อาจเป็เพราะอยากกลับบ้าน หลี่ชิงหลิงจึงรู้สึกว่าการเดินทางกลับบ้านเร็วกว่าขามา หลี่ชิงเฟิงก็ไม่ต้องแบกแล้ว สามารถเดินยาวจากเมืองตรงถึงบ้าน
ทันทีที่ไปถึงประตูบ้าน นางก็ร้องเรียกแม่เสียงดัง นางจ้าวได้ยินเสียงเรียกก็รีบออกมาจากในบ้าน โล่งใจที่เห็นลูกชายและลูกสาวกลับมาอย่างปลอดภัย
“กลับมาแล้วหรือ” นางรับตะกร้าหนักของหลี่ชิงหลิงมา “ซื้ออะไรมา? ทำไมหนักขนาดนี้?”
หลี่ชิงเฟิงเข้าไปในห้องและบอกนางจ้าวอย่างตื่นเต้นว่าคืนนี้มีเนื้อให้กิน นางจ้าวลูบหัวชมเปาะว่าดี แต่ในใจแอบเ็ป หลังจากพ่อไม่อยู่ ลูกชายก็ไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่ลูกชายถึงได้มีความสุขขนาดนี้
“ท่านแม่ ข้าขายโสมได้เงินมาหนึ่งตำลึง ซื้อของแล้วยังเหลือครึ่งตำลึง” หลี่ชิงหลิงหยิบเงินอีกครึ่งตำลึงที่เหลือออกมามอบให้นางจ้าว
นางจ้าวส่ายหัวปฏิเสธ "ของของเ้า เ้าเก็บไว้เองเถอะ!"
"ได้ ถ้าท่านแม่จะใช้ก็บอกข้านะ” หลี่ชิงหลิงเก็บ ก่อนจะหยิบของที่ซื้อออกมา "ท่านแม่ ข้าซื้อด้ายสีมาให้ท่านถัก"
"ดีจ้ะ..." นางจ้าวจับด้ายสีอย่างมีความสุข หลังแยกครอบครัว นางคิดอยากถักผ้าตาข่ายหาเงิน แต่ไม่มีเงินซื้อด้ายสี ตอนนี้นางทำได้แล้ว อนาคตครอบครัวก็คงมีรายได้เล็กน้อย
หลี่ชิงเฟิงรีบส่งซาลาเปาให้นางจ้าวกิน
นางจ้าวเห็นแล้วดีใจ แต่ก็ยังไม่วายดุหลี่ชิงหลิงนิดหน่อย เด็กสาวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ นางให้หลี่ชิงเฟิงนำสี่ลูกที่เหลือไปให้จือเยี่ยน
เด็กๆ ชอบทำงานแบบนี้ที่สุด หลี่ชิงเฟิงวิ่งหายไปพร้อมกับซาลาเปาอย่างตื่นเต้นจนนางจ้าวต้องะโเตือนให้ช้าหน่อย
“แม่ไม่ชอบซาลาเปา เ้ากินกับเสี่ยวเฟิงเถอะ!” นางจ้าวมองซาลาเปาแล้วผลักไปให้หลี่ชิงหลิง
หลี่ชิงหลิงรู้สึกอบอุ่นใจ พ่อแม่ก็เหมือนกันหมด โกหกว่าตนไม่ชอบเพื่อจะเก็บอาหารไว้ให้ลูกๆ
“กินกันเถอะ เรากินกันไปแล้ว” เธอดันซาลาเปากลับไป หยิบหมูแล้วเดินไปที่ห้องครัว
นางจ้าวมองแผ่นหลังเล็กๆ ของลูกสาวแล้วเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอ หยิบซาลาเปาขึ้นมากิน นางรู้สึกว่ามันเป็ซาลาเปาที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิตนี้
หลี่ชิงเฟิงที่กลับมาได้กลิ่นของเนื้อสัตว์ จึงรีบเข้าไปในครัว "ท่านพี่ มันหอมมากเลย!" เขากลืนน้ำลาย
หลี่ชิงหลิงยกฝาหม้อขึ้น ตักชิมดู รู้สึกว่าแกงจืดพร้อมแล้วจึงยกขึ้น เหลือบมองหลี่ชิงเฟิงที่กำลังกลืนน้ำลาย
“อยากรีบกินก็ช่วยเผาฝืนเถอะ”
"ได้..." แม้ว่าหลี่ชิงเฟิงจะเป็คนตัวเล็ก แต่เขาก็จุดไฟได้ค่อนข้างดี หลี่ชิงหลิงขอไฟแรงหรือเบาก็ปรับได้
