เมื่อหิมะโปรยปราย สองวันมานี้ขบวนคาราวานจึงสัญจรผ่านมาน้อย โดยทั่วไปแล้วพวกเขาคงปักหลักรออยู่ที่เดิม คนในด่านเก็บค่าผ่านทางจึงน้อยลงมาก
แผงขายชาส่วนใหญ่ก็ปิดร้านเช่นกัน ทว่าท่านอาจารย์กัวกลับให้อาลู่และอาสวินลงมาดูด้านล่าง อาลู่ก็ว่าง่ายนัก จึงพาคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าลงมา
เพราะท่านอาจารย์มีความรู้ล้นเหลือ จึงทำให้ชีวิตของชาวบ้านบนูเานับวันก็ยิ่งดีขึ้น ทุกคนล้วนมีข้าวกินมีงานทำ แต่เพราะมีความก้าวหน้าเร็วเกินไป บัดนี้จึงได้เกิดปัญหาเื่แรงงานไม่พอ โดยเฉพาะโรงทอผ้าที่แม่นางหลัวควบคุมอยู่
แรกเริ่มเพียงเพราะอยากจะจัดการขนสัตว์ที่สะสมไว้ ทว่ายามนี้ยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ไม่คาดคิดว่าเอาขนแกะมาทอเป็ผ้าขนสัตว์เช่นนี้จะทำให้ได้รับความนิยมนัก กระทั่งไม่พอขายด้วยซ้ำ แม้จะตัดขนแกะบนูเาจนหมดแล้วก็ยังไม่พอ จึงได้แต่ต้องไปหาขนแกะจากที่อื่นมาเพิ่ม
ขนแกะที่ไร้ราคาในอดีต บัดนี้กลับมีราคาขึ้นมาได้
แค่คิดก็พอจะรู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธลึกลับจากแคว้นจิง
หมู่บ้านของพวกเขาผลิตอาวุธแบบแคว้นจิงได้แล้ว แม้ความละเอียดจะยังไม่มาก แต่ก็นับว่าเป็อาวุธแคว้นจิงได้ ทว่าเป็เพราะหมู่บ้านไป๋กู่ของพวกเขาเป็คนผลิต จึงได้เปลี่ยนชื่อมันเป็อาวุธกู่แทน
ไม่ว่าใครที่รู้เื่นี้เข้าก็คิดว่าต้องตื่นใไปตามกันทั้งนั้น
เบื้องหน้าของหมู่บ้านแห่งนี้เป็โรงทอผ้า ทว่าเื้ักลับเป็การผลิตอาวุธที่ยังไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็พัฒนากันจนมีคุณภาพเสียแล้ว
ทั้งหมดนี้ต้องยกให้เป็ความดีความชอบของท่านอาจารย์กัว ดังนั้นตอนนี้สถานะของท่านอาจารย์กัวบนูเาลูกนี้จึงสูงส่งนัก
ขอแค่เขาเอ่ยปากทุกคนก็พร้อมจะทำตาม
อาลู่เพียงแค่ได้ยินเขาเอ่ยปากก็พาเหล่าชายหนุ่มในหมู่บ้านเร่งขี่ม้าลงไปด้านล่างทันที
ถนนกระดูกถูกปรับให้กว้างขึ้นแล้ว บัดนี้จึงพอสำหรับม้าสองตัวเดินเคียงกันได้ เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินว่าเมื่อกลับมาจะได้ดื่มน้ำแกงแกะก็หัวเราะคิก
น้ำแกงแกะออกจะมันไปสักหน่อย ทว่ายามได้ดื่มพร้อมทุกคนก็รู้สึกรสชาติไม่เลวนัก จึงทำทีเหมือนว่าลงเขาไปชมธรรมชาติเท่านั้น
ด้วยความที่เฉินโย่วโวยวายจะขอติดตามมาด้วยให้ได้ อาสวินที่เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในเรือนจึงจำต้องถูกลากมาด้วย
