่งเกินไปไหม?” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนได้ยินพลันมีสีหน้าหดหู่
ถ้าภายในสามเดือนออกมาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ถ้าเป็อย่างนั้นบุรุษสองเพศน้อยคนนั้นก็เข้าวิทยาลัยยุทธ์ของเขาไม่ได้น่ะสิ!
“หากพูดเช่นนี้ เป็ไปได้มากว่าพวกเขาจะถูกคัดออกสินะ?” อาจารย์ใหญ่หญิงงามมองอู๋ฉิงแล้วถาม
“เจ็ดส่วน เป็ไปได้ว่าจะถูกคัดออก!”
ได้ยินคำนี้ อาจารย์ใหญ่หญิงงามจึงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม “ต่งเฟิง เ้าโง่นี่ ผู้อื่นเลื่อนระดับแล้วเกี่ยวอันใดกับเขาเล่า? ทำไมถึงต้องรั้นอยู่ต่อด้วยนะ?”
ต่งเฟิงน่ะ แม้วิชาต่อสู้มือเปล่า วิชากระบี่และวิชาพลังทิพย์ไม่ดีเท่าไรนัก แต่อย่างไรก็เป็นักหลอมโอสถขั้นสองเชียวนะ หากออกจากเขาเทียนมู่มาได้ต้องเป็คนของวิทยาลัยโอสถแน่นอนแล้ว! แต่เ้าเด็กนี่กลับรั้งอยู่ด้วยกันกับเ้าหนูสองคนนั่น ช่าง ช่างโง่เขลาได้น่าตายจริงเชียว
“เฮ้อ หลิ่วเทียนฉีคนนี้ไม่เลวจริงๆ นะ ถ้าออกจากเขาเทียนมู่แล้วมาวิทยาลัยค่ายกลของข้าล่ะก็ ด้วยสติปัญญาของเขา วันหน้าต้องได้เป็ผู้ใช้ค่ายกลระดับสูงแน่” พูดถึงตรงนี้ อาจารย์ใหญ่ร่างเตี้ยของวิทยาลัยค่ายกลทำหน้าเสียดาย
“พอเถอะ อย่าคิดมากเลย เขาเป็ผู้ใช้ยันต์ ออกจากเขาเทียนมู่คงไปวิทยาลัยยันต์ ไม่มีทางไปวิทยาลัยค่ายกลของเ้าหรอก!” อาจารย์ใหญ่หญิงงามชำเลืองมองอีกฝ่ายพลางบอกอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ใช่หรอก เ้าดูเขาสิ ยังใช้ค่ายกลไม่เป็ก็รู้จักใช้ยันต์วางกับดักกับวางเกราะป้องกันเสียแล้ว เขามีพร์ค่ายกลมากเพียงไรกันนะ!”
พูดตามตรง อาจารย์ใหญ่ร่างเตี้ยชอบเ้าหนูคนนี้นัก เ้าหนูฉลาดเหลือเกิน หากมาที่วิทยาลัยค่ายกล ใช้เวลาสักหน่อยต้องกลายเป็ผู้ใช้ค่ายกลที่ร้ายกาจแน่
ได้ยินเข้า อู๋ฉิงก็อดกลอกตามองบนไม่ได้
“เฮ้อ หวังว่าเ้าหนูสามคนนี้จะออกจากเขาเทียนมู่ได้ทันเวลานะ!” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนมองทั้งสามคนในกระจก ได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆ ให้พวกเด็กน้อยออกมาได้ทันเวลา
.........
