ภายในโถงรับรองกลางสวนดอกไม้และภายในลานเป็โลกสองใบที่แตกต่างกัน
ภายในโถงรับรองกลางสวนดอกไม้เงียบขรึม ส่วนภายในลานครึกครื้นเฮฮา
เมิ่งไหวจิ่นคือดาวเด่นของงานชุมนุมวรรณกรรม เมื่อเขาออกมาจากโถงรับรองกลางสวนดอกไม้ คนจำนวนมากมายเดินเข้ามาตีสนิทด้วย บรรดาบัณฑิตจวี่เหริน้าหารือกับเขาเื่การสอบระดับประเทศในปีหน้า เหล่าบัณฑิตซิ่วไฉประคองบทความของตนเองไว้ด้วยหวังที่จะได้รับการชี้แนะ ครอบครัวที่มีบุตรสาวในห้องหอที่ยังรอออกเรือนก็ยิ่งจ้องเมิ่งไหวจิ่นราวกับจะตะครุบเหยื่อ นางคณิกาที่ดีดฉินเพิ่มความครื้นเครงอยู่ภายในเรือนแยกก็มองเมิ่งไหวจิ่นด้วยดวงตาเปล่งประกาย —
“เชิญศิษย์พี่เมิ่งตามสบาย ไม่ต้องดูแลข้า ข้าจะเดินชมรอบๆ เอง!”
ถึงเฉิงชิงจะไม่จากไปเองก็คงถูกผู้อื่นเบียดให้จากไปอยู่ดี ผู้อื่นสนใจเพียงเมิ่งไหวจิ่น นางรู้ตัวดีอยู่
เมิ่งไหวจิ่นไม่อาจปฏิเสธคำเชิญที่ล้นเหลือเ่าั้ได้ จึงได้แต่ถูกฝูงชนห้อมล้อมพาจากไป
เมื่อเมิ่งไหวจิ่นจากไปแล้ว อวี๋ซานก็เข้ามาประชิดทันที
“เ้าไม่ได้พูดอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับเฉิงกุยต่อหน้าท่านราชบัณฑิตเสิ่นใช่ไหม? เฉิงชิง เ้ามันใจคอคับแคบเกินไปแล้ว!”
เฉิงชิงกลอกตา “ข้าใจคอคับแคบมาก อยู่ต่อหน้าท่านราชบัณฑิตเสิ่นแสดงความสามารถของตนยังไม่ทันเลย แต่มีเวลากล่าวถึงผู้อื่นว่าทำอะไร”
อวี๋ซานไม่เชื่อ “เ้าโกหก —”
“ข้าโกหกหรือไม่เ้าก็ไปถามใต้เท้าอวี๋เองก็ได้นี่ เ้าใช้ถ้อยคำยั่วยุให้ข้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมเพราะ้าเห็นข้าขายหน้า ผู้ใดเลยจะรู้ว่าข้ากลับโดดเด่นขึ้นมาได้… อวี๋ซาน การยอมรับว่าข้ายอดเยี่ยมกว่าที่เ้าจินตนาการไว้มันยากนักหรือ? เ้าจิตใจคับแคบถึงเพียงนี้ เช่นนั้นวันคืนอันยากลำบากของเ้าก็ยังคงอยู่ต่อจากนี้ ถึงอย่างไรบนโลกใบนี้ก็ยังมีผู้ที่ยอดเยี่ยมกว่าข้ามากมายนัก หากเ้า้าหาเื่ทุกคนจะไม่เหนื่อยตายหรือ!”
เฉิงชิงสะบัดแขนเสื้อจากไป
อวี๋ซานถลึงตากว้าง “…เฉิงชิง ผู้ใดให้ความกล้าเ้ากัน เ้ากลับมานี่!”
เฉิงชิงย่อมไม่มีทางเป็เด็กดีเชื่อฟังกลับไปเพื่อโดนด่า
อวี๋ซานหายใจไม่ออก อดกลั้นจนตนเองเ็ป
“อวี๋ซาน งานชุมนุมวรรณกรรมครึกครื้นขนาดนี้ พวกเราจะต้องคอยจับตามองเฉิงชิงตลอดเลยหรือ?”