ท่านนายอำเภอเฉินยังคงนั่งอยู่บนรถม้าที่ทั้งกว้างและยาว รถม้าประเภทนี้เป็แบบที่ตัวรถคันหน้าและคันหลังเชื่อมต่อกัน เมื่อม่านตรงกลางถูกแหวกออกก็จะกลายเป็รถม้าคันเดียวกัน
ทั้งคันหน้าและคันหลังของรถม้ามีทั้งเ้าหน้าที่จากทางการนั่งอยู่ ตรงกลางของทั้งสองคันมีเสมียนซู จู่ปู้อู๋และเหล่าบัณฑิตนั่งอยู่
เสมียนซูไม่ได้คิดถึงเื่ธรรมเนียมเ่าั้ ยามที่ท่านนายอำเภอเรียกตนให้มาร่วมทาง จึงรู้สึกราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็ได้เป็คนสำคัญขึ้นมา
ได้ยินมาว่าจู่ปู้อู๋เพิ่งจะทำให้ท่านนายอำเภอมีโทสะ ดังนั้นจึงถูกตำหนิไปยกหนึ่งแล้วทิ้งไว้หน้าศาลาว่าการ เื่เช่นนี้ช่างทำให้เขารื่นเริงใจนัก
จู่ปู้อู๋ เ้าคนข้างนอกสุกใสข้างในเป็โพรงนั่น ภายนอกทำราวกับตนเปี่ยมด้วยคุณธรรมน้ำมิตร ทว่าความจริงแล้วกลับเสแสร้งกว่าเขามาก เขาจะต่อยจะตีก็ทำซึ่งๆ หน้า พูดจริงทำจริง ไม่เหมือนเ้านั่นที่ไม่เคยเผยอะไร แต่กลับทำเื่เหี้ยมโหดชั่วร้ายไว้ไม่น้อย
อนุของจู่ปู้อู๋เดิมทีคือภรรยาของพ่อค้าในตลาดคนหนึ่ง ทว่าเมื่อเขานึกถูกใจขึ้นมาก็ให้คนไปใส่ไคล้พ่อค้าคนนั้น เื่แย่งภรรยาคนอื่นก็แล้วไปเถิด เขายังถึงขั้นเอาสมบัติของพ่อค้าคนนั้นมาเป็ของตน สุดท้ายพ่อค้าก็ตายอย่างมีมลทินอยู่ในคุก
จู่ปู้อู๋ช่างโลภจนน่ารังเกียจ
ใต้เท้าเฉินเมื่อเห็นเสมียนซูในชุดหูกำลังพยายามนั่งหลังตรง ท่าทางนั้นยังดูไม่ค่อยเป็ตัวเองสักเท่าไร จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “เสมียนซูไม่ต้องกังวลไป พวกเราล้วนแต่เป็ปัญญาชน หากเกิดจะต่อยตีกันขึ้นมา พวกเราห้าคนก็ยังไม่อาจเอาชนะท่านคนเดียวได้”
เสมียนซูพลันลูบหน้าผากราวกับมีเหงื่อผุดพราย แล้วจึงหัวเราะขื่นๆ “ั้แ่ยังเล็กข้าก็ดีแต่ต่อยตี หากให้เรียนแล้วทำอย่างไรก็ไม่เข้าหัว เมื่อเห็นปัญญาชนเช่นนี้จึงได้กังวลใจขึ้นมา ช่างทำให้ทุกคนขบขันแล้ว”
เมื่อเสมียนซูหัวเราะเยาะตัวเองเช่นนี้ ในรถมาก็พากันหัวเราะครืนตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน
เหล่าบัณฑิตล้วนแต่หัวสูงกันทั้งนั้น พวกเขาเอาแต่ดูถูกตำแหน่งเสมียนเล็กๆ นี้ ด้วยพวกเขายามจบการศึกษาแล้วออกมาเป็ขุนนาง ตำแหน่งต่ำที่สุดก็ย่อมต้องได้เป็จู่ปู้ มิมีทางเป็เสมียนเด็ดขาด
เหล่าปัญญาชนที่แสนสง่าบนรถม้าที่ยังคงออกวิ่งไปอย่างมั่นคงบนถนนที่ฉาบไปด้วยหิมะ
คุณชายเฉินเสนอตัวว่าจะต้มชาให้ทุกคน รถม้าที่แสนวิจิตรทั้งยังเป็ประเภทคันยาวนี้ ก็ได้ตระกูลของเขาเป็คนจัดหามา เมื่อเขากล่าวขึ้นมาว่าจะต้มชา ทุกคนก็พากันตอบตกลงย่างกระตือรือร้น