ขณะที่เฉียวรุ่ยเลื่อนระดับสู่ระดับสร้างรากฐาน หลิ่วเทียนฉีกับต่งเฟิงก็ไม่ได้ว่าง ตอนเช้าหลิ่วเทียนฉีมักวาดยันต์ ตอนบ่ายค่อยฝึกฝน ไม่ให้เสียเวลาสักนิด ส่วนต่งเฟิงตอนเช้าฝึกฝน ตอนบ่ายหลอมโอสถ วุ่นวายอย่างสนุกสนานกันทีเดียว
อู๋ฉิงนั่งอยู่หน้ากระจกสำริด มองหลิ่วเทียนฉีวาดอักขระยันต์ขั้นสามทีละขีด เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ลายพู่กันของเด็กคนนี้หนักแน่นชำนาญยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าได้อาจารย์ชื่อดังชี้แนะมา นอกจากนี้ยันต์ทุกแผ่นที่อีกฝ่ายวาดออกมาล้วนสมบูรณ์สวยงามเป็ที่สุด แทบไม่มีจุดผิดพลาดเลยสักนิด กระทั่งองศาที่ยากจะเข้าใจ คล้ายว่าเขาจะควบคุมได้อย่างแม่นยำและชำนาญ หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง มองเพียงยันต์ที่วาดเสร็จเ่าั้ อู๋ฉิงคงคิดว่าเป็ผู้ใช้ยันต์คร่ำหวอดคนหนึ่งวาดออกมา ไม่มีทางคิดว่านี่คือยันต์ที่เด็กอายุไม่ถึงสามสิบปีคนหนึ่งวาดออกมาเป็อันขาด
กล่าวได้ว่าหนึ่งร้อยกว่าปีมานี้ ในการคัดเลือกรับสมัครศิษย์สิบกว่าครั้งของวิทยาลัยเซิ่งตู ไม่เคยมีสักคนที่มีพร์และความสำเร็จทางยันต์ได้เฉกเช่นเด็กคนนี้ เขาเหมือนมีพร์ั้แ่เกิด เพียงเกิดมาก็เหมาะสม สำเร็จการเป็ปรมาจารย์ยันต์รุ่นหนึ่ง!
“เฮ้อ น่าเสียดาย!” เด็กมีแววเช่นนี้ กลับ กลับตัดขาดจากวิถีไร้ใจ
“ฮ่าๆๆ...” อาจารย์ใหญ่หญิงงามเห็นท่าทางของอู๋ฉิงก็หัวเราะเล็กน้อย
อาจารย์ใหญ่หญิงงามรู้ชัดยิ่ง หากต่งเฟิงถูกคัดออก ไม่อาจเข้าวิทยาลัยโอสถได้ นางคงเสียดายนิดหน่อยเท่านั้น แต่หากหลิ่วเทียนฉีที่มีพร์ทางยันต์ดีเช่นนั้นไม่อาจเข้าวิทยาลัยยันต์ได้ เกรงว่าศิษย์พี่อู๋ฉิงคงได้แต่กุมมือพลางถอนหายใจ อย่างไรพร์ทางยันต์ที่ดีเช่นนี้ไม่ได้เจอบ่อยเสียหน่อย!
“อู๋ฉิง สาวน้อยคนนี้ไม่เลวนะ วาดยันต์ขั้นสามได้เหมือนกัน!” อาจารย์ใหญ่เคราแพะเห็นท่าทางของนางเอกกำลังวาดยันต์ในกระจกก็เรียกอู๋ฉิงคำหนึ่ง
อู๋ฉิงได้ยินจึงผินหน้าไปมองกระจกของอาจารย์ใหญ่เคราแพะ
เห็นนางเอกกำลังวาดยันต์โจมตีขั้นสามระดับล่างท่ามกลางการปกป้องของผู้ฝึกตนหญิงอีกสองคนก็หรี่ตาลง
“พร์ธรรมดาเท่านั้น เทียบหลิ่วเทียนฉีไม่ได้เลย!”
อาจารย์ใหญ่เคราแพะได้ยินพลันหัวเราะ “สายตาของศิษย์น้องอู๋ฉิงนี่สูงจริงนะ!”
อู๋ฉิงได้ยินกลับไม่พูดไม่จา หากไม่เทียบกับหลิ่วเทียนฉี สาวน้อยคนนั้นวาดยันต์ขั้นสามได้ก็นับว่าไม่เลวหรอก แต่พอเทียบกับยันต์ที่เขาวาด ยันต์ของสาวน้อยจึงดูด้อยกว่ากันเยอะ!
.........
ยี่สิบวันให้หลัง
เมื่อเห็นแสงรัศมีสายแล้วสายเล่าที่สะท้อนออกมาเหนือกำแพงวารีป้องกัน หลิ่วเทียนฉีก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง ต่งเฟิงก็เช่นกัน
“เฉียวรุ่ยเลื่อนระดับแล้ว เฉียวรุ่ยเริ่มเลื่อนสู่ระดับสร้างรากฐานแล้ว!” ต่งเฟิงมองหลิ่วเทียนฉี เขาเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
“อืม!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้า สีหน้าตื่นเต้นไม่แพ้กัน ในที่สุดเสี่ยวรุ่ยของเขาก็จะเลื่อนระดับ กลายเป็ระดับสร้างรากฐานแล้วสินะ
ทั้งสองคนยืนรออยู่อีกฝั่งของกำแพงวารีอย่างอดทน
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม แสงรัศมีค่อยๆ สลายไป
หลิ่วเทียนฉีโบกมือแหวกกำแพงวารี เห็นเฉียวรุ่ยวิ่งออกมาอย่างดีใจ “เทียนฉี ข้าเลื่อนระดับสำเร็จแล้ว!”