"เอาล่ะ กินได้แล้ว" หลี่ชิงหลิงตักเนื้อไม่ติดมัน และเห็ดทอดลงจาน
คืนนี้มีอาหารหลากหลายมาก ทั้งเนื้อติดมันผัดซีอิ๊ว เนื้อติดมันผัดเห็ด แกงจืดกระดูกหมู ตบท้ายข้าวขัดสี และข้าวกล้องหุงผสม นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ นี่ถึงจะเรียกว่าใช้ชีวิต
หลี่ชิงเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยปากชม "หอมมาก"
หลี่ชิงหลิงชำเลืองมองเขาด้วยรอยยิ้ม หยิบชามออกมาสองใบ ตักเนื้อติดมันและเนื้อไม่ติดมันลงไปอย่างละครึ่ง ตักแกงจืดกระดูกอีกชามหนึ่ง "เ้ากับท่านแม่กินก่อน ข้าจะเอาไปให้พวกพี่จือโม่ชิมดู” สามพี่น้องก็คงไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาหลายเดือนแล้ว
“ข้าไปด้วย...”
"ได้ งั้นถืออันนี้นะ! ระวังหน่อย!" หลี่ชิงหลิงส่งชามเนื้อให้ และพาเขาไปที่บ้านของหลิวจือโม่
หลิวจือโม่ และคนอื่น ๆ กำลังเตรียมกินข้าว หลี่ชิงหลิงเห็นชามโจ๊กข้าวและโจ๊กข้าวกล้องสองชาม นางวางชามลงบนโต๊ะโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ฝีมือข้าเอง ลองชิมดูนะ ถ้ามีอะไรต้องแก้ไขก็บอกข้าด้วย!”
หลิวจือเยี่ยนมองไปที่เนื้อจากนั้นมองไปที่พี่ชาย ก่อนจะกัดริมฝีปากไม่กล้าพูดอะไร
"ได้..." ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิวจือโม่จึงพยักหน้า เขาจะจดจำความใจดีของนางไว้ไม่มีลืม
จากนั้นหลิวจือเยี่ยนก็หัวเราะ "ขอบคุณพี่ชิงหลิง มันดูน่าอร่อยมาก”
หลี่ชิงหลิงลูบหัวเขา "งั้นก็กินเยอะๆ ล่ะ” จากนั้นมองไปที่หลิวจือโม่ "งั้นพวกเรากลับไปกินข้าวก่อนนะ”
"อืม..." หลิวจือโม่ส่งพวกเขาออกไปนอกประตู เฝ้ามองจนนางหายไปจึงจะปิดประตูลานบ้าน
เขากลับเข้าบ้าน มองหลิวจือเยี่ยนอย่างจริงจัง บอกให้น้องชายจดจำน้ำใจของตระกูลหลี่ หากอนาคตมีความสามารถแล้ว จะต้องตอบแทนพวกเขา
หลิวจือเยี่ยนพยักหน้าอย่างหนัก บอกว่าตนจะจำไว้ก่อนจะพูดปิดท้าย “ท่านพี่ พี่ชิงหลิงแค่ดำไปหน่อย ทีหลังอย่าเกลียดพี่เขานะ"
หลิวจือโม่ชำเลืองมอง เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ “ใช้ตาคู่ไหนมองว่าข้าจะเกลียด? หืม?”
"เอ่อ..." ก็พี่ชายเขาขาวกว่า เขาเลยพูดแบบนี้ "ขอแค่ไม่เกลียดก็พอ"
กลางดึก ระหว่างที่หลี่ชิงหลิงนอนหลับสนิท จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังจนปลุกให้นางตื่น นางตั้งใจฟัง และพบว่าเป็เสียงของหลิวจือโม่ ฟังดูรีบร้อนเสียด้วย
นางะโลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว วิ่งออกไปเปิดประตูโดยลืมสวมแม้กระทั่งรองเท้า เห็นหลิวจือโม่ที่หน้าซีดด้วยความกังวลจึงถามไปว่าเกิดอะไรขึ้น?