“ข้าค้นพบแล้วว่ายิ่งเ้าแข่งขันกับเขามากเท่าไร ตนเองก็ยังยิ่งโกรธเคืองมากเท่านั้น…”
เฉิงกุยรู้สึกหดหู่ ยังคงคิดกลับไปในตอนที่ตนเองตอบคำถามต่อหน้าราชบัณฑิตเสิ่น
ไม่มีตรงไหนที่ตอบผิด เหตุใดใต้เท้าเ่าั้จึงล้วนมีท่าทีเ็าต่อเขาได้?
ทั้งๆ ที่ยามเขาถูกสาวใช้พาเข้าไปในห้อง ใต้เท้าเ่าั้ต่างก็มีใบหน้ายิ้มแย้มให้แก่เฉิงชิงชัดๆ
ประสบความราบรื่นมาตลอดั้แ่เล็ก แต่ในค่ำคืนนี้กลับประสบอุปสรรคถึงสองครั้ง เฉิงกุยหมดความสนใจที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมต่อแล้ว
“งานชุมนุมวรรณกรรมในปีนี้ช่างน่าเบื่อ อยู่ที่นี่ไปก็เสียเวลาเปล่า ไม่สู้กลับสถานศึกษาไปทบทวนตำรา อาเสี่ยน พวกเ้าอยู่สนุกกันต่อในงานชุมนุมวรรณกรรมเถิด ข้าขอตัวก่อน”
อวี๋ซานสูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้ารู้ว่าเ้าก็ถูกเ้าเด็กเวรเฉิงชิงนั่นทำให้โกรธแล้ว ยังเร็วเกินไปที่จะไปจากงานชุมนุมวรรณกรรม ข้าย่อมสามารถหาโอกาสที่จะจัดการเขา —”
“อาเสี่ยน ครั้งล่าสุดข้าได้เตือนเ้าแล้วว่าไม่ต้องไปหาเื่เขา พวกเราทำเป็ว่าเขาไม่มีตัวตน อยู่ในสถานศึกษาก็ไม่ต้องไปรบกวนซึ่งกันและกันเถอะ! เมื่อเทียบกับการหาเื่เฉิงชิงแล้ว การสอบในปีหน้าสำคัญกว่ามากนัก เ้าต้องเข้าร่วมการสอบระดับสำนักศึกษา ส่วนข้าต้องเข้าร่วมการสอบระดับมณฑล หากทั้งเ้าและข้าไม่ได้คุณวุฒิที่สูงขึ้นแล้วจะไปแก้ตัวกับคนในครอบครัวว่าอย่างไร?”
เมื่อเฉิงกุยกล่าวคำพูดนี้ คนเ่าั้ต่างก็มีสีหน้าเยาะเย้ย
พวกเขาไม่เหมือนอวี๋ซานที่มุ่งมั่นจะหาเื่เฉิงชิง จะมีก็แต่ความคิดที่อยากจะชมเื่สนุกเท่านั้น
แต่เฉิงกุยก็กล่าวได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็การหาเื่เฉิงชิงหรือการชมเื่สนุก ทั้งหมดล้วนเทียบไม่ได้กับความสำคัญของการสอบเข้ารับราชการ!
ดูอย่างเมิ่งไหวจิ่นสิ สามารถเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มใต้เท้าทั้งหลายภายในโถงรับรองกลางสวนดอกไม้ เมื่อออกมาจากโถงรับรองกลางสวนดอกไม้แล้วก็ยังมีผู้คนมากมายเข้ามาเชิญชวนอย่างคึกคัก ชื่อเสียงที่ได้รับการต้อนรับมากกว่าคุณชายบุตรเ้าเมืองของอวี๋ซานก็คือ ‘เจี้ยหยวน’ ของเมิ่งไหวจิ่น!
“อวี๋ซาน เฉิงกุยพูดถูกนะ หากปีหน้าพวกเราสอบไม่ได้วุฒิซิ่วไฉแล้วถูกเฉิงชิงที่อยู่ห้องติงซึ่งมาทีหลังก้าวข้ามไป นั่นต่างหากจะเป็การขายหน้าที่แท้จริง!”