“อืม!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้า ก้าวเข้าไปกอดคนรัก
“เทียนฉี!” เฉียวรุ่ยที่ถูกกอดเข้าเต็มรักพลันหน้าแดงเล็กน้อย
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลิ่วเทียนฉีมองคนในอ้อมแขนพลางถามขึ้นอย่างกังวล
“อืม รู้สึกดีมากเลยล่ะ!”
“ที่ตัวข้ามีโอสถคงสภาพขั้นสามอยู่เม็ดหนึ่ง เฉียวรุ่ย เ้ากินมันเสีย ทำให้พลังคงที่สักหน่อย! ไม่เช่นนั้นพลังของเ้าจะผันผวน ตอนต่อสู้กับสัตว์อสูรคงไม่ดีกับเ้าแน่!” ต่งเฟิงพูดก่อนหยิบโอสถเม็ดหนึ่งส่งให้
“นี่...” อย่างไรก็เป็โอสถขั้นสาม เฉียวรุ่ยย่อมไม่สะดวกใจรับ
“เอาไปเถอะ ตลอดทางเ้ากับเทียนฉีช่วยข้ามาไม่น้อยเชียว”
“ขอบคุณเ้ามากนะต่งเฟิง!” หลิ่วเทียนฉีบอกขอบคุณ รับโอสถไปส่งให้เฉียวรุ่ย
“อืม ขอบคุณเ้ามากต่งเฟิง!” เฉียวรุ่ยมองต่งเฟิงนิดหน่อยก่อนขอบคุณ
“สมควรแล้วล่ะ!” ต่งเฟิงโบกมือ ตอบกลับอย่างไม่เห็นเป็เื่สำคัญ
เฉียวรุ่ยกินโอสถเสร็จ เขาใช้เวลาเก็บตัวอีกห้าวันถึงทำให้พลังระดับสร้างรากฐานของตนคงที่ได้
พวกเขารอจนเฉียวรุ่ยออกมาอีกครั้ง รู้สึกถึงพลังที่ไม่เลื่อนลอยเช่นก่อนหน้านี้
“พวกเราเร่งเดินทางกันต่อเถอะ!” หลิ่วเทียนฉีเห็นเฉียวรุ่ยออกมาก็เปิดเกราะป้องกัน ปลดค่ายกลสังหารนอกถ้ำ ควักผลึกอสูรของสัตว์อสูรหลายตัวที่ตายอยู่ในค่ายกลสังหารให้ต่งเฟิง ส่วนศพเก็บเข้าแหวนมิติของตน
“โธ่ เหลือเวลาแค่ห้าวันแล้วหรือนี่ ไม่รู้ว่าพวกเราจะไปกันทันไหม?” พูดจบ ในใจต่งเฟิงกังวลเล็กน้อย
“หากใช้สองขาเดินไปคงไม่ไหว เพราะจากที่นี่ถึงทางออก อย่างน้อยต้องเดินทางยี่สิบวันล่ะนะ”
“อะไรนะ? อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องถูกคัดออกหรือ!” ต่งเฟิงได้ยินคำนี้ก็ส่งเสียงครวญคราง
“เทียนฉี แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?” เฉียวรุ่ยมองหลิ่วเทียนฉีอย่างร้อนใจเช่นกัน
“เหมือนเดิม แบ่งงานกัน ภายในห้าวันต้องไปถึงทางออก!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางหยิบยันต์กองใหญ่ออกมา
“ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายหรือ?” ต่งเฟิงเห็นยันต์ในมือหลิ่วเทียนฉี เขายิ้มถาม
“แค่ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายคงไม่พอ ต้องใช้ยันต์วายุกับยันต์เพิ่มความเร็วด้วย” พูดพลางแปะยันต์แต่ละชนิดทั้งสองแผ่นลงบนขาสองข้างของต่งเฟิง
“นี่ นี่เ้าทำอะไร?” ต่งเฟิงมองหลิ่วเทียนฉี เอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน
“ข้าแปะยันต์วายุสองแผ่นกับยันต์เพิ่มความเร็วสองแผ่นให้ ด้วยพลังของเ้า แปะยันต์สี่แผ่นนี้พาข้ากับเสี่ยวรุ่ยบินหนึ่งชั่วยาม น่าจะไม่มีปัญหา” หลิ่วเทียนฉีบอกอย่างจริงจัง
“ทำไมต้องเป็ข้าพาพวกเ้าบินเล่า เช่นนี้มันสิ้นเปลืองพลังทิพย์มากเลยนะ?” ต่งเฟิงว่าอย่างไม่พอใจ
“ไม่อย่างนั้น เ้ารับผิดชอบสังหารสัตว์อสูรไหมล่ะ และให้ข้าพาเ้ากับเสี่ยวรุ่ยบินแทน?” หลิ่วเทียนฉีแสยะยิ้มใส่อีกฝ่ายก่อนถามกลับ
“ไม่ ไม่ต้อง ให้ข้าพาพวกเ้าบิน พวกเ้าสังหารสัตว์อสูรกันเลยเถอะ?” ต่งเฟิงส่ายศีรษะรีบปฏิเสธ
“แค่บินหนึ่งชั่วยามคงไม่พอสินะ?” เฉียวรุ่ยมองหลิ่วเทียนฉี เขารู้สึกว่าหนึ่งวันบินหนึ่งชั่วยาม ภายในห้าวันเร่งเดินทางไปถึงทางออกคงจะไม่ไหว
“ไม่เป็ปัญหา ยังมียันต์เคลื่อนย้ายอีก รอจนต่งเฟิงบินไม่ขึ้น พวกเราก็ใช้ยันต์เคลื่อนย้าย หากสองอย่างรวมเข้าด้วยกัน ห้าวันน่าจะไปถึงทางออกได้!” ระหว่างที่เฉียวรุ่ยเลื่อนระดับ หลิ่วเทียนฉีได้เตรียมการเอาไว้แล้ว
“อ้อ!” เฉียวรุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมาก รีบไปเถอะ เวลาของพวกเรามีไม่มาก” ต่งเฟิงมองทั้งสองคนแล้วเรียก
“อืม!” หลิ่วเทียนฉีกับเฉียวรุ่ยพยักหน้า คว้าไหล่ซ้ายขวาของต่งเฟิงไว้คนละข้าง
ต่งเฟิงเห็นทั้งสองคนจับแน่นพอก็กระตุ้นยันต์วิเศษบนขา พาทั้งสองคนบินมุ่งไปยังทิศตะวันออกทันที
อันที่จริง การบินเป็เื่ที่ไม่เลวนัก ่แรกเฉียวรุ่ยรื่นรมย์พอตัว แต่หลังพบสัตว์อสูรมีปีก ความรื่นรมย์แปรเปลี่ยนเป็ความอันตรายโดยพลัน
“ตูมๆๆ...” หลิ่วเทียนฉีขว้างยันต์ะเิกำหนึ่งออกไป ะเิแหวกอสูรนางแอ่นพิรุณฝูงหนึ่ง จากนั้นจึงแปะยันต์เพิ่มความเร็วแผ่นหนึ่งบนหน้าอกต่งเฟิงเข้าไปอีก
ต่งเฟิงหนีจากฝูงสัตว์อสูรอย่างรวดเร็ว
“์ ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยบินมาก่อน แถมยังต้องมาบินเร็วปานนี้ด้วย!” ต่งเฟิงร้องใ
“บินเร็วอีกหน่อยสิ เ้าพวกนั้นไล่ตามมาแล้ว!” เฉียวรุ่ยเหลือบมองด้านหลังแล้วร้องอย่างตระหนก
“เร็วที่สุดแล้ว ข้าแปะยันต์เพิ่มความเร็วสามแผ่นเชียวนะ!” ต่งเฟิงบอกอย่างจนปัญญา
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นเอาแขนกอดเอวข้าไว้ ข้าจะหันกายไปสู้กับพวกมัน!” เฉียวรุ่ยบอก
“นี่...” ต่งเฟิงได้ยินก็เหลือบมองหลิ่วเทียนฉีที่หน้าดำอยู่ด้านข้าง