“ชิงหลิง โหรวโหรวเป็ไข้ ขอยืมเงินหน่อยได้ไหม ข้าจะพาไปหาหมอในเมือง”
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากขอความช่วยเหลือจากนาง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ชิงหลิงก็หันหลังกลับวิ่งไปเอาเงิน สวมรองเท้าแล้ววิ่งออกมาอีกครั้ง นางจ้าวก็ตื่นขึ้น และถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านแม่ โหรวโหรวเป็ไข้ ข้ากับพี่จือโม่จะเข้าเมือง”
"ระวังตัวหน่อยนะ" นางจ้าวก็กังวลเช่นกัน "จือโม่ ไปยืมเกวียนวัวที่บ้านของผู้นำหมู่บ้านเถอะ จะรอช้าไม่ได้"
หลิวจือโม่พยักหน้าอย่างกังวล ขอให้หลี่ชิงหลิงรอเขาที่บ้าน ในขณะที่เขาไปยืมเกวียนวัว
หลี่ชิงหลิงวิ่งไปที่บ้านหลิว เห็นหลิวจือเยี่ยนที่น้ำตาไหลเผาะกอดหลิวจือโหรวเอาไว้
นางแตะที่หน้าผากของหลิวจือโหรว ร้อนมากจริงๆ หากไม่ระวังจะเป็อันตรายได้
ทีนี้นางก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาเช่นกัน ฉวยโอกาสที่หลิวจือโม่ยังไม่กลับมา วิ่งไปต้มน้ำอุ่นแล้วชุบด้วยผ้าขนหนู วางลงบนหน้าผากของหลิวจือโหรว หวังว่ามันจะเป็ประโยชน์ได้บ้าง
“พี่ชิงหลิง น้องจะตายไหม” หลิวจือเยี่ยนถามทั้งน้ำตา เขากลัวว่าน้องสาวจะทิ้งเขาไปเหมือนพ่อแม่ “มันเป็ความผิดข้าเองที่ไม่ดูแลให้ดี ปล่อยให้น้องไปเล่นน้ำเลยเป็หวัด”
หลี่ชิงหลิงเปลี่ยนผ้าอีกรอบ และปลอบเขา "ไม่หรอก อย่าคิดไปไกลเลย"
สิ้นเสียง หลิวจือโม่ก็กลับมาพร้อมกับเกวียนวัว หลี่ชิงหลิงเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ยกผ้านวมออกมาปูบนเกวียนวัว
กลางคืนมีน้ำค้างมาก จะปล่อยให้หลิวจือโหรวหนาวไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาการจะแย่ลง
"จือเยี่ยน อุ้มโหรวโหรวขึ้นมาเถอะ!" หลี่ชิงหลิงะโ เมื่อหลิวจือเยี่ยนและหลิวจือโหรวขึ้นมาทั้งคู่ นางก็รีบเอาผ้าห่มคลุมพวกเขาไว้
เมื่อวานพวกเขาใช้เวลาเกือบสองชั่วยามในการเดินทางเข้าเมือง ใช้เกวียนวัวแล้วเร็วกว่าเดิมเกือบครึ่ง เมื่อพวกเขามาถึงจี้ซื่อถัง หลิวจือโม่ก็ะโลงจากเกวียนวัวไปเคาะประตู
"มาแล้ว มาแล้ว..." ครู่ต่อมา เสียงหนึ่งดังมาจากข้างใน ประตูเปิดออก เป็เด็กขายยาที่เคยเจอ "นายน้อยหลี่?"
"พี่ หมอซวีอยู่ไหม น้องสาวข้ามีไข้"
หลิวจือโม่รู้ว่ามีเพียงหมอซวีที่อาศัยอยู่ในร้านขายยา ส่วนหมอคนอื่นๆ จะกลับบ้าน
“หมอซวีออกไปรักษาคน ยังไม่กลับมา” เด็กขายยามองเด็กหญิงที่หน้าแดงจากพิษไข้ รู้ว่าจะเสียเวลาไม่ได้ “ลองไปถามที่ไป๋เฉ่าถังดูไหม?”