“ช่างเถอะ งานชุมนุมวรรณกรรมก็ไม่ได้น่าสนใจอะไร แม่นางน้อยพวกนั้นก็มองเพียงแต่บัณฑิตซิ่วไฉขึ้นไป เหล่านางคณิกาเลื่องชื่อก็ล้วนปลาบปลื้มแต่บัณฑิตจวี่เหริน พวกเราเทียบไม่ได้หรอก…”
พวกเขาหัวเราะเยาะเฉิงชิง แต่แท้จริงแล้วมีอะไรที่แตกต่างกับเฉิงชิงกัน?
ผู้อื่นไม่สนหรอกว่าจะอยู่ห้องปิ่งหรือห้องติงในสถานศึกษา ถึงอย่างไรก็ยังสอบไม่ได้วุฒิซิ่วไฉเหมือนกัน ไม่มีคุณวุฒิแล้วยังเรียกตนเองว่าบัณฑิต ถึงอย่างไรก็ขาดความมั่นใจอยู่ดี
เหล่าสหายร่วมเรียนต่างแย่งกันเห็นด้วยกับเฉิงกุย กล่าวจนอวี๋ซานหงุดหงิด
“ถ้าพวกเ้าจะไปก็ไปก่อนเถอะ ข้าจะยังอยู่ที่นี่!”
เฉิงกุยก็ไม่ได้โน้มน้าวอะไรอีก จากไปก่อนด้วยตนเอง เหล่าสหายร่วมเรียนก็จากตามหลังเขาไป
ใบหน้าของอวี๋ซานแสดงความหดหู่ คลาดไปแค่ครู่เดียวเขาก็หาเ้าเด็กเวรเฉิงชิงไม่เจอแล้ว ทั้งลานคลาคล่ำไปด้วยผู้คน อีกฝ่ายหนีไปไหนแล้ว?
“พี่ชุย เ้าไม่กลัวถูกคนเห็นแล้วหรือ?”
เฉิงชิงถูกเ้าอ้วนชุยลากมา
เ้าอ้วนชุยแก้ปัญหาได้ยี่สิบข้อที่หน้าประตูแล้ว พอชนะได้เงินรางวัลมาห้าสิบตำลึงก็เอาอย่างเฉิงชิงบริจาคให้แก่โรงเมตตาเด็ก ส่วนตนเองเข้าไปยังเรือนแยกอย่างอาลัยอาวรณ์ บังเอิญเห็นเฉิงชิงทำให้อวี๋ซานเกลียดอีกแล้วมาแต่ไกล
อวี๋ซานถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้และทำอะไรเฉิงชิงไม่ได้ เพียงชั่วพริบตาเ้าอ้วนชุยก็คิดได้แล้ว
ทุกคนล้วนมาศึกษาร่ำเรียนที่ ‘สถานศึกษาหนานอี๋’ แล้วเหตุใดเขาถึงต้องกลัวอวี๋ซานขนาดนั้นด้วย
หากอวี๋ซานมีความสามารถจริงก็คงทำให้เฉิงชิงยอมเชื่อฟังทำตามไปนานแล้ว แต่ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรเฉิงชิงได้ เช่นนั้นแล้วการที่ตนเองเป็สหายกับเฉิงชิง อวี๋ซานก็ยุ่งอะไรด้วยไม่ได้เช่นกัน!
เฉิงชิงล้อเลียนเขา เ้าอ้วนชุยสีหน้าแดงก่ำ
“ผู้แซ่ชุยทำเื่เปิดเผยแล้วมีอะไรต้องกลัวเล่า ถึงเ้าผู้นี้จะรูปลักษณ์ไม่น่ามองแต่ก็ทำเื่ใจกว้าง ผู้แซ่ชุยยินยอมที่จะเป็สหายกับเ้า!”
เฉิงชิงถูกเขาหยอกล้อจนหัวเราะ “ในเมื่อเ้าเห็นข้าเป็สหาย ข้าก็ย่อมไม่ให้เ้าถูกพัวพันไปด้วย เ้าวางใจเถอะ ข้าจะคลี่คลายความวุ่นวายของข้ากับอวี๋ซานด้วยตนเองเอง ไปกันเถอะ พวกเราไปเดินรอบๆ งานชุมนุมวรรณกรรมกัน!”