หลิ่วเทียนฉียื่นมือมาแปะยันต์เพิ่มความเร็วอีกแผ่นหนึ่งให้ต่งเฟิง ฉับพลัน เขาพุ่งออกไปประหนึ่งจรวด พริบตาเดียวสลัดสัตว์อสูรด้านหลังพ้นร่างทั้งหมด
“ว้าว เร็ว เร็วเกินไปแล้ว ข้า ข้ารู้สึกจะเป็ลมนิดหน่อย!” ต่งเฟิงกุมหน้าผากแล้วบอก
“เทียนฉี เ้าแปะยันต์เพิ่มความเร็วสี่แผ่นให้ต่งเฟิง เช่นนี้พลังทิพย์ของเขาต้องทนได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแน่!” เฉียวรุ่ยพูดอย่างเป็กังวล
“ไม่เป็ไรหรอก ครึ่งชั่วยามพวกเราก็บินได้ระยะทางของหนึ่งชั่วยามแล้ว ขอแค่เขาบินได้ครึ่งชั่วยามเป็พอ”
“อ้อ!” เฉียวรุ่ยได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า
“โอ๊ย เจ็บหน้านัก” ใบหน้าของต่งเฟิงถูกลมบาดจนเจ็บไปหมด ทุกข์ระทมเป็อย่างยิ่ง
“เฮ้ ต่งเฟิง เ้าสู้หน่อยสิ ประเดี๋ยวเจ็บหน้า ประเดี๋ยวจะเป็ลม พวกเราต้องใช้เวลาให้เร็วที่สุดไปถึงทางออกนะ ไม่เช่นนั้นต้องถูกคัดออกเชียวนะ!” เฉียวรุ่ยมองอีกฝ่ายพลางเอ่ยอย่างฮึดฮัด
“อืม ข้ารู้!” ต่งเฟิงพยักหน้าตอบกลับ
ในที่สุด หลังบินได้ครึ่งชั่วยาม ต่งเฟิงที่ถูกคั้นปราณทิพย์จนแห้ง ตอนนี้เขานอนกองไปกับพื้นเรียบร้อย
หลิ่วเทียนฉีแบกต่งเฟิง มือจูงเสี่ยวรุ่ย เขาเริ่มใช้ยันต์เคลื่อนย้ายแบบกำหนดทิศเคลื่อนย้ายตำแหน่งต่อ
เมื่อใช้ยันต์เคลื่อนย้ายต่อเนื่องกันสิบแผ่น หลิ่วเทียนฉีก็พาทั้งสองคนมาถึงทุ่งหญ้าผืนหนึ่ง
“เทียนฉี พักสักครู่เถอะ สีหน้าเ้าย่ำแย่ยิ่งนัก!” เฉียวรุ่ยเห็นคนรักสีหน้าซีดขาวก็เอ่ยอย่างกังวลใจ
“อืม พวกเราต้องพักสักหน่อย ฟื้นฟูพลังทิพย์ หลังหนึ่งชั่วยามค่อยเคลื่อนย้ายต่อ! เสี่ยวรุ่ย เ้าช่วยข้าวางการป้องกัน ปกป้องข้ากับต่งเฟิงที!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเอาใยไหมฟ้ากับยันต์วิเศษออกมาส่งให้
“อืม ได้ พวกเ้าสองคนพักผ่อนเถอะ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า รับยันต์กับใยไหมฟ้าไป เริ่มเลียนแบบหลิ่วเทียนฉี ใช้กระดูกสัตว์อสูรเป็ไม้หลัก เอาใยไหมฟ้าเป็สายเชื่อม ประสานกับพลังของยันต์วิเศษที่ใช้ วางรั้วป้องกัน
หลิ่วเทียนฉีนั่งอยู่บนพื้น เอายันต์วิเศษอีกหลายแผ่นออกมาแบ่งแปะไว้บนร่างตนกับต่งเฟิง
“เทียนฉี นี่คือยันต์อะไรหรือ? ทำไมข้ารู้สึกว่าความเร็วที่ข้าดูดกลืนปราณทิพย์มันเพิ่มขึ้นนักล่ะ?” ต่งเฟิงผู้มีใบหน้าซีดไปหมดหันมาถามหลิ่วเทียนฉีที่อยู่ตรงข้าม
“นี่คือยันต์ช่วยฝึกฝน มันช่วยดูดกลืนพลังทิพย์ได้ดีน่ะ”
“อ้อ!” ต่งเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