หลิวจือโม่หันกลับมามองน้องสาว ถ้าเขารอช้ากว่านี้ เขากลัวว่าน้องสาวของเขาจะเสียสติไป
หลังจากกล่าวขอบคุณ เขาก็ะโขึ้นเกวียนและไปที่ไป๋เฉ่าถัง การบริการของที่นั่นเทียบกันไม่ได้เลย
หลังจากเรียกอยู่นานจึงจะมีคนเดินมาเปิดประตูช้าๆ เมื่อเห็นเสื้อผ้าของพวกหลิวจือโม่ เขาก็ถามด้วยความรำคาญว่ามีธุระอะไร
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องขอความช่วยเหลือ หลี่ชิงหลิงคงไม่ทนและส่งลูกเตะไปให้แล้ว ทำไมนิสัยแบบนี้นะ
“มีหมออยู่ไหม น้องข้ามีไข้” หลิวจือโม่กลั้นหายใจ และถามเสียงเบา
“อยู่ แต่ค่ารักษากลางคืนไม่ถูกเลย พวกเ้ามีเงินหรือ”
หลี่ชิงหลิงกัดฟันพูด "สบายใจได้ จ่ายครบหมดแน่ รีบไปเรียกให้หมอออกมาเถอะ!"
เด็กขายยามองหลี่ชิงหลิง ส่งเสียงหึอย่างเ็า จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปเรียกคน
หลังจากรออีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หมออ้วนคนหนึ่งก็ออกมา มองพวกหลี่ชิงหลิงแล้วถามเสียงเหยียด "คนไข้ล่ะ"
หลิวจือโม่ผู้อุ้มหลิวจือโหรวที่กำลังลุกเป็ไฟเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ชายอ้วนยื่นมือออกมาจับชีพจร จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรายการยาให้เด็กขายยาไปต้ม
จากนั้นนั่งบนเก้าอี้เหมือนคนใหญ่โต พูดจาไม่มีเกรงใจ “ค่ารักษาสองตำลึง”
เ้าสิงโตอ้วนตัวนี้ช่างกล้า...
หลี่ชิงหลิงกำหมัดแน่น มองหลิวจือโหรวที่กำลังร้องครวญครางด้วยความทรมาน หลับตาถอนหายใจเงียบๆ นางจะต้องอดทน
“ฉันมีเงินอยู่แค่ครึ่งตำลึง เงินที่เหลืออีกครึ่งตำลึงจะนำมาให้ในภายหลัง” นางหยิบเงินครึ่งตำลึงออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ
ชายอ้วนหยิบเงินครึ่งตำลึงโยนเล่น มองพวกหลี่ชิงหลิงด้วยสายตาดูถูกยิ่งกว่าเดิม
“เอามาได้ตอนไหนก็ให้ยาตอนนั้น”
จะรังแกกันมากเกินไปแล้ว หลี่ชิงหลิงเกือบจะพุ่งทะยานแต่หลิวจือโม่คว้ามือไว้ เขาส่งหลิวจือโหรวในอ้อมแขนให้นางด้วยใบหน้าบูดบึ้ง "เดี๋ยวข้าจะกลับมา”
เขารู้จักแต่คนจากจี้ซื่อถัง เขาจะลองไปขอยืมเงินดู
เมื่อเขาหันหลังเตรียมจากไป เ้าของร้านโจวและเด็กขายยาก็เดินเข้ามา "ยาแก้หวัดธรรมดาราคาสองตำลึง เ้าอ้วนหวง จะเกินไปไหม?” ระหว่างพูดก็โยนเงินสองตำลึงให้ชายอ้วน ก่อนจะเอาเงินตำลึงครึ่งกลับมาให้หลี่ชิงหลิง "ยาล่ะ"
เ้าอ้วนหวงส่งเสียงหึ โบกมือ จากนั้นเด็กขายยาก็ออกมาพร้อมกับชามยา
หลิวจือโม่ค่อยๆ ป้อนหลิวจือโหรวให้ดื่ม เมื่อชายอ้วนเห็นก็พูดจาไม่น่าฟังอีกครั้ง "กินยาหมดแล้วยังไม่รีบไสหัวอีก”
เ้าของร้านโจวจงใจไม่ทำตามที่เขา้า เขายกเสื้อคลุมขึ้นและนั่งลง "จ่ายค่ารักษาแพงขนาดนี้แล้วก็ต้องรอให้ไข้ลดก่อนค่อยกลับสิ ไข้ไม่ลดแล้วออกไป แล้วเ้าไม่ยอมรับขึ้นมาล่ะ”
เขาไม่พอใจวิธีการทำงานของไป๋เฉ่าถังมาโดยตลอด มีโอกาสแบบนี้ เขาย่อมอยู่จัดการเ้าอ้วนหวงแน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้