ท่านนายอำเภอเองก็ชอบดื่มชา จึงพยักหน้าด้วยความยินดีเช่นกัน “ข้าเคยได้ยินผู้คนเล่าลือกันมานานแล้วว่าความรู้เื่ชาของเ้าโดดเด่นนัก วันนี้ได้ดื่มชาชมหิมะเช่นนี้ บรรยากาศช่างเป็ใจนัก”
คุณชายเฉินเตรียมพร้อมแสดงฝีมือ เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าลงหน้าโต๊ะชงชา จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบอุปกรณ์ออกมาจัดวางทีละชิ้น
ม่านโปร่งที่แขวนอยู่บนหน้าต่างทั้งสองฝั่งของรถม้า ยามต้องแสงก็ทำให้เห็นพื้นหิมะที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาได้ ในรถนั้นยังมีเตาเล็กๆ จุดไว้ ทำให้คนบนรถรู้สึกอบอุ่นกำลังดี
สิ่งเหล่านี้ล้วนจำกัดไว้เฉพาะตรงกลางของรถสองคันเท่านั้น ส่วนหน้าและส่วนท้ายของรถม้านั้นไม่มีอะไรเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีเตาอุ่นเท่านั้น กระทั่งผ้าม่านโปร่งก็ไม่มี ด้วยเพราะม่านโปร่งเหล่านี้มีราคาสูงยิ่ง
ยามนี้คุณชายเฉินกำลังต้มน้ำในกาให้เดือดแล้วจึงใส่ขิงลงไปหนึ่งแง่ง จากนั้นก็ใส่ชาก้อนสีดำลงไป พร้อมกับเก๋ากี้และเกลือ เด็กหนุ่มค่อยๆ ใส่วัตถุดิบทั้งหมดลงไปในกาช้าๆ อย่างเป็ขั้นตอน
กลิ่นหอมเข้มของชาและกลิ่นวัตถุดิบอื่นๆ ที่เคล้าเข้าด้วยกันตลบอบอวลไปทั้งรถ
ใต้เท้าเฉินจึงหลับตาลงพร้อมกับสูดกลิ่นหอมเข้าไปอย่างกระหาย
“หอมนัก เป็กลิ่นนี้ กลิ่นชาแบบที่ข้าและสหายร่วมสำนักยามยังอยู่ในเมืองหลวงเคยต้มกันบนูเาอวี้หลาน บรรยากาศในตอนนั้นก็เป็ตอนนี้”
เมื่อได้ยินชายชรากล่าวถึงูเาอวี้หลาน เหล่าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ก็ปรากฏแววริษยา
ด้วยูเาลูกนั้นคนธรรมดาไม่อาจขึ้นไปได้ ทว่าเสมียนซูกลับกำลังฝืนกลั้นไม่ให้จามออกมา ชานี่มีกลิ่นอะไรแปลกๆ ทั้งคนกลุ่มนี้ยังปิดหน้าต่างเสียแ่า ถึงอย่างไรชานี้ก็คงไม่สู้ชาบนแผงขายชาของอาลู่
แม้เสมียนซูจะทรมานนัก แต่บนใบหน้าก็ยังต้องรักษาท่าทีราวกับเข้าใจ และเปรมปรีดิ์กับมันเต็มประดา ด้วยเขากังวลว่าตัวเองจะจามออกมา เสมียนซูจึงได้แต่หันหน้าไปทางหน้าต่างอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น ทว่าเมื่อเขามองเห็นบรรยากาศนอกหน้าต่างก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
แม้หิมะจะหยุดแล้ว บรรยากาศข้างนอกควรจะสงบกว่าปกติ ทว่าก็ไม่น่าจะสงบถึงเพียงนี้ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาไร้ซึ่งความเลื่อนไหวใดๆ
เขายิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ปกติ