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พี่สาวตัวน้อยที่ดีดฉินอยู่ภายในศาลากลางน้ำช่างมีรูปโฉมงดงาม ฝีมือฉินก็ยอดเยี่ยม เฉิงชิงฟังไปสักพักแล้วก็รู้สึกเหมือนแสงของดวงจันทร์ที่ส่องกระทบกายเปลี่ยนมาอ้อยอิ่ง ท่วงทำนองฉินเช่นนี้หากให้คนรุ่นหลังที่สอบได้ระดับสิบของกู่ฉินมาดีดก็ไม่แน่ว่าจะทำได้
น่าเสียดายที่เสียงฉินไม่อาจทำให้เ้าอ้วนชุยซาบซึ้งได้ เขาดึงแขนเสื้อของเฉิงชิงด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“เ้าอย่าได้เลอะเลือนเชียว นั่นคือดาวเด่นของหอโคมเขียว ค่ำคืนนี้มาเพื่อตกปลาตัวใหญ่ ไม่สนใจคันเบ็ดเล็กๆ แบบพวกเราหรอก”
“พี่ชุย ถ้าข้าบอกว่าข้าเพียงแค่ชื่นชมศิลปะฉินอย่างบริสุทธิ์ใจ เ้าจะเชื่อหรือไม่”
“ไม่เชื่อ”
ไม่เชื่อก็ช่างเถอะ!
สองคนนี้คนหนึ่งคือสตรีปลอมตัวเป็บุรุษ ส่วนอีกคนยังไม่ถึงวัยที่จะสนใจนางคณิกาเลื่องชื่อ เฉิงชิงรู้สึกว่าการต่อปากต่อคำกับเ้าอ้วนชุยน่าสนใจดี แต่ผู้อื่นย่อมไม่คิดเช่นนั้น มีบัณฑิตมากมายที่แต่งกายร่ำรวยดูภูมิฐานต่างแย่งกันประจบเอาใจดาวเด่น สุดท้ายแล้วบัณฑิตแซ่ฉีผู้หนึ่งก็ชนะไปเนื่องด้วยดาวเด่นที่ดีดฉินอยู่รู้สึกสนใจเขามากกว่าผู้อื่นอย่างชัดเจน
บัณฑิตผู้พ่ายแพ้เถียงข้างๆ คูๆ พลางกล่าวเยาะเย้ย
“ฉีเหยียนซง คดีของอาเขยเ้ายังไม่คลี่คลาย เหตุใดเ้าจึงยังมีแก่ใจมาเกี้ยวพาราสีต่อหน้าแม่นางซือซือเล่า? หากข้ามีอาเขยที่ยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติก็คงจะหลบอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าออกมาแล้ว!”
เฉิงชิงและเ้าอ้วนชุยหยุดปากต่อคำกันในทันที
‘ยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ’ ช่างเป็คำที่ไวต่อความรู้สึกมาก
เ้าอ้วนชุยกระทุ้งแขนของเฉิงชิง “…นั่นเป็ญาติของครอบครัวเ้าหรือเปล่า?”
เฉิงชิงสำรวจฉีเหยียนซงผู้นั้นั้แ่หัวจรดเท้า แม้จะเทียบไม่ได้กับเมิ่งไหวจิ่นแต่ก็สามารถเรียกได้ว่าดูดีมีสกุล ที่เอวห้อยหยกประดับเปล่งประกายดึงดูดใจคน วัสดุของเสื้อผ้าเพียงมองปราดเดียวก็รู้เลยว่าแพงมาก
คนดูดีและมีเงิน ไม่แปลกเลยที่โดนเด่นเหนือบรรดาบัณฑิตจนเป็ที่ชื่นชอบของดาวเด่นแห่งหอโคมเขียว
อีกทั้งตัวคนยังแซ่ฉี หากจะบอกว่าเป็ญาติของครอบครัวนางก็เป็ไปได้ เพราะครอบครัวของลุงฝั่งมารดาของบุตรสาวคนโตก็แซ่ฉี… เช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว ตระกูลฉีมีบุตรชายอยู่กี่คน ผู้ที่หมั้นหมายกับบุตรสาวคนโตใช่ฉีเหยียนซงผู้นี้หรือไม่?!