คุณชายเฉินที่ชงชาอยู่ก็กำลังเพลิดเพลินกับการเป็จุดสนใจ เมื่อเห็นว่าเสมียนซูกำลังทำหน้านิ่วเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมอย่างไม่ให้เกียรติเขาแม้แต่น้อย จึงเอ่ยปากขึ้น “ท่านเสมียนซู ท่านไม่ชอบชานี้หรือ ท่านต้องรู้ว่ายามดื่มชานั้นจำเป็ต้องสงบใจ วิถีของชาก็คือวิถีของใจ ใต้เท้าซูไม่ลองสงบจิตสงบใจเสียก่อนแล้วค่อยลิ้มรสชานี้ดู อีกอย่างชาชนิดนี้ยังช่วยชะล้างจิตใจที่ขุ่นหมองได้อีกด้วย”
แม้เสมียนซูจะเป็คนหยาบกระด้าง แต่เขาก็ฟังภาษาคนเข้าใจ กำจัดความขุ่นหมองในใจงั้นหรือ เขาจิตใจขุ่นหมองที่ไหนกัน เขาเป็คนตรงไปตรงมา ยาม้าเงินก็หาเงิน ยามต้องทำงานก็ทำงาน เทียบกันแล้วยังดีกว่าพวกบัณฑิตที่ดีแต่พูดนัก
“คุณชายเฉินเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงกำลังสังเกตว่าด้านนอกนั้นเงียบเชียบผิดปกติ จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก ที่เห็นว่าข้าดูไม่สงบเท่าใดนั้นย่อมไม่ได้เป็เพราะชา” ใต้เท้าซูแม้จะขุ่นเคืองใจเพียงใด แต่ยามอยู่ต่อหน้าท่านนายอำเภอเฉิน ก็จำต้องอธิบายสักประโยคหนึ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ท่านนายอำเภอเฉินก็เบือนหน้าจากถ้วยชาไปมองด้านนอกเช่นกัน
คุณชายเฉินพลันหดหู่ใจนัก
เพื่อแสดงการชงชาครั้งนี้ เขาต้องเปลืองแรงไปมากเท่าใดในการลงทุนเรียนชงชา ทั้งยังดั้นด้นไปขอกราบเป็ศิษย์ท่านอาจารย์ชื่อดังเพื่อศึกษาเคล็ดลับ
ไม่คาดคิดว่าเขาเพิ่งจะได้แสดงฝีมือ ก็โดนเสมียนซูมาขัดจังหวะเสียได้
เมื่อเทชาจอกแรกยังนับว่าธรรมดา ต้องจอกที่สองถึงจะพอใช้ แต่จอกที่สามนั้นนับว่ารสชาติเข้มข้นที่สุด ชาทุกจอกที่เทลงมารสชาติล้วนไม่เหมือนกัน เขายังไม่ทันได้อธิบายรสชาติเหล่านี้ท่านนายอำเภอก็หันไปทางอื่นเสียแล้ว
คุณชายเฉินยังคงยิ้มแย้มดังเดิม สีหน้าเอาแต่ใจกล่าวขึ้นเสียงดัง “เสมียนซู พวกเราอยู่ท่ามกลางหิมะเช่นนี้ก็แน่นอนว่าบรรยากาศย่อมต้องเงียบสงบ จึงได้เรียกว่าความสงบท่ามกลางหิมะอย่างไรเล่า อีกทั้งพวกเรา...”
ในขณะที่เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะกล่าวจบ กลางทางก็มีแสงวาบขึ้นมา
จากนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น ม้าทั้งตัวพลันตกลงไปในหลุมตรงหน้า รถม้าของพวกเขาก็พลันร่วงตามลงไปเช่นกัน
ในยามที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชาในกาก็จะหกลงมา
คุณชายเฉินที่กำลังจะถูกชารดใส่ก็เบี่ยงกายหลบ น้ำชาจึงกำลังจะราดลงบนร่างของใต้เท้าเฉินที่อยู่ด้านหลังเขาพอดี